ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖]อ่านอรรถกถา 10 / 1อ่านอรรถกถา 10 / 247อรรถกถา เล่มที่ 10 ข้อ 273อ่านอรรถกถา 10 / 301อ่านอรรถกถา 10 / 301
อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค
มหาสติปัฏฐานสูตร

หน้าต่างที่ ๕ / ๖.

               โพชฌงคบรรพ               
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกธัมมานุปัสสนาโดยอายตนะภายในภายนอก อย่างละ ๖ อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกโดยโพชฌงค์ จึงตรัสว่า ปุน จปรํ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ในโพชฌงค์ทั้งหลาย คือในองค์ของสัตว์ผู้ตรัสรู้.
               บทว่า มีอยู่ คือมีพร้อมอยู่ โดยการได้มา.
               บทว่า สติสัมโพชฌงค์ ได้แก่ สัมโพชฌงค์ กล่าวคือสติ.
               พึงทราบวินิจฉัย ในคำว่า สัมโพชฌงค์ นี้ดังนี้
               พระโยคาวจรตรัสรู้ จำเดิมแต่เริ่มวิปัสสนา หรือพระโยคาวจรนั้นตื่นลุกขึ้นจากกิเสสนิทรา หรือแทงตลอดสัจจะทั้งหลาย ด้วยธรรมสามัคคี ๗ มีสติเป็นต้นอันใด ธรรมสามัคคีอันนั้น ชื่อว่าสัมโพธิ. องค์ของผู้ตื่นนั้น หรือธรรมสามัคคีเครื่องปลุกให้ตื่นนั้น เหตุนั้น จึงชื่อว่าสัมโพชฌงค์. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สัมโพชฌงค์ กล่าวคือสติ. แม้ในสัมโพชฌงค์ที่เหลือ ก็พึงทราบความแห่งคำตามนัยนี้แล.
               บทว่า ไม่มีอยู่ คือ ไม่มีเพราะไม่ได้มา.
               วินิจฉัยในคำว่า ยถา จ อนุปฺปนฺนสฺส ที่ยังไม่เกิด เพราะเหตุใดเป็นต้น ดังต่อไปนี้
               ก่อนอื่น สติสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดตามนัยอันมาในบาลี (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในสติสัมโพชฌงค์นั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งสติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางไพบูลย์จำเริญบริบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไปแห่งสติสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว.
               ในธรรมเหล่านั้น สตินั้นแหละชื่อว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์. โยนิโสมนสิการมีลักษณะดังที่กล่าวมาแล้วนั่นแล. เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการนั้นให้เป็นไปมากๆ ในอารมณ์นี้แล้ว สติสัมโพชฌงค์ก็เกิด.

               ธรรมเป็นเหตุเกิดสติสัมโพชฌงค์               
               อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๔ ประการ เป็นทางเกิดสติสัมโพชฌงค์ คือ
                         ๑. สติสัมปชัญญะ
                         ๒. การเว้นบุคคลผู้มีสติหลงลืม
                         ๓. การคบหาบุคคลผู้มีสติมั่นคง
                         ๔. ความน้อมจิตไปในสติสัมโพชฌงค์นั้น.
               ก็สติสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดด้วยสติสัมปชัญญะในฐานทั้ง ๗ มีก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น ด้วยการงดเว้นบุคคลผู้มีสติหลงลืม เช่นเดียวกับกาตัวเก็บอาหาร ด้วยการคบหาบุคคลผู้มีสติมั่นคง เช่นเดียวกับพระติสสทัตตเถระและพระอภัยเถระเป็นต้น และด้วยความเป็นผู้มีจิตโน้มน้อมไปเพื่อตั้งสติในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้น.
               ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็สติสัมโพชฌงค์นั้นอันเกิดแล้วด้วยเหตุ ๔ ประการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

               เหตุเกิดธัมมวิจยสัมโพชฌงค์               
               ก็ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดตามนัยอันมาในบาลี อย่างนี้ว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล ฯลฯ ธรรมที่เปรียบด้วยธรรมฝ่ายดำและฝ่ายขาว มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางไพบูลย์เจริญบริบูรณ์เต็มที่แห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ดังนี้.

