ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 

อ่านชาดก 270000อ่านชาดก 272228อรรถกถาชาดก 272245
เล่มที่ 27 ข้อ 2245อ่านชาดก 272261อ่านชาดก 272519
อรรถกถา หัตถิปาลชาดก
ว่าด้วย กาลเวลาไม่คอยใคร

พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการออกมหาภิเนษกรมณ์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า จิรสฺสํ วต ปสฺสาม ดังนี้.
แท้จริงในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในชาตินี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน ตถาคตก็ได้ออกสู่มหาภิเนษกรมณ์มาแล้วเหมือนกัน
แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังนี้
ในอดีตกาล มีพระราชาทรงพระนามว่า เอสุการี ได้ครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พราหมณ์ปุโรหิตผู้หนึ่งเป็นปิยสหายของพระราชานั้นตั้งแต่ครั้งยังเยาว์อยู่ด้วยกัน แม้ทั้งสองนั้น หามีโอรสและบุตรผู้จะสืบสกุลไม่
ครั้นวันหนึ่งในยามที่มีความสุข พระราชากับพราหมณ์ปุโรหิต จึงปรึกษากันว่า อิสริยยศของเราทั้งสองมีมาก โอรสหรือธิดาไม่มีเลย เราทั้งสองควรจะทำอย่างไรดี.
ลำดับนั้น พระเจ้าเอสุการีตรัสสั่งพราหมณ์ปุโรหิตว่า สหายรัก ถ้าหากว่าในเรือนของท่าน จักเกิดมีบุตรขึ้นไซร้ บุตรของท่านจักเป็นเจ้าของครอบครองราชสมบัติของเรา ถ้าว่าเราจักเกิดมีบุตรขึ้น บุตรของเราจักต้องเป็นเจ้าของครอบครองโภคสมบัติในเรือนของท่านด้วย.
ทั้งสองฝ่ายต่างได้ทำการนัดหมายซึ่งกันแลกันไว้ด้วยอาการอย่างนี้.
ต่อมาวันหนึ่ง พราหมณ์ปุโรหิตไปยังบ้านส่วยของตนในเวลาจะกลับ จึงเข้าสู่พระนครทางประตูด้านทิศทักษิณ พบสตรีเข็ญใจชื่อ พหุปุตติกะ คนหนึ่ง ในภายนอกพระนคร นางมีบุตรเจ็ดคนทั้งหมดไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ลูกชายคนหนึ่งถือกระเบื้องอันเป็นภาชนะหุงต้ม คนหนึ่งหอบเสื่อปูนอน คนหนึ่งเดินนำหน้า คนหนึ่งเดินตามหลัง คนหนึ่งเดินเกาะนิ้วมือมารดาเดินไป คนหนึ่งอยู่ที่สะเอว อีกคนหนึ่งอยู่บนบ่า
ลำดับนั้น พราหมณ์ปุโรหิต ถามหญิงผู้เป็นมารดาว่า แม่มหาจำเริญ บิดาของเด็กๆ เหล่านี้อยู่ที่ไหน? ฝ่ายหญิงเข็ญใจนั้นก็ตอบว่า บิดาของเด็กๆ เหล่านี้ จะได้มีอยู่ประจำก็หามิได้.
ปุโรหิตจึงถามต่อไปว่า เจ้าทำอย่างไรถึงได้ลูกชายมากถึงเจ็ดคนเช่นนี้
นางไม่เห็นหลักฐานอื่นเป็นเครื่องยืนยัน เห็นต้นไทรต้นหนึ่งขึ้นอยู่ใกล้ประตูพระนคร จึงตอบไปว่า ข้าแต่นาย ดิฉันบวงสรวงปรารถนาในสำนักของเทพยดาซึ่งสิงอยู่ที่ต้นไทร จึงได้บุตรถึงเจ็ดคน เทพยดาที่สิงอยู่นี้ให้บุตรทั้งหมดแก่ดิฉัน.
ปุโรหิตพูดว่า ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงไปเถิด แล้วลงจากรถตรงไปยังต้นไทร จับกิ่งไทรเขย่า พลางขู่รุกขเทพยดาว่า เทพยดาผู้เจริญ ท่านไม่ยอมให้โอรสแก่พระราชาบ้างเลย อะไรบ้างที่ท่านไม่ได้จากสำนักพระราชาทุกๆ ปีมา พระราชาทรงสละพระราชทรัพย์ถึงพันกหาปณะ ตรัสสั่งให้ทำพลีกรรมแก่ท่าน ท่านยังไม่ให้โอรสแก่พระองค์เลย หญิงเข็ญใจนี้ทำอุปการคุณอะไรแก่ท่าน เหตุไรท่านจึงให้บุตรแก่นางถึงเจ็ดคน ถ้าหากว่าท่านไม่ให้โอรสแก่พระราชาของเรา จากนี้ไปอีก ๗ วัน เราจักให้คนฟันต้นไทรโค่นลงทั้งราก สับให้เป็นท่อนๆ ดังนี้แล้วก็หลีกไป
พอรุ่งขึ้นๆ ปุโรหิตก็ไปยังต้นไทรนั้น แล้วกล่าวขู่โดยทำนองนี้ จนครบ ๖ วัน.
แต่ในวันที่ ๖ ได้จับกิ่งไทรพูดว่า ดูก่อนรุกขเทวดา เหลืออีกเพียงราตรีเดียวเท่านั้น ถ้าท่านไม่ยอมให้โอรสผู้ประเสริฐแก่พระราชาของเราไซร้ พรุ่งนี้เราจักให้สำเร็จโทษท่าน.
รุกขเทวดาคำนึงดูรู้เหตุผลนั้นแน่นอนแล้วคิดว่า เมื่อพราหมณ์ผู้นี้ไม่ได้บุตร คงจักทำลายวิมานของเราจนพินาศ เราควรให้บุตรแก่พราหมณ์ปุโรหิตนี้ ด้วยอุบายอย่างใดหนอ ดังนี้แล้วจึงไปยังสำนักของท้าวจาตุมหาราช แจ้งเนื้อความนั้นให้ทราบ
ท้าวจาตุมหาราชกล่าวปฏิเสธว่าพวกเราไม่สามารถจะให้บุตรแก่พราหมณ์ปุโรหิตนั้นได้
รุกขเทวดาจึงไปยังสำนักของยักขเสนาบดี ๒๘ ตนแจ้งเรื่องให้ทราบ. แม้ยักขเสนาบดีเหล่านั้นก็กล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน
รุกขเทวดาจึงไปยังสำนักของท้าวสักกเทวราช กราบทูลให้ทรงทราบ ฝ่ายท้าวสักกเทวราชทรงใคร่ครวญดูว่า พระราชาจักได้พระราชโอรสผู้สมควรหรือหาไม่ ทอดพระเนตรเห็นเทพบุตร ๔ องค์ผู้มีบุญ(ควรเกิดในราชตระกูล).
ได้ยินว่า ในภพก่อนๆ เทพบุตรทั้ง ๔ นั้นเกิดเป็นช่างหูกอยู่ในเมืองพาราณสี แบ่งทรัพย์ที่หาได้จากการงานนั้นเป็น ๕ ส่วน บริโภคเสีย ๔ ส่วน ถือเอาส่วนที่ ๕ พร้อมกันทำบุญให้ทาน ช่างทอหูกทั้ง ๔ นั้นเคลื่อนจากภพนั้นแล้วบังเกิดในดาวดึงสพิภพ ต่อแต่นั้น เลื่อนขึ้นไปบังเกิดในพิภพยามา เที่ยวเสวยทิพยสมบัติอยู่ในเทวโลก ๖ ชั้น วนไปเวียนมาด้วยอาการอย่างนี้
ก็คราวนั้น ถึงวาระที่เทพบุตรเหล่านั้นจะเคลื่อนจากดาวดึงสพิภพไปเกิดยังพิภพยามา ท้าวสักกเทวราชจึงเสด็จไปยังสำนักของเทพบุตรเหล่านั้น ตรัสเรียกมาแล้ว มีเทวบัญชาว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลายควรที่พวกท่านจักไปบังเกิดยังมนุษยโลก พวกท่านจงบังเกิดในพระครรภ์อัครมเหสีแห่งพระเจ้าเอสุการีราชเถิด.
เทพบุตรเหล่านั้นได้ฟังพระดำรัสแห่งท้าวสักกเทวราชแล้วพากันกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พะย่ะค่ะ พวกข้าพระบาทจักไปตามเทวโองการ แต่ว่าพวกข้าพระบาทไม่มีความต้องการราชตระกูล จักพากันไปบังเกิดในเรือนของท่านปุโรหิต แล้วจักละกามสมบัติออกบวชในเวลาที่ยังเป็นหนุ่มอยู่นั่นเอง.
ท้าวสักกเทวราชทรงรับปฏิญญาของเทพบุตรเหล่านั้นว่าดีแล้ว จึงเสด็จมาบอกเนื้อความนั้นแก่รุกขเทวดา.
รุกขเทวดาดีใจถวายบังคมท้าวสักกเทวราช แล้วตรงไปยังวิมานของตนทันที.
ครั้นในวันรุ่งขึ้น พราหมณ์ปุโรหิตมีบัญชาให้บุรุษที่ล่ำสันมีกำลังมาประชุมกัน แล้วให้ถือมีดและขวานเป็นต้นไปยังโคนต้นไม้ จับกิ่งไทรไว้แล้วพูดว่า ดูก่อนเทพยดาผู้เจริญ เราเพียรขอบุตรกะท่าน ครบ ๗ วันทั้งวันนี้ บัดนี้เป็นเวลาที่จะสำเร็จโทษท่านละ.
ลำดับนั้น รุกขเทวดาจึงออกมาจากระหว่างต้นไทรด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ เชื้อเชิญปุโรหิตนั้นมาด้วยเสียงอันไพเราะ แล้วกล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์ บุตรคนเดียวจะเป็นไรไป เราจักให้บุตรแก่ท่าน ๔ คน
พราหมณ์ปุโรหิตตอบว่า ข้าพเจ้าไม่มีความต้องการบุตร ท่านโปรดให้แก่พระราชาของข้าพเจ้าเถิด.
รุกขเทวดากล่าวว่า เราจักให้แก่ท่านเท่านั้น
พราหมณ์ปุโรหิตขอร้องว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงให้ข้าพเจ้าสองคน ให้พระราชาสองคนเถิด.
รุกขเทวดาตอบว่า เราจะไม่ให้พระราชา จะให้ท่านผู้เดียวเท่านั้นแม้ทั้ง ๔ คนแต่บุตรทั้ง ๔ นั้น ท่านจักเป็นเพียงแต่สักว่าได้เท่านั้น (เพราะ)บุตรทั้ง ๔ นั้นจะไม่อยู่ครองเรือน จักพากันออกบวชแต่ในเวลาที่ยังเป็นหนุ่มทีเดียว.
พราหมณ์ปุโรหิตอ้อนวอนต่อไปว่า ท่านโปรดให้บุตรแก่พระราชาหมดทั้ง ๔ คนเถิด ส่วนเหตุที่จะไม่ให้บุตรทั้ง ๔ ออกบวชเป็นภาระของข้าพเจ้าเอง. รุกขเทวดาประทานบุตรผู้ประเสริฐแก่พราหมณ์ปุโรหิตนั้นแล้วเข้าไปยังพิภพของตน จำเดิมแต่นั้นมา ลาภสักการะก็เกิดแก่เทวดาอย่างนองเนือง.
เชษฐกเทพบุตรจุติมาบังเกิดในครรภ์นางพราหมณีภรรยาของพราหมณ์ปุโรหิต
ในวันขนานนามกุมารนั้น มารดาบิดาพร้อมกันให้ชื่อว่าหัตถิปาลกุมาร แล้วมอบให้นายควาญช้างรับเลี้ยงไว้ เพื่อต้องการป้องกันมิให้กุมารนั้นบวช. หัตถิปาลกุมารนั้นเจริญเติบโตในสำนักของนายควาญช้าง. ในกาลที่หัตถิปาลกุมารเดินไปมาได้ เทพบุตรองค์ที่สองก็จุติมาบังเกิดในครรภ์ของนางพราหมณีอีก. กาลเมื่อกุมารนั้นเกิดแล้ว มารดาบิดาก็ขนานนามให้ว่าอัสสปาลกุมาร. อัสสปาลกุมารก็เจริญเติบโตในสำนักของคนเลี้ยงม้า. ในกาลที่บุตรคนที่สามเกิดแล้ว มารดาบิดาขนานนามให้ว่าโคปาลกุมาร มอบให้นายโคบาลเลี้ยงไว้ ในเวลาที่บุตรคนที่สี่เกิดแล้ว มารดาบิดาขนานนามให้ว่าอชปาลกุมาร มอบให้นายอชบาลเลี้ยงไว้. อชปาลกุมารเจริญเติบโตกับพวกอชบาล.
ครั้นกุมารเหล่านั้นเจริญวัย เติบโตแล้วได้เป็นผู้มีรูปร่างงดงามยิ่งนัก.
ต่อมามารดาบิดาทั้งสองก็เชื้อเชิญบรรพชิตทั้งหลายออกไปเสียจากพระราชอาณาเขต เพราะกลัวกุมารเหล่านั้นจะบวช. ในแคว้นกาสิกรัฐทั้งหมดจะมีบรรพชิตแม้องค์เดียวก็หามิได้.
กุมารทั้ง ๔ เหล่านั้นเป็นผู้หยาบช้ากล้าแข็งยิ่งนัก จะไปสู่ทิศใดก็พากันแย่งชิงเอาสิ่งของที่เขานำจากทิศนั้นๆ. เมื่อหัตถิปาลกุมารอายุครบ ๑๖ ปี พระราชาและพราหมณ์ปุโรหิตได้เห็นสรีรสมบัติแล้ว จึงปรึกษากันว่า กุมารทั้ง ๔ เติบใหญ่แล้วเป็นสมัยที่จะยกเศวตฉัตรให้ครอบครองราชสมบัติ เราควรจะจัดการกับกุมารเหล่านั้นอย่างไรดี
แล้วคิดต่อไปว่า กุมารเหล่านี้นับแต่ได้รับอภิเษกแล้วคงจักหยาบช้าสาหัสยิ่งขึ้น ถ้าบรรพชิตทั้งหลายจักมาจากที่ต่างๆ ในเวลานี้ กุมารเหล่านี้เห็นเข้าก็จักพากันบวชเสีย เวลาที่กุมารเหล่านี้บวชแล้ว ชาวชนบทก็จะรวนเรกำเริบ เราทั้งสองต้องทดลองดูก่อน จึงจักอภิเษกกุมารเหล่านั้นต่อภายหลัง แล้วทั้งสองคนต่างแปลงเพศเป็นฤาษี (ทำเป็น) เที่ยวภิกษาจารไปจนถึงประตูนิเวศน์แห่งหัตถิปาลกุมาร
หัตถิปาลกุมารเห็นบรรพชิตจำแลงเหล่านั้นแล้ว ยินดีมีความเลื่อมใส เข้าไปใกล้ถวายนมัสการ แล้วกล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า
นานทีเดียว ข้าพเจ้าเพิ่งได้พบเห็นผู้มีผิวพรรณดังเทพยเจ้า มุ่นชฎาใหญ่ ทรงไว้ซึ่งหาบคอน ผู้ทรมานกิเลสดังเปลือกตมแล้ว ผู้ย้อมเศียรเกล้า.
นานนักหนา ข้าพเจ้าเพิ่งได้เห็นพระฤาษีผู้ยินดีในธรรมคุณ นุ่งห่มผ้าย้อมฝาด ครองผ้าคากรอง ปกปิดโดยรอบ.
ขอท่านผู้เจริญจงรับอาสนะ น้ำ ผ้าเช็ดเท้าและน้ำมันทาเท้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอต้อนรับท่านด้วยสิ่งของมีค่ามาก ได้กรุณารับของมีค่ามากของข้าพเจ้าเถิด.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺราหฺมณํ ได้แก่ พราหมณ์ผู้ลอยบาปแล้ว.
บทว่า เทววณฺณินํ ความว่า ผู้มีวรรณะอันประเสริฐ มีตบะกล้า มีอินทรีย์ผ่องใสน่านับถือ มีอัตภาพแห่งบรรพชิต มีตบธรรมอันสูงส่ง.
บทว่า ขาริธรํ ความว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งขาริภารภัณฑ์.
บทว่า อิสึ ความว่า ผู้แสวงหาคุณธรรมมีกองศีลเป็นต้น ดำรงอยู่แล้ว.
บทว่า ธมฺมคุเณรตํ ความว่า ผู้ยินดียิ่งแล้วในส่วนแห่งสุจริตธรรม.
บทว่า อาสนํ ความว่า หัตถิปาลกุมารแต่งตั้งอาสนะนี้ไว้เพื่อฤาษีเหล่านั้นนั่ง แล้วน้อมน้ำเจือด้วยน้ำหอม ผ้าเช็ดเท้า และน้ำมันสำหรับหยอดเข้าไปถวายแล้วกล่าวเชื้อเชิญ.
บทว่า อคฺเฆ ความว่า ข้าพเจ้ามอบอาสนะเป็นต้นอันมีค่ามากทั้งหมดเหล่านี้ กะท่านผู้เจริญ.
บทว่า กุรุเต โน ความว่า ขอท่านผู้เจริญจงรับอาสนะเป็นต้นอันมีค่ามากเหล่านี้ของข้าพเจ้าด้วยเถิด.

