ประวัติย่อ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ณ วัดภูริทัตตถิรวาส

เกิดวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2413 ที่บ้านคำบง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ในสกุลแก่นท้าว เป็นตะกูลนักรบ เพียแก่นท้าวเป็นปู่ ปู่เคยผ่านศึกทุ่งเชียงขวาง นายคำด้วงเป็นบิดา นางจันทร์เป็นมารดา นับถือพระพุทธศาสนาตลอดมา

บุคลิกลักษณะ ร่างเล็ก ผิวขาวแดง คล่องแคล่ว ว่องไว สติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความประพฤติ อัธยาศัยเรียบร้อย ชอบศึกษาธรรมะ รักในเพศนักบวชประจำนิสัย

อุปสมบทอายุ 22 ปี ที่วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี พระอริยกวีเป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีทาเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูประจักษ์อุบลคุณเป็นอนุศาสนาจารย์

ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามเบื้องยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4)
เดินธุดงค์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะแรก 24 พรรษา บั้นปลายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 16 พรรษา ที่วัดป่าบ้านหนองผือ 5 พรรษา (2487-2492)
มรณะภาพ 2492 ที่วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร อายุ 80 ปี


บทประพันธ์ ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

นมตถุ สุคตสส ปญจ ธมมขนธานิ
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมซึ่งพระสุคตบรมศาสดาศากยมุนี สัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระนวโลกุตตรธรรม 9 ประการ และพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั้น


บัดนี้ ข้าพเจ้าจักกล่าวซึ่งธรรมขันธ์ โดยสังเขปตามสติปัญญา ฯ

ยังมีท่านคนหนึ่งรักตัวกลัวความทุกข์
เขาบอกว่าสุขมีที่ไหนก็อยากไป
นิสัยท่านนั้นรักตัวกลัวตายมาก
วันหนึ่งท่านรู้จริงซึ่งสมุทัยพวกสังขาร
เปรียบเหมือนดังกายนี้เอง
แสนสบายรู้ตัวเรื่องกลัวนั้นเบา
จะกลับไปป่าวร้องพวกพ้องเล่า
สู้อยู่ผู้เดียวหาเรื่องเครื่องสงบ
ดีกว่าเที่ยวรุ่มร่ามทำสอพลอ


ยังมีบุรุษคนหนึ่ง
มาหาแล้วพูดตรงๆ น่าสงสาร
เห็นธรรมที่จริงแล้วหรือยังที่ใจหวัง
บุรุษผู้นั้นก็อยากอยู่อาศัย
จะพาดูเขาใหญ่ถ้ำสนุกทุกข์ไม่มี
ชมเล่นให้เย็นใจหายเดือดร้อน
จะไปหรือไม่ไปฉันไม่เกณฑ์
แล้วกล่าวปริศนาท้าให้ตอบ


