อานิสงส์การทำบุญ



24 อานิสงส์ถวายข้าวจี่

......มีใจความว่าพระบรมศาสดา ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหารวันหนึ่งพระองค์ได้ทรงเล็ง
พระญาณ ตรวจดูหมู่สัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ก็ปรากฏเห็นนางปุณณทาสีในฝ่ายพระญาณของพระองค์
ว่า นางปุณณทาสีจักต้องตายในวันนี้อย่างแน่นอน ถ้าพระองค์ไม่เสด็จไปอนุเคราะห์ก็จะต้องไปสู่ทุคติ
พระองค์ทรงมีพระเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกได้ไปโปรดให้พ้นจากบาปอกุศลบรรลุถึงความสุข มีมรรค
ผลนิพพานตามบารมีของสัตว์นั้น ๆ จะสั่งสมไว้มากน้อยเพียงใด ส่วนนางปุณณทาสี นี้ก็เช่นเดียวกัน
พระองค์ได้เสด็จไปโปรดในเวลาบิณฑบาต


พระองค์ทรงนุ่งห่มจีวรอันเป็นปริมณฑลแล้วมีพระ อานนท์ ถือบาตรตามเสด็จไปสู่ที่อยู่ของนางปุณณทาสี
ส่วนนางปุณณทาสีเป็นคนยากจนเข็ญใจไร้ทรัพย์ อาศัยอยู่ในเรือนเศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์เลี้ยงชีวิตเป็นอยู่

ในเช้าวันนั้นนางถูกเศรษฐีให้ตำข้าววัน ยันค่ำ แต่ก็ไม่แล้ว
ครั้นรุ่งเช้าก็ลุกขึ้นแต่เช้ามืดจุดไฟซ้อมตำต่อไป พอสว่างก็เสร็จพอดี นางจึงเอารำ
อ่อนผสมกับข้าวปั้นให้เหนียว แต่แผ่ย่างไฟให้สุกดีแล้วก็ใส่พอยกครุขึ้นบนบ่าเดินไปตักน้ำปรารถนา
จะนำไปบริโภคด้วยตนเอง ครั้นไปถึงในระหว่างทาง เห็นพระบรมศาสดากับพระอานนท์บิณฑบาต ก็
เกิดศรัทธาเลื่อมใส โดยมาคิดว่าเราตกทุกข์ได้ยากลำบากทั้งกายและใจ ต้องเป็นทาสีอาศัยเศรษฐีเลี้ยง
ชีวิตเป็นอยู่ วันหนึ่งวันหนึ่งเท่านั้น ก็เพราะเราไม่ได้ให้ทานรักษาศีลทำบุญไว้ในชาติปางก่อน ชาตินี้
เราจึงได้เดือดร้อนลำบากมากในความเป็นอยู่ แต่ว่าเราได้พบพระพุทธเจ้าแล้วแต่ไม่มีของที่จะถวาย
เห็นมีแต่ข้าวจี่ปั้นนี้แต่ว่ามันเป็นของเลวไม่ประณีต พระพุทธเจ้าจะทรงอนุเคราะห์ฉันหรือ แต่ว่าขึ้นชื่อ
ว่าพระพุทธเจ้าแล้วย่อมมีพระเมตตามหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ย่อมไม่รังเกียจว่าของจะประณีตหรือ
เลว

... เมื่อนางคิดดังนั้นแล้วจึงเดินเข้าไปหาพระบรมศาสดาแล้วอาราธนาว่า ภนฺเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระองค์ทรงรับข้าวจี่ปั้นนี้ ของหม่อมฉันผู้เป็นคนยากจนเข็ญใจเถิดพระพุทธเจ้าข้า พระศาสดาจึงทรง
เปิดบาตรรับข้าวจี่ ของนางปุณณทาสี แล้วเสด็จไปบ้านของเศรษฐี นางปุณณทาสี ครั้นใส่บาตรแล้วก็
ยังยืนอยู่ที่นั้น มองดูพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จไปสู่บ้านเศรษฐีนั้น ก็มาคิดอีกว่าเมื่อพระศาสดาเสด็จไปฉัน
ข้าวในบ้านเศรษฐี ภัตตาหารในเรือนของเศรษฐีล้วนแต่ของดี ๆ มีกลิ่นรสอันโอชา เป็นของที่ประณีต
น่าขบฉัน ส่วนข้าวจี่ของเราเป็นของเลวทราม พระองค์คงไม่ฉันแน่จะต้องเอาโยนทิ้งให้กาและสุนัขเสีย


.... สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบวาระจิตของนางปุณณทาสี ว่าคิดอย่างไร จึงรับสั่งให้พระอานนท์ปู
ลาดอาสนะ ที่ภายใต้ร่มทางแล้วเสด็จประทับนั่งฉันข้าวจี่นั้นให้นางปุณณทาสีเห็น ครั้นทำภัตตกิจเสร็จ
แล้วตรัสพระสัทธรรมเทศนาอนุโมทนาของนางปุณณทาสี ว่าขึ้นชื่อว่าโภคสมบัติ ของบุคคลผู้ตระหนี่
อันมีอยู่ในมนุษย์โลกนี้ จะมากสักหมื่นแสนหรือมากกว่านั้นก็ตาม หาประเสริฐเท่ากับข้าวปั้นหนึ่งอัน
บุคคลให้ทานแล้วนั้นไม่ เพราะว่าโภคทรัพย์ทั้งหลายที่มีอยู่กับบุคคลผู้ตระหนี่เหนียวแน่นไม่เป็น
ประโยชน์อันใดเลย แต่จะกินก็ทั้งยากกลับแต่จะหมดเปลืองไปครั้นผู้ตระหนี่นั้นตายลง สมบัติเหล่านั้น
ก็เป็นของคนอื่นไปมิได้ติดตามไปสู่ปรภพเบื้องหน้า แต่ทานอันมีประมาณน้อยที่บุคคลได้ถวายแล้วใน
พระอริยเจ้าเพราะทานนั้นเป็นบันไดไปสู่สุคติสวรรค์ และเป็นเสบียงเลี้ยงตนไปในหนทางทุรกันดาร
ในคราวที่ดับขันธ์แล้ว เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนาลงแล้วนางปุณณทาสีได้ซ้องสาธุการบันเทิงในทาน
สมบัติ ที่ตนได้ทำแล้วนั้นถวายอภิวาทพระศาสดาจารย์แล้วหลีกไปในขณะที่นางเดินไปตามทางนั้น
ด้วยความอิ่มเอิบยินดีไม่ได้ทันพิจารณาดูทางเดินไปเหยียบงูเห่า ในระหว่างทาง งูเห่าเลยขบกัดเท้านาง
เข้าพิษได้แล่นเข้าปาสู่หัวใจ นางปุณณทาสีก็ทำกาลกิริยาตายไปในที่นั้นแล้วได้ไปเกิดบนสวรรค์เสวย
ทิพย์สมบัติ มีนางฟ้าพันหนึ่งแวดล้อมเป็นบริวาร ก็เพราะอานิสงส์ที่นางได้ถวายข้าวจี่ปั้นแก่พระพุทธ
เจ้า

<หน้าก่อน<<< สารบัญ >>>หน้าถัดไป>