หัตถิปาลกุมารกล่าวเชื้อเชิญบรรดาฤาษีทั้งสองเหล่านั้นเป็นรายรูปต่างวาระกันอย่างนี้.
ลำดับนั้น ปุโรหิตฤาษีแปลงแกล้งถามว่า แน่ะพ่อหัตถปาละ เจ้าสำคัญเราทั้งสองเป็นใครกันจึงกล่าวอย่างนี้ หัตถิปาลกุมารตอบว่า ข้าพเจ้าสำคัญว่า พวกท่านเป็นฤาษีผู้อยู่ในหิมวันตประเทศ
ปุโรหิตแปลงจึงชี้แจงว่า พ่อคุณ พวกเรามิใช่พระฤาษี นี้คือราชาเอสุการี เราคือปุโรหิตผู้เป็นบิดาของเจ้า.
หัตถิปาลกุมารถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรบิดากับพระราชาจึงต้องปลอมเพศเป็นฤาษี?. ปุโรหิตตอบว่า เพื่อจะทดลองเจ้าดู.
หัตถิปาลกุมารถามว่า ทดลองข้าพเจ้าทำไม? พราหมณ์ปุโรหิตจึงกล่าวว่า ทดลองดูว่า ถ้าเจ้าเห็นพวกเราแปลงเป็นพระฤาษีแล้ว มิได้บวชไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราจึงมาเพื่ออภิเษกเจ้าให้เสวยราชสมบัติ.
หัตถิปาลกุมารกล่าวว่า ข้าแต่ท่านบิดา ข้าพเจ้าไม่มีความต้องการราชสมบัติเลย ข้าพเจ้าจักบวช.
ลำดับนั้น ปุโรหิตผู้บิดาจึงกล่าวชี้แจงกะหัตถิปาลกุมารว่า หัตถิปาลกุมารลูกรัก เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะบวช เมื่อจะพร่ำสอนตามอัธยาศัย จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ความว่า
หัตถิปาละลูกรัก เจ้าจงเรียนวิชาและจงแสวงหาทรัพย์ จงปลูกฝังบุตรและธิดาให้ดำรงอยู่ในเรือนเสียก่อน แล้วจงบริโภคกลิ่นรสและวัตถุกามทั้งปวงเถิด กิจที่จะอยู่ป่าเมื่อเวลาแก่สำเร็จประโยชน์ดี มุนีใดบวชในกาลเช่นนี้ได้ มุนีนั้น พระอริยเจ้าสรรเสริญ.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อธิจฺจ แปลว่า เล่าเรียนศึกษา.
บทว่า ปุตฺเต ความว่า จงยกเศวตฉัตรให้พวกนาฏกชนเข้าอุปัฏฐากบำรุงโดยวาระจนเจริญด้วยบุตรธิดา แล้วให้บุตรธิดาเหล่านั้น ครอบครองบ้านเมืองแทนตน.
บทว่า สพพํ ความว่า เจ้าจงเสวยกลิ่นและรสเหล่านี้ ทั้งพัสดุกามที่เหลือทั้งหมดก่อน.
บทว่า อรญฺญํ สาธุ มุนิ โส ปสตฺโถ ความว่า ปุโรหิตกล่าวว่า การอยู่ป่าของผู้ที่บวชในเวลาแก่ภายหลัง ย่อมได้ประโยชน์สำเร็จดี ผู้ใดบวชในเวลาดังกล่าวมานี้ ผู้นั้นเป็นคนมีความคิด อันอริยชนทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นสรรเสริญแล้ว.