ปริศนานั้นว่าระวิ่งคืออะไร
เดินเป็นแถวตามแนวกัน
ใจอยู่ในวิ่งไปมา
ทำให้จิตวุ่นวายเที่ยวส่ายหา
ถามว่าห้าขันธ์ใครพ้นจนทั้งปวง
ไม่เกาะเกี่ยวพัวพันติดสี้นพิศวง
สัญญาทะลวงไม่ได้หมายหลงตามไป
แก้ว่าสังขารเขาตายทำลายผล
แก้ว่ากลสัญญาพาให้เวียน
ออกจากภพนี้ไปภพนั้นเที่ยวหันเหียน
ถึงจะเพียรหาธรรมก็ไม่เห็น
แก้ว่าใจกำหนดใจหมาย
คือว่าดีว่าชั่วผลักจิตติดรักชัง
แก้ว่าสิ้นอยากดูไม่รู้หวัง
ใจก็นั่งแท่นนิ่งทิ้งอาลัย
แก้ว่าธรรมสิ้นอยากจากสงสัย
สัญญาในนั้นพารกสังขารขันธ์นั้นไม่ถอน
เงียบสงัดดวงจิตไม่คิดตรอง
แม้ได้สมบัติทิพย์สักสิบแสน
หมดความอยากเป็นยิ่งสิ่งสำคัญ
ใจไม่เพลินทั้งสิ้นหายดิ้นรน
ส่องแล้วอย่าคิดติดสัญญา
อย่าได้เมาไปตามเรื่องเครื่องสังขาร
ไหวส่วนตนรู้แน่เพราะแปรไป
รู้ขันธ์ห้าต่างชนิดเมื่อจิตไหว
สำคัญว่าในว่านอกจึงหลอกลวง
สัญญาหนึ่งสัญญาใดมิได้ห่วง
ไม่ต้องหวงไม่ต้องกันหมู่สัญญา
แลเห็นเรื่องของตนแต่ต้นมา
ถามว่าน้ำขึ้นลงตรงสัจจังนั้นหรือ?
ธรรมดากรรมแต่งไม่แกล้งใคร
ชั่วในจิตไม่ต้องคิดผิดธรรมดา
ตามแต่เรื่องของเรื่องเปลื้องแต่ตัว
รู้จักจริงต้องทิ้งสังขารเมื่อผันแปรเมื่อแลเห็น
ธรรมก็ใจเย็นใจระงับดับสังขาร
แก้ว่าขันธ์แบ่งแยกแจกห้าฐาน
จะรับงานอื่นไม่ได้เต็มในตัว
นินทาทุกข์เสื่อมยศหมดลาภทั่ว
ทั้ง 8 สิ่งใจไม่หันไปพัวพัน
นานก็มิได้พักเหมือนจักรยนต์
เรื่องดีถ้าเพลิดเพลินเจริญใจ
เหมือนไฟจุดจิตหมองไม่ผ่องใส
เป็นของพ้นวิสัยจะได้เชย
อยากให้อยู่เป็นหนึ่งหวังพึงเฉย
สัญญาเคยอยู่ได้บ้างเป็นครั้งคราว
ใจนั้นก็ขาวสะอาดหมดมลทิน สิ้นเรื่องราว
เพราะเห็นจริงถอนหลุดสุดวิถี
จะจนจะมีตามเรื่องเครื่องนอกใน
ยึดสิ่งใดไม่ได้ตามใจหมาย
สังเกตจับรู้ได้สบายยิ่งเล็กบังใหญ่รู้ไม่ทัน
มัวดูธรรมขันธ์ไม่เห็นเป็นธุลีไป
ถามว่า-มี-ไม่มี
ทีนี้ติดหมดคิดแก้ไม่ไหว
ที่ว่าเกิดมีต่างๆ ทั้งเหตุผล
นี่ข้อต้นมีไม่มีอย่างนี้ตรง
ที่ล้ำลึกใครพบจบประสงค์
นั่นแลองค์ธรรมเอกวิเวกจริง
เป็นอารมณ์ของใจไม่ไหวติง
ใจก็สร่างจากเมาหายเร่าร้อน
เรื่องพัวพันขันธ์ห้าชาสิ้นไป
ความอยากใหญ่ยิ่งก็ทิ้งหลุด
ร้อนทั้งปวงก็หายหมดดังใจจง
สมุทัยของจิตที่ปิดธรรม
ย่อลงคือความรักบีบใจทำลายขันธ์
เป็นเลิศกันสมุทัยมิได้มี
ไม่ต้องคิดเวียนวนจนป่นปี้
ใจจากที่สมุทัยอาลัยตัว
จิตคิดรู้เห็นจริงจึงเย็นทั่ว
สร่างจากเครื่องมัวคือสมุทัยไปที่ดี
พอพักผ่อนสืบแสวงหาทางดี
ใจรู้ธรรมที่เป็นสุข
ธรรมคงเป็นธรรม


คำว่าเย็นสบายหายเดือดร้อน
ส่วนสังขารขันธ์ปราศจากสุขเป็นทุกข์แท้
จิตรู้ธรรมที่ล้ำเลิศจิตก็ถอน
ผิดเป็นโทษของใจที่ร้ายแรง
จิตเห็นธรรมดีเลิศที่พ้น
มีสติอยู่กับตัวบ่พัวพัน
สิ้นธุลีทั้งปวงหมดห่วงใย
เมื่อไม่ห้ามกลับไม่ฟุ้งยุ่งไป
ตอบว่าบาปเกิดได้เพราะไม่รู้
ชั่วทั้งปวงเงียบหายไม่ไหวติง


แต่ก่อนข้าพเจ้ามืดเขลาเหมือนเข้าถ้ำ
ยึดความจำว่าเป็นใจหมายจนเคย
ความจำผิดปิดไว้ไม่ให้เห็น
ให้ยกตัวออกตนพ้นประมาณ
ไม่ได้ผลดูโทษคนอื่นขืนใจ
ใครผิดถูกดีชั่วก็ตัวเขา
อย่าให้อกุศลวนมาตอม
เห็นคนอื่นเขาชั่วตัวก็ดี
ยึดขันธ์ต้องร้อนแท้เพราะแก่ตาย
เต็มทั้งรักทั้งโกรธโทษประจักษ์
ทั้งอารมณ์กามห้าก็มาชวน
เพราะยึดขันธ์ทั้ง 5 ว่าของตน
ถ้ารู้โทษของตัวแล้วอย่าช้าเลย
คงได้เชยชมธรรมอันเอกวิเวกจิต
เห็นแล้วขำดูดูอยู่ที่ไหว
เห็นธรรมแล้วย่อมหายวุ่นวายจิต
จริงเท่านี้หมดประตู
รู้เท่าที่ไม่เที่ยงจิตต้นพ้นริเริ่ม
รู้ต้นจิตพ้นจากผิดทั้งปวงไม่ห่วง
คำว่าที่มืดนั้นเพราะจิตคิดหวงดี
จิตต้นที่เมื่อธรรมะปรากฏหมดสงสัย
เรื่องจิตค้นวุ่นหามาแต่ก่อน
ยังมีทุกข์ต้องหลับนอนกับกินไปตามเรื่อง
ธรรมดาของจิตต้องคิดนึก
เงียบสงัดจากมารเครื่องรบกวน
เสื่อมทั้งนั้นคงไม่มีเลย
มักจะเบียดให้จิตไปติเฉย
เมื่อถึงเฮยหากรู้เองเพลงของจิต
ท่านว่าวิปัสสนูกิเลสจำแลงเพศ
รู้ขึ้นเองนามว่าความเห็น
ทั้งไตร่ตรองแยกแยะและรูปนาม
รู้ขึ้นเองใช่เพลงจิตรู้ต้นจิต
เรื่องแปรปรวนใช่กระบวนไป
จิตคงรู้จิตเองเพราะเพลงไหว
แยกไม่ได้ตามจริงสิ่งเดียวกัน
ไม่เที่ยงนั้นก็ตัวเองไปเลงใคร
ใจก็จืดสิ้นรสหมดสงสัย
ความอาลัยทั้งปวงก็ร่วงโรย
เรื่องจิตอยากก็หยุดให้หายหิวโหย
เหมือนฝนโปรยใจก็เย็นด้วยเห็นใจ
รู้จิตค้นปัจจุบันพ้นหวั่นไหว
เพราะดับไปทั้งเรื่องเครื่องรุงรัง
ตามแต่การ ของจิตสิ้นคิดหวัง
นอนหรือนั่งนึกพ้นอยู่ต้นจิต
ช่างต่อแต้มกว้างขวางสว่างไสว
ขอจงโปรดชี้ให้พิสดารเป็นการดี