ลำดับนั้น หัตถิปาลกุมารกล่าวคาถา ความว่า
วิชาเป็นของไม่จริง และลาภคือทรัพย์ก็ไม่จริง ใครๆ จะห้ามความชราด้วยลาภ คือบุตรไม่ได้เลย สัตบุรุษทั้งหลายสอนให้ปล่อยวางคันธารมณ์ และรสารมณ์เสีย ความอุบัติแห่งผลย่อมมีได้ เพราะกรรมของตน.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น สจฺจา ความว่า ชนทั้งหลายกล่าววิทยาการอันใดว่าเป็นสวรรค์และเป็นมรรค แต่ก็หาใช่วิทยาการอันนั้นให้สำเร็จประโยชน์ไม่ วิชาทั้งหลายเป็นของเปล่าประโยชน์ไร้สาระ หาผลมิได้.
บทว่า วิตฺตลาโภ ความว่า แม้ลาภคือทรัพย์สมบัติจะเป็นของมีสภาพเป็นอันเดียวไปทุกอย่างก็หามิได้ เพราะเป็นของปัญจสาธารณ์.
บทว่า น ชรํ ความว่า ข้าแต่ท่านบิดา ใครๆ จะชื่อว่าสามารถเพื่อจะห้ามชรา หรือพยาธิมรณะได้ด้วยลาภคือบุตรก็มิได้มี เพราะลาภคือบุตรเป็นต้นนี้ มีทุกข์เป็นมูล เป็นที่ตั้งแห่งอุปธิกิเลส.
บทว่า คนฺเธ รเส ความว่า บัณฑิตทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมกล่าวสอนเฉพาะความปล่อยวางคันธารมณ์ รสารมณ์ และอารมณ์ที่เหลือทั้งหลายเท่านั้น.
บทว่า สกมฺมุนา ความว่า ความบังเกิดแห่งผลคือความเผล็ดผล ย่อมเกิดแก่สัตว์ทั้งหลาย เพราะกรรมอันตนทำไว้เท่านั้น ข้าแต่ท่านบิดา เพราะสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน.

พระราชาทรงสดับคำของกุมารแล้ว ตรัสพระคาถาความว่า
คำของเจ้าที่ว่า ความอุบัติแห่งผลย่อมมีได้ เพราะกรรมของตนนั้น เป็นคำจริงแท้แน่นอน อนึ่ง มารดาบิดาของท่านนี้แก่เฒ่าแล้ว หวังจะเห็นท่านมีอายุยืนร้อยปี ไม่มีโรค.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วสฺสสตํ อโรคฺยํ ความว่า พระราชาตรัสว่า มารดาบิดาของเจ้านั้นประสงค์จะเห็นเจ้ามีอายุยืนร้อยปี ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน เมื่อเจ้ามีชีวิตอยู่ถึงร้อยปี จักได้เลี้ยงดูมารดาบิดาบ้าง.

หัตถิปาลกุมารฟังพระราชดำรัสแล้วกราบทูลว่า ขอเดชะพระองค์ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ เหตุไรพระองค์จึงตรัสเช่นนี้ แล้วกล่าวคาถาสองคาถา ความว่า
ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐกว่านรชน ความเป็นสหายกับความตาย ความไมตรีกับความแก่พึงมีแก่ผู้ใด หรือแม้ผู้ใดจะพึงรู้ว่า เราจักไม่ตาย มารดาบิดาพึงเห็นผู้นั้นมีอายุยืนร้อยปี ไม่มีโรคเบียดเบียนได้ในบางคราว.
บุรุษเอาเรือมาจอดไว้ที่ท่าน้ำ รับคนฝั่งนี้ส่งถึงฝั่งโน้น แล้วย้อนกลับรับคนฝั่งโน้น พามาส่งถึงฝั่งนี้ฉันใด ชรา และพยาธิ ก็ย่อมนำเอาชีวิตสัตว์ไปสู่อำนาจแห่งมัจจุราชอยู่เนืองๆ ฉันนั้น.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกฺขี ได้แก่ มิตรธรรม.
บทว่า มรเณน ความว่า ความเป็นมิตรกับความตายโดยสมมติว่า นายทัตตะ นายมิตตะ ตายไปแล้ว.
บทว่า ชราย ความว่า ก็มิตรไมตรีกับชราอันปรากฏพึงมีแก่ผู้ใด. อธิบายว่า มรณะนี้กับชราไม่เคยเป็นมิตรกับผู้ใดเลย.
บทว่า เอเรติ เจนํ ความว่า ขอเดชะพระมหาราชเจ้า บุรุษจอดเรือไว้ที่ท่าน้ำแล้ว ให้คนที่จะข้ามไปฝั่งโน้นลงเรือ ถ้าเขาเอาถ่อยัน หรือฉุดไปด้วยใจรัก ย่อมให้เรือหวั่นไหวติดต่อกันไป ทีนั้นก็นำผู้นั้นเข้าสู่ฝั่งโน้นได้ฉันใด ชราและพยาธิย่อมนำสัตว์ทั้งหลายเข้าไปสู่อำนาจแห่งมฤตยู อันเป็นที่สุด(ของชีวิต) เป็นนิตย์ฉันนั้น.