ตอบว่าสมุทัยคืออาลัยรักเพลินยิ่งนัก
ว่าอย่างต่ำกามคุณห้าเป็นราคี
ถ้าจะจับตามวิธีมีในจิต
เคยทั้งปวงเพลินมาเสียช้านาน
ไปในส่วนที่ผิดก็เลยแตกกิ่งก้านฟุ้งซ่านใหญ่
สิ่งใดชอบอารมณ์ก็ชมเพลิน
เพลินดูโทษคนอื่นดื่นด้วยชั่ว
โทษคนอื่นเขามากสักเท่าไร
โทษของเราเศร้าหมองไม่ต้องมาก
หมั่นดูโทษตนไว้ให้ใจเคย
เมื่อเห็นโทษตนชัดพึงตัดทิ้ง
เรื่องอยากดีไม่หยุดคือตัวสมุทัย
ดีไม่ดีนี้เป็นผิดของจิตนัก
กำเริบโรคด้วยพิษสำแลง
ความอยากดีมีมากมักลากจิต
สรรพชั่วมัวหมองก็ต้องเติม
ที่จริงชี้สมุทัยนี่นี่ใจฉันคร้าม
เมื่อชี้มรรคฟังใจไม่ไหวติง
อันนี้ชื่อว่าขันธะ วิมุติสมังคีธรรม
สภาวธรรมที่เป็นจริงสิ่งเดียวเท่านั้น
สิ้นเนื้อความแต่เพียงเท่านี้

  อยากได้สุขพ้นภัยเที่ยวผายผัน
แต่เที่ยวหมั่นไปมาอยู่ช้านาน
อยากจะพ้นแท้ๆ เรื่องแก่ตาย
ท่านก็ปะถ้ำสนุกสุขไม่หาย
ชะโงกดูถ้ำสนุกทุกข์คลาย
ดำเนินไปเมินมาอยู่หน้าเขา
ก็กลัวเขาเหมาว่าเป็นบ้า
เป็นอันจบเรื่องคิดไม่ติดต่อ
เดี๋ยวถูกยอถูกติเป็นเรื่องเครื่องรำคาญ


คิดกลัวตายน้ำใจฝ่อ
ถามว่าท่านพากเพียรมาก็ช้านาน
เอ๊ะ! ทำไมจึงรู้ใจฉัน
ท่านว่าดีดีฉันอนุโมทนา
คือ กายคตาสติภาวนา
หนทางจรอริยวงศ์
ไม่หลอกเล่นบอกความให้ตามจริง