ครั้นหัตถิปาลกุมารแสดงชีวิตและสังขารแห่งสัตว์เหล่านี้ว่า เป็นของนิดหน่อยอย่างนี้แล้ว จึงถวายโอวาทพระราชาว่า ขอเดชะพระมหาราชเจ้า ขอพระองค์ดำรงอยู่เป็นสุขเถิด ชรา พยาธิ และมรณะย่อมรุกรานเข้าใกล้ข้าพระพุทธเจ้าผู้กำลังกราบทูลสนทนาอยู่กับพระองค์ทีเดียว ขอพระองค์อย่าได้ทรงประมาทมัวเมา แล้วถวายบังคมพระราชา กราบไหว้บิดา พาบริวารของตน ละทิ้งราชสมบัติในพระนครพาราณสี ออกไปด้วยตั้งใจว่า เราจักบรรพชา.
มหาชนออกไปพร้อมกับหัตถิปาลกุมาร ด้วยคิดว่า ขึ้นชื่อว่าบรรพชานี้คงจะงดงามดี. ได้มีบริษัทติดตามไปประมาณหนึ่งโยชน์.
หัตถิปาลกุมารไปถึงฝั่งน้ำคงคาพร้อมด้วยบริษัทนั้น เพ่งดูน้ำในแม่น้ำคงคา เจริญกสิณบริกรรม ยังฌานให้บังเกิด แล้วคิดว่า สมาคมนี้จักใหญ่ยิ่ง น้องชายของเราสามคน มารดาบิดาของเรา พระราชาและพระราชเทวี ท่านทั้งหมดเหล่านี้พร้อมด้วยบริวารก็จักบวช เมืองพาราณสีจักว่างเปล่า เราจักอยู่ในที่นี้แหละ จนกว่าคนเหล่านั้นจะตามมา หัตถิปาลกุมารนั่งให้โอวาทแก่มหาชนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคานั่นเอง.
ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าเอสุการีกับพราหมณ์ปุโรหิตคิดกันว่า เจ้าหัตถิปาลราชกุมารสละราชสมบัติ พามหาชนล่วงหน้าไปก่อนด้วยคิดว่าจักบวชดังนี้แล้ว นั่งพักอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคาแล้ว เราทั้งสองต้องทดลองอัสสปาลกุมารดู จักได้อภิเษกให้ครองราชสมบัติ. คนทั้งสองจึงได้ไปยังประตูเรือนของอัสสปาลกุมาร ด้วยการจำแลงเพศเป็นฤาษีเหมือนกัน.
ฝ่ายอัสสปาลกุมารครั้นเห็นแล้ว มีจิตเลื่อมใส เข้าไปใกล้แล้วกล่าวคำเป็นต้นว่า นานมาแล้วข้าพเจ้าเพิ่งจะได้เห็น แล้วปฏิบัติตามนัยที่กล่าวมาแล้วนั้น.
แม้ฤาษีจำแลงเหล่านั้นก็บอกอัสสปาลกุมารอย่างที่กล่าวมาแล้วเหมือนกัน และได้แถลงเหตุที่ตนมาให้ทราบ. อัสสปาลกุมารถามว่า เมื่อหัตถิปาลกุมารพี่ชายของข้าพเจ้ายังอยู่ ไยเศวตฉัตรจะมาถึงข้าพเจ้าก่อนเล่า เมื่อบิดาตอบว่า ลูกรัก พี่ชายของเจ้าพูดว่า ไม่ต้องการราชสมบัติ จักบวช ออกไปบวชเสียแล้ว จึงถามต่อไปว่า เดี๋ยวนี้พี่ชายของข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน ครั้นบิดาบอกว่าพำนักอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา จึงพูดว่า ข้าแต่ท่านบิดา ข้าพเจ้าไม่มุ่งหมายราชสมบัติซึ่งอุปมาดังก้อนเขฬะอันพี่ชายของข้าพเจ้าบ้วนทิ้งแล้ว แท้จริงสัตว์ทั้งหลายผู้โง่เขลาเบาปัญญา ย่อมไม่อาจจะทิ้งกิเลสนั้นได้ แต่ข้าพเจ้าจักละ
เมื่อจะแสดงธรรมแก่พระราชาและบิดาของตน ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาความว่า
กามทั้งหลายเป็นดังเปลือกตม เป็นเครื่องให้จมลง เป็นเครื่องนำน้ำใจสัตว์ไป ข้ามได้ยาก เป็นที่ตั้งแห่งมฤตยู สัตว์ทั้งหลายผู้ข้องอยู่ในกามอันเป็นดังเปลือกตม เป็นเครื่องให้จมลงนี้ เป็นสัตว์มีจิตเลวทราม ย่อมข้ามถึงฝั่งไม่ได้.
เมื่อครั้งก่อน อัตภาพของข้าพระองค์นี้ได้กระทำกรรมอันหยาบช้า ผลแห่งกรรมนั้นอันข้าพระองค์ยึดไว้มั่นแล้ว ข้าพระองค์จะพ้นไปจากผลแห่งกรรมนี้ไม่ได้เลย ข้าพระองค์จักปิดกั้นรักษาอัตภาพนั้นอย่างรอบคอบ ขออัตภาพนี้อย่าได้ทำกรรมอันหยาบช้านี้อีกเลย.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปงฺโก ได้แก่ เปลือกตมอย่างใดอย่างหนึ่ง.
บทว่า ปลิโป ได้แก่ เปลือกตมละเอียด อันเจือด้วยทรายละเอียด. ในสองอย่างนั้น ท่านกล่าวว่า กามชื่อปังกะด้วยอรรถว่ายังสัตว์ให้ข้อง ชื่อว่าปลิปะด้วยอำนาจยังสัตว์ให้จมลง.
บทว่า ทุตฺตรา แปลว่า ก้าวล่วงได้ยาก.
บทว่า มจฺจุเธยฺยา ได้แก่ เป็นที่ตั้งแห่งมฤตยู เพราะว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งข้องอยู่ ทั้งเข้าไปใกล้กามเหล่านี้ ไม่สามารถจะข้ามไปได้ ย่อมถึงทั้งความทุกข์และความตาย มีประการดังที่ท่านกล่าวไว้ใน ทุกขักขันธปริยายสูตร ด้วยเหตุนั้น อัสสปาลกุมารจึงกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายผู้ส่ายซ่านไปในกามปังกะ กามปลิปะนี้แล้ว เป็นผู้มีสภาพแห่งจิตเลวทราม ย่อมข้ามฝั่งไม่ได้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิสนฺนา ความว่า ผู้ส่ายซ่านไป. ปาฐะว่า พฺยสนฺนา ดังนี้ก็มี ความก็อย่างเดียวกันนี้.
บทว่า หีนตฺตรูปา ได้แก่ เป็นผู้มีสภาพแห่งจิตต่ำทราม.
บทว่า ปารํ ความว่า ย่อมไม่สามารถจะไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพานได้.
บทว่า อยํ ความว่า ขอเดชะพระมหาราชเจ้า อัตภาพของข้าพระพุทธเจ้านี้เจริญเติบโตมากับพวกนายควาญม้า ได้กระทำบาปกรรมอันหยาบช้าสาหัสเป็นอันมากด้วยสามารถแห่งการปล้นแย่งชิงเบียดเบียนมหาชนเป็นต้น.
บทว่า สฺวายํ คหิโต ความว่า วิบากแห่งกรรมนี้นั้น ข้าพระพุทธเจ้ายึดไว้มั่นแล้ว.
บทว่า น หิ โมกฺขิโต เม ความว่า เมื่อความเป็นไปแห่งสารวัฏยังมีอยู่ ความพ้นไปจากผลแห่งอกุศลกรรมนี้ของข้าพระพุทธเจ้า จะมีอยู่ก็หามิได้.
บทว่า โอรุนฺธิยา นํ ปริรกฺขิสฺสามิ ความว่า บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจักปิดกั้นกายทวาร วจีทวาร และมโนทวาร รักษาอัตภาพนั้นไว้โดยรอบคอบ เพราะเหตุไร.
บทว่า มายํ ปุน ลุทฺทมกาสิ กมฺมํ ความว่า เพราะต่อแต่นี้ไป ข้าพระพุทธเจ้าจักไม่กระทำความชั่ว จักกระทำแต่ความดีอย่างเดียวเท่านั้น.

อัสสปาลกุมารให้โอวาทต่อไปว่า ขอพระองค์และท่านบิดาจงดำรงอยู่เป็นสุขเถิด ชรา พยาธิ และมรณะย่อมรุกรานข้าพระพุทธเจ้าผู้กำลังกล่าวสนทนากับท่านทั้งสองอยู่ทีเดียว แล้วพาบริษัทมีโยชน์หนึ่งเป็นกำหนดออกไปยังสำนักของหัตถิปาลกุมาร.
หัตถิปาลกุมารนั่งอยู่บนอากาศแสดงธรรมแก่อัสสปาลกุมาร แล้วกล่าวว่า น้องรัก สมาคมนี้จักใหญ่ยิ่ง พวกเราจักอยู่ในที่นี้ก่อน. ฝ่ายอัสสปาลกุมารก็รับคำ (แล้วอยู่ในที่นั้น).
วันรุ่งขึ้น พระราชากับราชปุโรหิตพากันไปสู่นิเวศน์ของโคปาลกุมาร ด้วยอุบายอย่างนั้นเหมือนกัน อันโคปาลกุมารยินดีต้อนรับ เหมือนดังที่กล่าวมาแล้ว จึงแจ้งเหตุแห่งการมาของตนให้ทราบ.
แม้โคปาลกุมารก็ปฏิเสธเหมือนอัสสปาลกุมาร กล่าวว่า ข้าพเจ้าปรารถนาจะบวชมานานแล้ว เที่ยวใคร่ครวญหาทางบรรพชาดังคนหาโคที่หายไป ข้าพเจ้าเห็นทางที่พี่ชายทั้งสองของข้าพเจ้าไปแล้วเหมือนคนพบรอยโคที่หายไป ฉะนั้น ข้าพเจ้าเองก็จักไปตามทางนั้นเหมือนกัน
แล้วกล่าวคาถา ความว่า
ขอเดชะพระราชาธิบดี บุรุษผู้เลี้ยงโคไม่เห็นโคที่หายไปในป่าทึบมืดฉันใด ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเอสุการี ประโยชน์ของข้าพระพุทธเจ้าก็หายไปแล้วฉันนั้น อย่างไรเล่า ข้าพระพุทธเจ้าจักไม่แสวงหาต่อไป.


บรรดาบทเหล่านั้น โคปาลกุมารเรียกพระราชาว่า เอสุการี.
บทว่า มมตฺโถ ความว่า ประโยชน์กล่าวคือบรรพชาของข้าพระพุทธเจ้าหายไปเหมือนโคหายไปในป่า.
บทว่า โสหํ ความว่า วันนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นรอยทางแห่งบรรพชิตทั้งหลายแล้ว ไฉนจะไม่แสวงหาการบรรพชา ขอเดชะพระนรินทรราชเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจักไปสู่ทางที่พี่ชายทั้งสองของข้าพระพุทธเจ้าไปแล้วเหมือนกัน.

ลำดับนั้น พระราชาและปุโรหิตบิดาพากันกล่าวอ้อนวอนโคปาลกุมารว่า พ่อโคปาลกุมารรออีกวันสองวันก่อนเถิด พอให้เราทั้งสองเบาใจแล้วภายหลังเจ้าจักได้บวช.
โคปาลกุมารกราบทูลว่า ขอเดชะพระมหาราชเจ้า กรรมดีควรทำในวันนี้ ไม่ควรกล่าวผัดเพี้ยนว่าจักทำในวันพรุ่งนี้ ขึ้นชื่อว่ากรรมดีควรทำวันนี้ วันนี้เท่านั้น
แล้วกล่าวคาถานอกนี้ ความว่า
บุรุษผู้กล่าวผัดเพี้ยนการงานที่ควรจะทำในวันนี้ว่าควรทำในวันพรุ่งนี้ การงานที่ควรจะทำในวันพรุ่งนี้ว่าควรทำในวันต่อไป ย่อมเสื่อมจากการงานนั้น ธีรชนคนใดรู้ว่า สิ่งใดเป็นอนาคต สิ่งนั้นไม่มีแล้ว พึงบรรเทาความพอใจที่เกิดขึ้นเสีย.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หิยฺโย ได้แก่ ในวันพรุ่งนี้.
บทว่า ปเร ได้แก่ ในวันมะรืนนี้. มีคำอธิบายว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า บุรุษใดผัดเพี้ยนการงานที่ควรทำในวันนี้ว่า ควรทำในวันพรุ่งนี้ การงานที่ควรทำในวันพรุ่งนี้ ว่าควรทำในวันมะรืนนี้ แล้วไม่ทำการงาน บุรุษนั้นย่อมเสื่อมจากการงานนั้น คือไม่สามารถจะทำการงานนั้นให้สำเร็จได้.
โคปาลกุมารแสดงถึงการงานชื่อ "ภัทเทกรัตตะ" มีราตรีเดียว เจริญด้วยอาการอย่างนี้.
อรรถาธิบายความข้อนี้ ควรกล่าวใน ภัทเทกรัตตสูตร.
บทว่า อนาคตํ เนตมตฺถิ ความว่า บัณฑิตชนคนใดรู้ว่า สิ่งใดเป็นอนาคต สิ่งนั้นยังไม่มีไม่เป็นแล้ว พึงบรรเทาคือนำกุศลฉันทะที่เกิดขึ้นแล้วไป.

โคปาลกุมารแสดงธรรมด้วยคาถา ๒ คาถาอย่างนี้แล้วกล่าวว่า ขอท่านทั้งสองจงดำรงอยู่เป็นสุขเถิด ชรา พยาธิ มรณะเป็นต้น ย่อมคุกคามข้าพเจ้าผู้กำลังกล่าวสนทนาอยู่กับท่านทั้งสองทีเดียว แล้วพาบริวารมีโยชน์หนึ่งเป็นกำหนด ออกไปยังสำนักแห่งพี่ชายทั้งสอง.
หัตถิปาลกุมารจึงแสดงธรรมแก่โคปาลกุมาร.
วันรุ่งขึ้น พระราชาและราชปุโรหิตไปยังนิเวศน์ของอชปาลกุมารโดยอุบายอย่างนั้นเหมือนกัน แม้อชปาลกุมารนั้นก็ยินดีต้อนรับดังที่กล่าวมาแล้ว ท่านทั้งสองบอกเหตุที่ตนมาแล้วกล่าวว่า เราทั้งสองจะยกเศวตฉัตรมอบให้เจ้า.
อชปาลกุมารถามว่า พี่ชาย ๓ คนของข้าพเจ้าไปไหน?
พระราชาและราชปุโรหิตตอบว่า พี่ชายของเจ้าทั้ง ๓ คนนั้น กล่าวว่าไม่มีความต้องการด้วยราชสมบัติ ทิ้งเศวตฉัตรไว้ แล้วพาบริวารมี ๓ โยชน์เป็นกำหนด ออกไปบวชพำนักอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา.
อชปาลกุมารกล่าวว่า ข้าพเจ้าจักเอาศีรษะทูลราชสมบัติ อันเปรียบเสมือนก้อนเขฬะที่พี่ชายของข้าพเจ้าทั้ง ๓ บ้วนทิ้งแล้ว เที่ยวไปอยู่หาได้ไม่ แม้ข้าพเจ้าก็จักบวช.
พระราชาและราชปุโรหิตกล่าววิงวอนว่า พ่ออชปาลกุมาร เจ้ายังหนุ่มนัก เป็นภาระที่เราทั้งสองต้องอุ้มชู คงจักได้บวชในเวลาที่ถึงวัยอันสมควร.
ลำดับนั้น อชปาลกุมารจึงกล่าวว่า ท่านทั้งสองพูดอย่างไร ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมตายในเวลาเป็นเด็กก็มี ในเวลาแก่ก็มี มิใช่หรือ ไม่มีนิมิตเครื่องหมายที่มือหรือที่เท้าของใครเลยว่า ผู้นี้จักตายในเวลาเป็นเด็ก ผู้นี้จักตายในเวลาแก่เฒ่า ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้เวลาตายของข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจักบวชเสียเดี๋ยวนี้ทีเดียว
แล้วกล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
ข้าพระองค์ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างงามพอประมาณ มีดวงเนตรเหมือนดอกการะเกด มัจจุราชมาฉุดคร่าเอาหญิงสาวคนนั้น ซึ่งกำลังตั้งอยู่ในปฐมวัย ยังไม่ทันได้บริโภคโภคสมบัติไป.
อนึ่ง ชายหนุ่มมีทรวดทรงงาม มีใบหน้าผ่องใสน่าดูน่าชม มีวรรณะเรืองรองดังทองคำ มีหนวดเคราละเอียดอ่อนดังเกสรดอกคำฝอย แม้ชายหนุ่มเห็นปานนี้ก็ย่อมไปสู่อำนาจแห่งมฤตยู ขอเดชะ ข้าพระองค์จะละกามละเรือนเสียแล้วจักบวช ขอได้โปรดทรงพระกรุณาอนุญาตให้ข้าพระองค์บวชเถิด พระเจ้าข้า.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โว เป็นนิบาต. ความก็ว่าข้าพระองค์เห็นอยู่ทีเดียว.
บทว่า มตฺตูปมํ ความว่า สัญจรไปมาด้วยลีลาการแย้มสรวล เจรจาไพเราะเปรียบได้พอประมาณ.
บทว่า เกตกปุปฺผเนตฺตํ ความว่า มีดวงเนตรหนากว้างคล้ายกลีบดอกการะเกด.
บทว่า อภุตฺวา โภเค ความว่า ยังไม่ทันได้บริโภคโภคสมบัติเลยทีเดียว.
บทว่า วชเต ความว่า มฤตยูมายึดเอาตัวนางกุมารี ผู้มีรูปทรงงดงาม กำลังตั้งอยู่ในปฐมวัย ยังไม่ทันได้บริโภคโภคสมบัติเลยทีเดียว ไปเสียอย่างนี้ ยังความเศร้าโศกให้ตกในเบื้องบนมารดาบิดาอย่างใหญ่หลวง.
บทว่า สุชาโต ได้แก่ มีสรีรสัณฐานทรวดทรงงาม.
บทว่า สุมุโข ความว่า มีพักตร์ผ่องใสดังแว่นกรอบทอง และพระจันทร์ในวันเพ็ญ.
บทว่า สุทสฺสโน ความว่า สมบูรณ์ด้วยรูปอันอุดมน่าทัศนา.
บทว่า สาโม ความว่า มีผิวกายเรืองรองเสมอด้วยทองธรรมชาติ.
บทว่า กุสุมฺภปริกิณฺณมสฺสุ ความว่า มีหนวดเคราละเอียด งดงาม คล้ายเกสรดอกคำฝอย เพราะทั้งเรียบร้อยสนิท ทั้งละเอียดอ่อน. ด้วยบทนี้ อชปาลกุมารแสดงว่า เยาวกุมารแม้เห็นปานนี้ยังไปสู่อำนาจของมฤตยุราชได้ เพราะมฤตยุราชไร้ความกรุณา คร่าชีวิตแม้เยาวกุมารเห็นปานนี้ไป คล้ายกับบุคคลเพิกถอนภูเขาสิเนรุราช ฉะนั้น.
บทว่า หิตฺวาน กาเม ปฏิคจฺฉ เคหํ อนุชานาถ มํ ปพฺพชิสฺสามิ เทว ความว่า ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ก็เมื่อเครื่องผูกคือบุตรและภรรยาเกิดแล้ว เครื่องผูกนั้นเป็นของตัดขาดได้ยาก ด้วยเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจักละกามและเหย้าเรือนเสียก่อนทีเดียว แล้วบวชเสียในบัดนี้ ขอได้โปรดทรงอนุญาตให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชเถิด.

ก็แหละครั้นอชปาลกุมารกล่าวอย่างนี้แล้ว กล่าวต่อไปว่า ขอท่านทั้งสองจงดำรงอยู่เป็นสุขเถิด ชรา พยาธิและมรณะรุกรานข้าพเจ้าผู้กำลังกล่าวสนทนากับท่านทั้งสองอยู่ทีเดียวดังนี้ แล้วไหว้กราบลาท่านทั้งสองพาบริวารมีโยชน์หนึ่งเป็นกำหนด ออกไปสู่ฝั่งแม่น้ำคงคาทีเดียว.
หัตถิปาลกุมารนั่งอยู่ในอากาศแสดงธรรมแม้แก่อชปาลกุมารนั้น แล้วพูดว่า สมาคมจักใหญ่ยิ่ง แล้วนั่งลงพำนักอยู่ในที่นั้นต่อไป.
วันรุ่งขึ้น พราหมณ์ปุโรหิตนั่งท่ามกลางบัลลังก์ พลางคิดว่าบุตรทั้ง ๔ ของเราบวชแล้ว บัดนี้เหลือแต่เราผู้เดียวเป็นเหมือนมนุษย์ตอไม้ แม้เราก็จักบวช.
เขาจึงปรึกษากับนางพราหมณีกล่าวคาถา ความว่า
ดูก่อนแม่วาเสฏฐิ ต้นไม้จะได้นามโวหารว่าต้นไม้ได้ ก็เพราะมีกิ่งและใบ ชาวโลกเขาเรียกต้นไม้ที่ไม่มีกิ่งและใบว่าเป็นตอไม้ ทุกวันนี้ เราเป็นผู้มีบุตรละทิ้งไปแล้ว ถึงเวลาที่เราจะบวชภิกษาจาร.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลภเต สมญฺญํ ความว่า อนุปาทินนกสังขาร ได้ชื่อว่าต้นไม้. พราหมณ์ปุโรหิตเรียกนางพราหมณีว่า วาเสฏฐี.
บทว่า ภิกฺขาจริยาย ความว่า พราหมณ์ปุโรหิตกล่าวว่า แม้เราก็ถึงกาลที่ควรจะบวช จักได้ไปสู่สำนักของบุตรทั้งสี่นั่นเทียว.