ตอบว่าวิ่งเร็วคือวิญญาณอาการใจ
สัญญาตรงไม่สงสัย
สัญญาเหนี่ยวภายนอกหลอกลวงจิต
หลอกเป็นธรรมต่างๆ อย่างมายา
แก้ว่าใจซิพ้นอยู่คนเดียว
หมดที่หลงอยู่เดียวดวง
ถามว่าที่ว่าตายใครเขาตายที่ไหนกัน
ถามว่าสิ่งก่อให้ต่อวน
เชื่อสัญญาจึงผิดคิดยินดี
เลยลืมจิตจำปิดสนิทเนียน
ถามว่าใครกำหนดใครหมายเป็นธรรม
เรื่องหาเจ้าสัญญานั้นเอง
ถามว่ากินหนเดียวเที่ยวไม่กิน
ในเรื่องเห็นต่อไปหายรุงรัง
ถามว่าสระสี่เหลี่ยมเปี่ยมด้วยน้ำ
ใสสะอาดหมดราคีไม่มีภัย
ใจจึงเปี่ยมเต็มที่ไม่มีพร่อง
เป็นของควรชมชื่นทุกคืนวัน
หาแม้นเหมือนรู้จริงทิ้งสังขาร
จำส่วนจำกั้นอยู่ไม่ก้ำเกิน
เหมือนอย่างว่ากระจกส่องหน้า
เพราะว่าสัญญานั้นดังเงา
ใจขยันจับใจที่ไม่ปน
ใจไม่เที่ยวของใจใช่ต้องว่า
แต่ก่อนนั้นหลงสัญญาว่าเป็นใจ
คราวนี้ใจเป็นใหญ่ไม่หมายพึ่ง
เกิดก็ตามดับก็ตามสิ่งทั้งปวง
เหมือนยืนบนยอดเขาสูงแท้แลเห็นดิน
เป็นมรรคาทั้งนั้นเช่นบันได
ตอบว่าสังขารแปรก็ไม่ได้
ขืนผลักไสจับต้องก็หมองมัว
สภาพสิ่งเป็นจริงดีชั่ว
ไม่พัวพันสังขารเป็นการเย็น
เบื่อแล้วปล่อยได้คล่องไม่ต้องเกณฑ์
รับอาการถามว่าห้าหน้าที่มีครบครัน
เรื่องสังขารต่างกองรับหน้าที่มีกิจการ
แม้ลาภยศสรรเสริญเจริญสุข
รวมลงตามสภาพตามเป็นจริง
เพราะว่ารูปขันธ์ก็ทำแก่ไข้มิได้ถ้วน
เพราะรับผลของกรรมที่ทำมา
เรื่องชั่วขุ่นวุ่นจิตคิดไม่หยุด
นึกขึ้นเองทั้งรักทั้งโกรธไม่โทษใคร
เช่นไม่อยากให้จิตเที่ยวคิดรู้
จิตเป็นของผันแปรไม่แน่เลย
ถ้ารู้เท่าธรรมดาทั้งห้าขันธ์
ถ้ารู้ได้อย่างนี้จึงดียิ่ง
ไม่ฝ่าฝืนธรรมดาตามเป็นจริง
ดีหรือชั่วต้องดับเลื่อนลับไป
ใจไม่เที่ยวของใจไวหวะวับ
ขันธ์บังธรรมมิดผิดที่นี้
ส่วนธรรมมีใหญ่กว่าขันธ์นั้นไม่แล
ไม่มีมีนี้คืออะไร
เชิญชี้ให้ชัดทั้งอรรถแปลโปรดแก้เถิด
แล้วดับไม่มีใช่สัตว์คน
ข้อปลายไม่มีมีนี้เป็นธรรม
ไม่มีสังขารมีธรรมที่มั่นคง
ธรรมเป็นหนึ่งไม่แปรผันเลิศพบสงบนิ่ง
ระงับยิ่งเงียบสงัดชัดกับใจ
ความอยากถอนได้หมดปลดสงสัย
เครื่องหมุนในไตรจักรก็หักลง
ความรักหยุดหายสนิทสิ้นพิศวง
เชิญเถิดชี้อีกสักอย่างหนทางใจ
แก้ว่าสมุทัยกว้างใหญ่นัก
ถ้าธรรมมีกับจิตเป็นนิจนิรันดร์
จงจำไว้อย่างนี้วิถีจิต
ธรรมไม่มีอยู่เป็นนิจติดยินดี
ว่าอย่างย่อทุกข์กับธรรมประจำจิต
จะสุขทุกข์เท่าไรมิได้กลัว
รู้เท่านี้ก็จะคลายหายความร้อน
จิตรู้ธรรมลืมจิตที่ติดธุลี
ขันธ์ทุกขันธ์แน่ประจำ
ขันธ์คงเป็นขันธ์เท่านั้นแล


หมายจิตถอนจากผิดที่ติดแก้
เพราะต้องแก่ไข้ตายไม่วายวัน
จากผิดเครื่องเศร้าหมองของแสลง
เห็นธรรมแจ้งธรรมผิดหมดพิษใจ
พบปะธรรมปลดเปลื้องเครื่องกระสัน
เรื่องรักขันธ์หายสิ้นขาดยินดี
ถึงจะคิดก็ไม่ห้ามตามนิสัย
พึงรู้ได้ว่าบาปมีขึ้นเพราะขืนจริง
ถ้าปิดประตูเขลาได้สบายยิ่ง
ขันธ์ทุกสิ่งย่อมทุกข์ไม่สุขเลย