ครั้นพราหมณ์ปุโรหิตกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงเรียกพราหมณ์หมื่นหกพันคน มาประชุมกัน.
ลำดับนั้น พราหมณ์ปุโรหิตจึงกล่าวกะพราหมณ์เหล่านั้นว่า พวกท่านจักทำอย่างไร?
พราหมณ์เหล่านั้นย้อนถามว่า ท่านอาจารย์เล่าจักทำอย่างไร?
พราหมณ์ปุโรหิตตอบว่า เราจักบวชในสำนักแห่งบุตรของเรา
พราหมณ์เหล่านั้นจึงกล่าวว่า นรกเป็นของร้อนเฉพาะท่านผู้เดียวก็หามิได้ แม้เราทั้งหลายก็จักบวช.
พราหมณ์ปุโรหิตมอบทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิให้แก่นางพราหมณีผู้ภรรยาแล้ว พาพราหมณบริษัทมีโยชน์หนึ่งเป็นกำหนด ไปสู่สำนักแห่งบุตรทั้ง ๔ ทันที. หัตถิปาลกุมารยืนอยู่ในอากาศ แสดงธรรมแก่บริษัทแม้นั้น.
ในวันรุ่งขึ้น นางพราหมณีคิดว่า บุตร ๔ คนของเราละทิ้งเศวตฉัตรไปด้วยคิดว่าจักบวช แม้พราหมณ์สามีของเราก็ทิ้งสมบัติ ๘๐ โกฏิพร้อมด้วยตำแหน่งปุโรหิต ไปสู่สำนักบุตรทั้ง ๔ เหมือนกัน เราผู้เดียวเท่านั้นจักทำอะไรได้ เราก็จักไปตามทางที่บุตรของเราไปแล้วเหมือนกัน.
นางพราหมณี เมื่อจะนำเอาเรื่องที่ผ่านมาแล้วเป็นอุทาหรณ์ จึงกล่าวอุทานคาถาความว่า
นกกระเรียนทั้งหลายบินไปในอากาศได้คล่องแคล่วฉันใด เมื่อสิ้นฤดูฝนแล้ว หงส์ทั้งหลายพึงทำลายใยที่แมงมุมทำไว้ไปได้ฉันนั้น บุตรและสามีของเราพากันไปหมด ไฉนเราจะไม่ปฏิบัติตามบุตรและสามีของเราเล่า.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อฆสฺมึ โกญฺจาว ยถา ความว่า นกกระเรียนทั้งหลายบินไปได้ไม่ติดอยู่ในอากาศฉันใด.
บทว่า หิมจฺจเย ความว่า เมื่อฤดูฝนล่วงไปแล้ว.
บทว่า กตานิ ชาลานิ ปทาเลยฺยุ หํสา ความว่า ได้ยินว่า ในอดีตกาล หงส์ทองเก้าหมื่นหกพันพากันเก็บข้าวสาลีไว้ในกาญจนคูหา ให้พอกินจนสิ้นฤดูฝน ไม่ออกไปภายนอก เพราะกลัวฝนอยู่ในถ้ำทองนั้นตลอด ๔ เดือนฤดูฝน
ครั้งนั้น แมงมุมจึงขึงข่ายดักไว้ที่ประตูถ้ำของหงส์เหล่านั้น. ในหงส์เหล่านั้น ดรุณหงส์สองตัวตัดใยให้ขาดเป็นสองตอน. ดรุณหงส์เหล่านั้นตัดใยได้ขาดเพราะเป็นสัตว์สมบูรณ์ด้วยกำลังแล้ว บินไปข้างหน้าก่อนทีเดียว หงส์ที่เหลือก็บินไปตามที่ดรุณหงส์ไปแล้ว.
นางพราหมณี เมื่อจะประกาศความนั้น จึงกล่าวคาถาอย่างนี้.
ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ นกกระเรียนบินไปในอากาศได้ไม่ขัดข้องฉันใด หงส์ทั้งหลายก็ฉันนั้นเมื่อล่วงเลยฤดูฝนแล้ว ดรุณหงส์สองตัวทำลายข่ายที่แมงมุมทำไว้แล้วบินไปที่นั้น หงส์อื่นๆ ก็บินไปตามทางที่ดรุณหงส์นั้นไป ก็บัดนี้บุตรของเราตัดข่ายคือกามไปแล้ว เหมือนดรุณหงส์ตัดข่ายแมงมุมไปฉะนั้น แม้เราก็ควรจะไปตามทางที่บุตรเหล่านั้นของเราไปแล้ว เพราะฉะนั้น นางพราหมณีเมื่อจะไปตามความตั้งใจนี้ จึงกล่าวว่า ลูกและผัวของเราพากันไปหมด ไฉนเราจะไม่พึงคล้อยตามเล่า ดังนี้.

นางพราหมณีตกลงใจว่า เมื่อเรารู้ชัดอย่างนี้ ไฉนจักไม่ออกบวช เราจักบวชแน่นอน ดังนี้แล้ว จึงเรียกนางพราหมณีทั้งหลายมาชี้แจงแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจักทำอย่างไร?
นางพราหมณีเหล่านั้นถามว่า ข้าแต่แม่เจ้า ท่านเล่าจักทำอย่างไร?
นางพราหมณีตอบว่า เราจักบวช. นางพราหมณีพากันพูดว่า ถึงพวกข้าพเจ้าก็จักบวช นางพราหมณีจึงสละละโภคสมบัตินั้น พาบริษัทมีโยชน์หนึ่งเป็นกำหนดไปสู่สำนักบุตรของตนทันที
หัตถิปาลกุมารนั่งบนอากาศแสดงธรรมแก่บริษัทแม้นั้น.
วันรุ่งขึ้น พระราชาตรัสถามราชบุรุษว่า ปุโรหิตไปไหน?
ราชบุรุษกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ท่านปุโรหิตและนางพราหมณีละทิ้งสมบัติทั้งหมด พาบริวารของตนมีสองโยชน์เป็นกำหนด ไปสู่สำนักแห่งบุตรชายทั้ง ๔ แล้ว พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงพระดำริว่า ทรัพย์สมบัติที่ไม่มีเจ้าของปกครองย่อมตกเป็นของเรา แล้วตรัสสั่งให้ราชบุรุษไปขนเอาทรัพย์สมบัติมาจากเรือนของปุโรหิตทั้งหมด.
ต่อมาพระอัครมเหสีของท้าวเธอตรัสถามราชบุรุษว่า พระราชาทรงทำอะไรอยู่
เมื่อราชบุรุษกราบทูลว่า พระราชาตรัสสั่งให้ขนทรัพย์มาจากเรือนของปุโรหิต
จึงตรัสถามว่า ปุโรหิตไปไหน? ทรงสดับข่าวว่า ปุโรหิตพร้อมด้วยภรรยาออกบวชเสียแล้ว จึงทรงดำริว่า พระราชสวามีของเรานี้ช่างหลงใหลด้วยโมหจริต ให้ไปขนเอาทรัพย์สมบัติที่เป็นเหมือนคบเพลิง อันพราหมณ์ปุโรหิต นางพราหมณีและบุตร ๔ คนของเขาละทิ้ง และเป็นเหมือนก้อนเขฬะที่เขาบ้วนทิ้งแล้ว เอามาบรรจุไว้ในพระคลังหลวง เราจักให้ท้าวเธอทิ้งสมบัตินั้นเสียด้วยอุปมาข้อเปรียบเทียบ ดังนี้แล้วรับสั่งให้คนไปขนเอาเนื้อสุนัขและโคมากองไว้ที่หน้าพระลานหลวง จัดแจงทางให้ตรงแล้วรับสั่งให้ขึงตาข่ายล้อมไว้โดยรอบ
แร้งทั้งหลายเห็นเนื้อแต่ไกล จึงโผลงมาเพื่อจะกินเนื้อนั้น
แร้งในจำนวนนั้น พวกที่มีปัญญารู้ว่าเขาขึงตาข่ายดักไว้ คิดว่า เรากินเนื้ออิ่มหนักกาย ไม่อาจบินไปตรงๆ ได้ จึงคายสำรอกเนื้อที่ตนกินแล้วออกเสีย โผบินขึ้นไปตรงได้ หาติดข่ายไม่
ส่วนพวกที่โง่เขลาเบาปัญญา พากันกินเนื้อที่แร้งเหล่านั้นคายสำรอกทิ้งไว้ จนกายหนักไม่อาจบินเหินไปตรงๆ ได้ ก็พากันติดอยู่ในข่าย
ราชบุรุษทั้งหลายจับแร้งได้ตัวหนึ่งแล้วนำมาถวายพระเทวี พระนางจึงนำแร้งตัวนั้นไปสู่สำนักพระราชา ทูลว่า ขอเดชะพระมหาราชเจ้า ขอเชิญเสด็จไปทอดพระเนตรกิริยาของแร้งตัวหนึ่งที่หน้าพระลานหลวงเถิด แล้วทรงเปิดพระแกลทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอเชิญทอดพระเนตรแร้งฝูงนี้เถิด พะย่ะค่ะ
แล้วตรัสคาถา ๒ คาถา ความว่า
ฝูงแร้งเหล่านี้ ครั้นกินเนื้อแล้วก็สำรอกออกเสียจึงบินไปได้ ฝ่ายแร้งเหล่าใดกินเนื้อแล้วไม่สำรอกเนื้อออก แร้งเหล่านั้นก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของหม่อมฉัน
ข้าแต่พระราชา พราหมณ์ได้คลายกามทั้งหลายออกทิ้งแล้ว ส่วนพระองค์นั้นกลับรับเอากามนั้นไว้บริโภคอีก บุรุษผู้บริโภคสิ่งที่ผู้อื่นคายออกแล้ว ไม่พึงได้รับความสรรเสริญเลย.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภุตฺวา วมิตฺวา จ ความว่า กินเนื้อแล้วก็สำรอกออกเสีย.
บทว่า ปจฺจาวมิสฺสสิ ความว่า กลับรับเอามาบริโภค.
บทว่า วนฺตาโท ความว่า ผู้ใดเคี้ยวกินสิ่งที่ผู้อื่นคายทิ้งแล้ว.
บทว่า น ปสํสิโย ความว่า ผู้นั้นเป็นคนโง่ ตกอยู่ในอำนาจแห่งตัณหา เป็นผู้อันบัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ไม่พึงสรรเสริญ.

พระราชาทรงสดับคำของพระเทวีแล้ว ได้เป็นผู้มีวิปฏิสาร ภพทั้งสามปรากฏประหนึ่งไฟลุกโพลงแล้ว ท้าวเธอเกิดความสลดพระทัย รำพึงว่าควรที่เราจะสละราชสมบัติบวชเสียวันนี้ทีเดียว
เมื่อจะทรงชมเชยพระเทวี จึงตรัสพระคาถา ความว่า
ดูก่อนพระนางปัญจาลีผู้เจริญ บุรุษผู้มีกำลังช่วยฉุดบุรุษทุพพลภาพผู้จมอยู่ในเปลือกตมขึ้นได้ฉันใด เธอก็ช่วยพยุงฉันให้ขึ้นจากกามได้ด้วยคาถาอันเป็นสุภาษิตฉันนั้นแล.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺยสนฺนํ แปลว่า จมลงแล้ว. ปาฐะว่า วิสนฺนํ ดังนี้ก็มี.
บทว่า อุทฺธเรยฺย ความว่า บุรุษผู้มีกำลังยึดบุรุษทุพพลภาพที่ผมหรือที่มือแล้วพยุงยกขึ้นบก.
บทว่า อุทตารี ความว่า เธอก็ได้พยุงเราให้พ้นจากเปลือกตมคือกาม. ปาฐะว่า อุทตาสิ ดังนี้ก็มี. ความก็อย่างเดียวกันนี้. ปาฐะว่า อุทฺธตาสิ บ้าง ความก็ว่ายกขึ้นแล้ว.
บทว่า ปญฺจาลี ได้แก่ พระเทวีผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าปัญจาละ.

ครั้นพระเจ้าเอสุการีราชตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงมีพระราชประสงค์จะบรรพชาทันทีในขณะนั้น จึงตรัสสั่งให้เรียกอำมาตย์ทั้งหลายมาเฝ้า ตรัสเล่าให้ฟังแล้วตรัสถามว่า ท่านทั้งหลายจักทำอย่างไร?
อำมาตย์ทั้งหลายก็กราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์เล่า พระเจ้าข้า?
พระองค์ตรัสตอบว่า เราจักบวชในสำนักของหัตถิปาลกุมาร
อำมาตย์เหล่านั้นจึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็จักบวช พระเจ้าข้า.
พระเจ้าเอสุการีราชทรงละทิ้งราชสมบัติในพระนครพาราณสี อันมีอาณาเขตถึง ๑๒ โยชน์ ทรงประกาศว่า ผู้ใดมีความต้องการราชสมบัติ จงให้ยกเศวตฉัตรขึ้นครองราชย์เถิด แล้วทรงแวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ราชบริพาร พาบริษัทมีประมาณ ๓ โยชน์เป็นกำหนด เสด็จไปยังสำนักของหัตถิปาลกุมารเหมือนกัน
หัตถิปาลกุมารนั่งอยู่บนอากาศ แสดงธรรมแก่บริษัทแม้นั้น

พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความเป็นบรรพชิตของพระราชา จึงตรัสพระคาถาความว่า
พระเจ้าเอสุการีมหาราชผู้เป็นอธิบดีในทิศ ทรงภาษิตคาถานี้แล้ว ทรงสละราชสมบัติออกบรรพชา อุปมาดังนาคหัตถีปตัวประเสริฐสลัดตัดเครื่องผูกไปได้ฉะนั้น.


ในวันรุ่งขึ้น ประชาชนที่เหลืออยู่ในพระนครประชุมกันแล้ว พากันไปยังประตูพระราชวังให้กราบทูลพระราชเทวีแล้ว พากันเข้าไปในพระราชนิเวศน์ ถวายบังคมพระราชเทวีแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง กล่าวคาถาความว่า
ก็พระราชาผู้กล้าหาญ ประเสริฐที่สุดกว่านรชน ทรงพอพระทัยในบรรพชาเพศ ละรัฐสีมาไปแล้ว ขอพระนางจงโปรดเป็นพระราชาแห่งข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเถิด พระนางเจ้าอันข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายคุ้มครองแล้ว โปรดทรงอนุศาสน์ เสวยราชสมบัติเหมือนเช่นพระราชาเถิด.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุสาส ความว่า พระนางเจ้าเป็นผู้ที่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายถวายอารักขาแล้ว โปรดเสวยราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรม.

พระราชเทวีทรงสดับถ้อยคำของมหาชนแล้วได้ตรัสพระคาถาที่เหลือทั้งหลายความว่า
ก็พระราชาผู้กล้าหาญประเสริฐที่สุดกว่านรชน ทรงพอพระทัยในบรรพชาเพศ ละรัฐสีมาไปแล้ว แม้เราก็จักละกามทั้งหลายอันน่ารื่นรมย์ใจ เที่ยวไปในโลกแต่ผู้เดียว.
ก็พระราชาผู้กล้าหาญ ประเสริฐสุดกว่านรชน ทรงพอพระทัยในบรรพชาเพศ ละรัฐสีมาไปแล้ว แม้เราก็จักละกามทั้งหลายอันตั้งอยู่เป็นถ่องแถวแล้ว เที่ยวไปในโลกแต่ผู้เดียว.
กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป แม้เราก็จักละกามทั้งหลายอันน่ารื่นรมย์ใจ เที่ยวไปในโลกแต่ผู้เดียว.
กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป แม้เราก็จักละกามทั้งหลายอันตั้งอยู่เป็นถ่องแถว เที่ยวไปในโลกแต่ผู้เดียว.
กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป แม้เราก็จักเป็นผู้เยือกเย็น ก้าวล่วงความข้องทั้งปวง เที่ยวไปในโลกแต่ผู้เดียว.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกา ความว่า เราจักหลีกออกจากกิเลสสัมภาระ คือบุตรธิดา เป็นผู้ๆ เดียวเที่ยวไปในโลก.
บทว่า กามานิ ได้แก่กามคุณทั้งหลายมีรูปเป็นต้น.
บทว่า ยโถธิกานิ ความว่า กามคุณทั้งหลายตั้งอยู่โดยถ่องแถวใดๆ เราจักละเสียซึ่งกามคุณทั้งหลายอันตั้งอยู่โดยถ่องแถวนั้นๆ อย่างนั้น คือเราจักไม่แตะต้องอะไรอีก.
บทว่า อจฺเจนฺติ กาลา ความว่า กาลทั้งหลายมีเวลาเช้าเป็นต้น ย่อมล่วงไปๆ.
บทว่า ตรยนฺติ ความว่า ราตรีย่อมผ่านไป คือมิได้ผ่านไปเปล่า ย่อมยังอายุสังขารให้สิ้นเปลืองไป เคี้ยวกินอายุสังขารไป.
บทว่า วโยคุณา ความว่า วัยทั้งสามมีปฐมวัยเป็นต้นก็ดี ส่วนแห่งหมวดสิบ มีมันททสกะเป็นต้นก็ดี (ย่อมละลำดับไป).
บทว่า อนุปุพฺพํ ชหนฺติ ความว่า หาถึงโกฏฐาสคือส่วนที่สูงๆ ขึ้นไปไม่ ย่อมดับไปเสียในระหว่างนั้นๆ นั่นเอง.
บทว่า สีติภูตา ความว่า แม้เราก็จักละกิเลสทั้งหลายอันกระทำความร้อน คือมีความร้อนเป็นสภาพ เป็นผู้เยือกเย็น.
บทว่า สพฺพมติจฺจ สงฺคํ ความว่า เราจักก้าวล่วงกิเลสเป็นเครื่องข้องทุกอย่าง มีกิเลสเป็นเครื่องข้องคือราคะเป็นต้น แล้วเป็นผู้เดียวเที่ยวไป ได้แก่จักไปสู่สำนักแห่งหัตถิปาลกุมารแล้วบวช.