อยากเห็นธรรมยึดใจจะให้เฉย
เลยเพลินเชยชมจำธรรมมานาน
จึงหลงเล่นขันธ์ 5 น่าสงสาร
เที่ยวระรานติคนอื่นเป็นพื้นไป
เหมือนก่อไฟเผาตัวต้องมัวมอม
ใจของเราเพียรระวังตั้งถนอม
ควรถึงพร้อมบุญกุศลผลสบาย
เป็นราคียึดขันธ์ที่มั่นหมาย
เลยซ้ำร้ายกิเลสเข้ากลุ้มรุมกวน
ทั้งหลงนักหนักจิตคิดโทษหวล
ยกกระบวนทุกอย่างต่างๆ กัน
จึงไม่พ้นทุกข์ร้ายไปได้เลย
ดูอาการสังขารที่ไม่เที่ยงร่ำไปให้ใจเคย
ไม่เพียงนั้นหมายใจไหวจากจำ
อารมณ์นอกดับระงับไปหมดปรากฏธรรม
จิตนั้นไม่ติดคู่
รู้ไม่รู้วิธีจิต
คงจิตเดิมอย่างเที่ยงแท้
ถ้าออกไปปลายจิตผิดทันที
จิตหวงนี้ปลายจิตคิดออกไป
เห็นธรรมอันอันเกิดเลิศโลกา
ก็เลิกถอนเปลื้องปลดหมดได้ไปสิ้น
ใจเชื่องชิดต้นจิตคิดไม่ครวญ
พอรู้สึกจิตคุ้นพ้นรำคาญ
ธรรมดาสังขารปรากฏหมดด้วยกัน
ระวังใจเมื่อจำทำละเอียด
ใจไม่เที่ยงของใจซ้ำให้เคย
เหมือนดังมายาที่หลอกลวง
เหมือนดังจริงที่แท้ไม่ใช่จริง
ไม่ใช่เข่นฟังเข้าใจชั้นไต่ถาม
ก็ใช่ความเห็นต้องจงเล็งดู
จิตตนพ้นรำคาญ ต้นจิตรู้ตัวว่าสังขาร
ดูหรือรู้จริงอะไรรู้อยู่เพราะหมายคู่ก็ไม่ใช่
จิตรู้ไหวไหวก็จิตคิดกันไป
จิตเป็นของอาการเรียกว่าสัญญาพาพัวพัน
ใจรู้เสื่อมของตัวพ้นมัวมืด
ขาดต้นคว้าหาเรื่องเครื่องนอกใน
ทั้งโกรธรักเครื่องหนักใจก็ไปจาก
พ้นหนักใจทั้งหลายหายอิดโรย
ใจเย็นเพราะไม่ต้องเที่ยวมองคน
ดีหรือชั่วทั้งปวงไม่ห่วงใย
อยู่เงียบๆ ต้นจิตไม่คิดอ่าน
ไม่ต้องวุ่นไม่ต้องวายหายระวัง
ท่านชี้มรรคทั้งหลักแหลม
ยังอีกอย่างทางใจไม่หลุดสมุทัย



ทำภพใหม่ไม่หน่ายหนี
อย่างสูงชี้สมุทัยอาลัยฌาน
ก็เรื่องคิดเพลินไปในสังขาร
กลับเป็นการดีไปให้เจริญจิต
เที่ยวเพลินไปในผิดไม่คิดเขิน
เพลินจนเกินลืมตัวไม่กลัวภัย
โทษของตัวไม่เห็นเป็นไฉน
ไม่ทำให้เราตกนรกเสียเลย
ลงวิบากไปตกนรกแสนสาหัส
เว้นเสียซึ่งโทษนั้นคงได้เชยชมสุขพ้นทุกข์ภัย
ทำอ้อยอิ่งคิดมากจากไม่ได้
เป็นโทษใหญ่กลัวจะไม่ดีนี้ก็แรง
เหมือนไข้หนักถูกต้องของแสลง
ธรรมไม่แจ้งเพราะอยากดีนี้เป็นเดิม
ให้เที่ยวคิดวุ่นไปจนใจเหิม
ผิดยิ่งเพิ่มร่ำไปไกลจากธรรม
ฟังเนื้อความไปข้างฟุ้งทางยุ่งยิ่ง
ระงับนิ่งใจสงบจบกันที
ประจำอยู่กับที่ไม่มีอาการไปไม่มีอาการมา
และไม่มีเรื่องจะแวะเวียน
ผิดหรือถูกจงใช้ปัญญาตรองดูให้รู้เถิด

พระภูริทัตโต (หมั่น) วัดสระประทุมวันเป็นผู้แต่ง




บทประพันธ์ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ ที่ท่านได้อ่านด้านบนนี้
หากต้องการอ่านเป็นลายมือต้นฉบับ ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต <คลิกที่นี่>

*** ( คงรูปคำตามลายมือท่าน เช่นคำว่า พระภูริทัตโต (หมั่น) นั้นไม่ได้พิมพ์ผิดแต่ประการใด )