พระนางเทวีทรงแสดงธรรมแก่มหาชนด้วยคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว มีรับสั่งให้เรียกภรรยาของอำมาตย์ทั้งหลายมาเฝ้า แล้วตรัสว่า พวกเธอจักทำอย่างไร?
เหล่าภรรยาของอำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระองค์เล่าจักทรงทำอย่างไร?
พระนางตรัสตอบว่า เราจักบวช.
ภรรยาของหมู่อำมาตย์ก็กราบทูลว่า แม้พวกกระหม่อมฉันก็จักบวช.
พระนางเทวีมีพระเสาวนีย์ว่า ดีแล้วล่ะแม่คุณทั้งหลาย ดังนี้แล้ว มีรับสั่งให้เจ้าพนักงานเปิดประตูพระคลังทองเป็นต้นในพระราชนิเวศน์ รับสั่งให้จารึกพระสุพรรณบัฏว่า ขุมทรัพย์ใหญ่ฝังไว้แล้วในที่โน้นบ้าง ในที่นี้บ้าง แล้วดำรัสว่า ใครมีความต้องการก็จงขนเอาทรัพย์ที่เราพระราชทานแล้วนี้ไปเถิด แล้วให้ผูกสุพรรณบัฏ แขวนไว้ที่เสาต้นใหญ่ ให้พนักงานเภรีตีกลองป่าวประกาศไปทั่วพระนคร
แล้วทรงสละมหาสมบัติ เสด็จออกจากพระนคร.
ขณะนั้น ทวยนาครก็เดือดร้อนโกลาหลว่า พระราชาและนางเทวีทรงสละราชสมบัติออกทรงผนวชแล้ว พวกเราจักทำอะไรในพระนครนี้. แต่นั้นประชาชนทั้งหลายต่างก็ละทิ้งเคหสถานทั้งที่ยังมีสมบัติเต็มบริบูรณ์ จูงลูกหลานออกไป (โดยเสด็จพระราชเทวี). เรือนโรง ร้านตลาดก็มีสิ่งของวางอยู่เกลื่อนกลาด โดยนิยามที่วางแบแผ่ไว้ จะมีผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งจะเหลียวกลับมาแลดูก็มิได้มี. พระนครทั้งสิ้นว่างเปล่าปราศจากผู้คน.
ฝ่ายพระนางเทวีทรงพาบริวารมีประมาณ ๓ โยชน์เป็นกำหนด เสด็จไปในสำนักของหัตถิปาลกุมารนั้นแหละ. หัตถิปาลกุมารนั่งบนอากาศแสดงธรรม แม้แก่บริษัทนั้นแล้วพาบริษัทมีประมาณ ๑๒ โยชน์นั้น บ่ายหน้าไปสู่หิมวันตประเทศ
ทวยนาครชาวกาสิกรัฐก็ระบือกันกระฉ่อนไปว่า ได้ยินว่าหัตถิปาลกุมารรวบรวมบริษัทได้ถึง ๑๒ โยชน์ กระทำพระนครพาราณสีให้ว่างเปล่า พามหาชนไปสู่หิมวันตประเทศ ด้วยคิดว่าจักบวช พวกเราจะอยู่ไปไยในเมืองนี้. ในเวลาต่อมา บริษัทก็ได้เพิ่มประมาณถึง ๓๐ โยชน์. หัตถิปาลกุมารก็ไปยังป่าหิมพานต์พร้อมด้วยบริษัทนั้น.
ท้าวสักกเทวราชทรงรำพึงดู รู้พฤติเหตุนั้นแล้วทรงดำริว่า หัตถิปาลกุมารออกสู่มหาภิเนษกรมณ์แล้ว จักเป็นสมาคมใหญ่ยิ่ง ควรที่บริษัททั้งหลายจักได้ที่อยู่ จึงทรงบังคับวิสสุกรรมเทพบุตรว่า ไปเถิดวิสสุกรรมเทพบุตร เธอจงเนรมิตอาศรมยาว ๓๖ โยชน์กว้าง ๑๕ โยชน์ แล้วจัดแจงบริขารของบรรพชิตไว้ให้เสร็จบริบูรณ์.
วิสสุกรรมเทพบุตรรับเทวบัญชาแล้ว ไปเนรมิตอาศรมบทขนาดยาวกว้างตามเทวบัญชาไว้ในภูมิภาคอันรื่นรมย์ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา แต่งตั้งอาสนะ มีอาสนะที่ลาดด้วยท่อนไม้และใบไม้เป็นต้นไว้ แล้วเนรมิตบรรพชิตบริขารทั้งหมดไว้ในบรรณศาลา และที่ประตูบรรณศาลาแต่ละแห่งก็เนรมิตที่จงกรมไว้แห่งละหนึ่งที่ มีที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันคั่นเป็นระยะ และมีกระดานที่พิงพัก ฉาบด้วยปูนขาวสะอาดในสถานที่ทุกแห่ง มีพุ่มดอกไม้ดาดาษไปด้วยสุรภี และโกสุมในแนวสวนหย่อมนานาพรรณ ในที่สุดแห่งที่จงกรมแต่ละแห่ง เนรมิตบ่อน้ำไว้บ่อหนึ่งๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำ ในที่ใกล้บ่อน้ำนั้น เนรมิตต้นไม้มีผลไว้ต้นหนึ่งๆ ต้นไม้แต่ละต้นก็เผล็ดผลดกทั่วถึงกัน.
ทั้งหมดนี้ได้สำเร็จขึ้นด้วยเทวานุภาพ.
วิสสุกรรมเทพบุตร ครั้นเนรมิตอาศรมสถาน จัดตั้งบรรพชิตบริขารไว้ในบรรณศาลาเสร็จแล้ว จึงเอาชาดแลหรดาลจารึกอักษรไว้ที่ฝาว่า ใครๆ มีความประสงค์จะบวช จงถือเอาบริขารเหล่านี้เถิด แล้วขับไล่หมู่มฤคและปักษีที่มีเสียงน่าหวาดกลัว ทั้งหมู่อมนุษย์ที่มีรูปชั่วร้ายให้หลีกไปห่างไกล ด้วยอานุภาพของตน แล้วกลับไปยังทิพยวิมานสถานที่อยู่ของตนทันที.
หัตถิปาลกุมารเข้าไปสู่อาศรมที่ท้าวสักกะประทานโดยทางจรไปเฉพาะตนผู้เดียวก่อน เห็นอักษรที่จารึกไว้แล้วดำริว่า ท้าวสักกเทวราชคงจักทรงทราบความที่เราออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ดังนี้แล้ว จึงเปิดประตูเข้าไปยังบรรณศาลา บรรพชาเป็นฤาษีแล้วออกสู่ที่จงกรม เดินจงกรมไปมาอยู่สองสามวาระแล้ว ยังหมู่ชนที่เหลือให้บรรพชา
ตรวจตราดูอาศรมทั่วไป ให้บรรณศาลาแก่สตรีแม่ลูกอ่อนอยู่ในท่ามกลาง.
ถัดจากนั้นมาให้แก่สตรีชรา
ถัดออกมาให้แก่สตรีที่มีวัยปานกลาง ส่วนชั้นนอกสุดให้บุรุษทั้งหลายอยู่รายรอบ.
ครั้งนั้นมีพระราชาองค์หนึ่งทรงทราบว่า ในพระนครพาราณสีไม่มีพระราชาประทับอยู่ จึงเสด็จมาตรวจดูพระนคร อันประดับประดาตกแต่งไว้ดีแล้ว เสด็จขึ้นสู่พระราชนิเวศน์ ทอดพระเนตรเห็นกองรัตนะในที่นั้นๆ
ทรงดำริว่า จำเดิมแต่เวลาที่พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงสละพระนครเห็นปานนี้ออกทรงผนวช ชะรอยบรรพชาเพศนี้จักเป็นของมีคุณค่าโอฬารยิ่ง แล้วตรัสถามหนทางกะพวกนักเลงสุรา เสด็จไปยังสำนักของหัตถิปาลดาบส.
หัตถิปาลดาบสทราบว่า พระราชาพระองค์นั้นเสด็จมาถึงแนวป่า จึงเดินสวนทางไปรับเสด็จ นั่งในอากาศแสดงธรรมแก่บริษัท แล้วนำไปสู่อาศรมบท ให้บริษัททั้งหมดบรรพชา.
พระราชาแม้เหล่าอื่นทรงออกบรรพชา โดยอุบายนี้ถึง ๖ พระองค์.
รวมพระราชาสละโภคัยมไหศวริยสมบัติ ออกบรรพชาเป็น ๗ พระองค์.
อาศรมมีปริมณฑล ๓๖ โยชน์ เต็มบริบูรณ์หาที่ว่างมิได้.
ดาบสองค์ใดตรึกวิตกอย่างใดอย่างหนึ่งมีกามวิตกเป็นต้น หัตถิปาลดาบสผู้มหาบุรุษก็แสดงธรรมแก่ดาบสนั้น บอกให้เจริญพรหมวิหารภาวนาบ้าง กสิณภาวนาบ้าง.
ดาบสเหล่านั้นยังฌานและอภิญญาให้เกิดแล้วโดยมาก ในสามส่วนไปบังเกิดในพรหมโลกสองส่วน. แบ่งส่วนที่ ๓ ออกเป็น ๓ ประเภท ส่วนหนึ่งบังเกิดในพรหมโลก ส่วนหนึ่ง บังเกิดในฉกามาพจรสวรรค์ ส่วนหนึ่งทำการบำรุงบำเรอแก่ฤาษีทั้งหลาย แล้วบังเกิดในกุลสมบัติ ๓ (คือ กษัตริย์ พราหมณ์และคฤหบดี) ในมนุษยโลก.
คำสั่งสอนของหัตถิปาลดาบสทำให้มหาชนปราศจากทุคติ คือนรก กำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน ปิตติวิสัย และอสุรกายด้วยประการฉะนี้.
สมาคมของกุททาลบัณฑิต
สมาคมของมุคคผักกมหาบุรุษ
สมาคมของจุลลสุตตโสมมหาบุรุษ
สมาคมของอโยฆรบัณฑิต
และสมาคมของหัตถิปาลดาบส ได้เป็นเช่นเดียวกับท่านที่ออกบรรพชาในภายหลัง เขาทั้งหมดในลังกาทวีปนี้ คือพระปฐวีจาลกธัมมคุตตเถระ พระผุสสเทวเถระผู้อยู่ในกตกัณฑการวิหาร พระมหาสังฆรักขิตเถระผู้อยู่ในภัคคิรีวิหาร พระมหาสิวเถระผู้อยู่ในคามันตปัพภารวิหาร พระมหานาคเถระผู้อยู่ในกาฬวัลลิมหามณฑปวิหาร.

สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
บุคคลพึงขวนขวายในกรรมที่ดี พึงห้ามจิตเสียจากความชั่ว เพราะเมื่อทำความดีช้า ใจย่อมยินดีในความชั่ว คนเราจึงควรกระทำความดีโดยเร็วพลันทีเดียว.


พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในปางก่อนตถาคตก็ออกสู่มหาภิเนษกรมณ์อย่างนี้เหมือนกัน
แล้วทรงประชุมชาดกว่า
พระเจ้าเอสุการีในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ในบัดนี้
พระเทวีได้มาเป็น พระนางมหามายา
ปุโรหิตได้มาเป็น พระกัสสป
นางพราหมณีได้มาเป็น นางภัททกาปิลานี
อชปาลกุมารได้มาเป็น พระอนุรุทธะ
โคปาลกุมารได้มาเป็น พระโมคคัลลานะ
อัสสปาลกุมารได้มาเป็น พระสารีบุตร
บริษัทที่เหลือได้มาเป็น พุทธบริษัท
ส่วนหัตถิปาลกุมารได้แก่ เราผู้ตถาคต นั่นเอง ฉะนี้แล.

จบอรรถกถาหัตถิปาลชาดกที่ ๑๓
-----------------------------------------------------

.. อรรถกถา หัตถิปาลชาดก จบ.
อ่านชาดก 270000อ่านชาดก 272228อรรถกถาชาดก 272245
เล่มที่ 27 ข้อ 2245อ่านชาดก 272261อ่านชาดก 272519
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://84000.org/tipitaka/atita100/v.php?B=27&A=8987&Z=9066
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
บันทึก  ๒๘  พฤศจิกายน  พ.ศ.  ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]