               ธรรมเป็นเหตุเกิดธัมมวิจยสัมโพชฌงค์               
               อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๗ ประการย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือ
                         ๑. การสอบถาม
                         ๒. การทำวัตถุให้สละสลวย
                         ๓. การปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอกัน
                         ๔. เว้นบุคคลมีปัญญาทราม
                         ๕. คบหาบุคคลผู้มีปัญญา
                         ๖. พิจารณาสอดส่องด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง
                         ๗. ความน้อมจิตไปในธัมมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น.
               บรรดาธรรม ๗ ประการนั้น ความเป็นผู้มากไปด้วยการสอบถามอันอาศัยอรรถแห่งขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ องค์มรรค องค์ฌาน สมถะและวิปัสสนา ชื่อว่าการสอบถาม.
               การทำวัตถุภายใน และภายนอกให้สละสลวย ชื่อว่าการทำวัตถุให้สละสลวย.
               ก็เวลาใด ภิกษุมีผม เล็บและขนยาวเกินไป หรือร่างกายสกปรกเปรอะเปื้อนด้วยเหงื่อและไคล เวลานั้น วัตถุภายใน (คือร่างกาย) ไม่สละสลวย ไม่สะอาด.
               แต่ในเวลาใด จีวรเก่าคร่ำคร่า สกปรก เหม็นสาบ หรือเสนาสนะรกรุงรัง ในเวลานั้น วัตถุภายนอกไม่สละสลวย ไม่สะอาด.
               เพราะฉะนั้น จึงควรทำวัตถุภายในให้สละสลวย ด้วยกิจมีการปลงผมเป็นต้น ด้วยการทำร่างกายให้เบาสบาย ด้วยกิจมีการถ่ายชำระมลทิน ให้ทั่วทั้งเบื้องบนเบื้องล่างเป็นต้น และด้วยการขัดสี อาบน้ำบรรเทากลิ่นเหม็น. พึงทำวัตถุภายนอกให้สละสลวยด้วยกิจมีการเย็บ ย้อม ซักจีวรและทำการรมบาตร์เป็นต้น.
               เพราะเมื่อวัตถุภายในและภายนอกนั้นไม่สละสลวย เมื่อจิตและเจตสิกเกิดขึ้น แม้ปัญญาก็ไม่ผ่องแผ้ว เหมือนแสงสว่างของดวงประทีปที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยตัวตะเกียงไส้และน้ำมันที่ไม่สะอาดหมดจดฉะนั้น
               แต่เมื่อวัตถุภายในและภายนอกสละสลวย เมื่อจิตและเจตสิกเกิดขึ้น แม้ปัญญาก็ผ่องแผ้ว เหมือนแสงสว่างของดวงประทีปที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยตัวตะเกียง ไส้และน้ำมันที่สะอาดหมดจดฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า การทำวัตถุให้สละสลวย ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ดังนี้.
               การทำปรับปรุงอินทรีย์มีศรัทธาเป็นต้นให้สม่ำเสมอกัน ชื่อว่าการทำปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ.
               ด้วยว่า ถ้าอินทรีย์คือศรัทธาของเธอมีกำลังกล้า อินทรีย์นอกนี้อ่อน แต่นั้น อินทรีย์คือวิริยะก็ไม่อาจทำกิจ คือการประคองจิตได้. อินทรีย์คือสติก็ไม่อาจทำกิจ คือการปรากฏ. อินทรีย์คือสมาธิก็ไม่อาจทำกิจ คือความไม่ฟุ้งซ่าน. อินทรีย์คือปัญญาก็ไม่อาจทำกิจ คือการเห็นได้. เพราะฉะนั้น เมื่อมนสิการถึงอินทรีย์คือศรัทธานั้นด้วยการพิจารณาสภาวธรรมหรือโดยประการใด อินทรีย์คือศรัทธามีกำลังกล้า พึงลดลงด้วยการไม่มนสิการโดยประการนั้น. ในข้อนี้ มีเรื่องท่านพระวักกลิเถระ เป็นอุทาหรณ์.
               ถ้าอินทรีย์คือวิริยะมีกำลังกล้า เมื่อเป็นเช่นนั้น อินทรีย์คือศรัทธาก็ไม่อาจทำกิจ คือการน้อมใจเชื่อได้ อินทรีย์นอกนี้ก็ไม่อาจทำกิจ คือหน้าที่ต่างๆ ของตนได้ เพราะฉะนั้น จึงควรลดอินทรีย์คือวิริยะนั้นลง ด้วยการเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นต้น. แม้ในข้อนั้น พึงแสดงเรื่องท่านพระโสณเถระเป็นอุทาหรณ์.
               แม้ในอินทรีย์ที่เหลือก็เหมือนกัน เมื่ออินทรีย์อย่างหนึ่งมีกำลังกล้า ก็พึงทราบว่า อินทรีย์นอกนี้ ก็ไม่สามารถในกิจ คือหน้าที่ของตนได้. แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอินทรีย์นี้ ท่านสรรเสริญศรัทธากับปัญญา และสมาธิกับวิริยะ ต้องเสมอกัน.
               เพราะผู้มีศรัทธากล้า แต่มีปัญญาอ่อน มีความเลื่อมใสแรง ย่อมเลื่อมใสไปนอกเรื่อง. มีปัญญากล้า แต่มีศรัทธาอ่อน ย่อมฝักไฝ่ไปข้างเกเร เหมือนโรคเกิดเพราะผิดยา แก้ไขไม่ได้ฉะนั้น. ผู้มีปัญญากล้า ก็โลดแล่นเขวไปว่า กุศลมีได้ด้วยเพียงจิตตุปบาทใจคิดขณะหนึ่งเท่านั้น ดังนี้แล้ว ก็ไม่ทำบุญมีทานเป็นต้น ย่อมเกิดในนรก. เพราะอินทรีย์คือศรัทธากับปัญญาทั้งสองเสมอกัน จึงเลื่อมใสในวัตถุ คือพระรัตนตรัยอย่างเดียว.
               แต่สมาธิกล้า วิริยะอ่อน โกสัชชะ ความเกียจคร้าน ย่อมครอบงำได้ เพราะสมาธิเป็นฝ่ายโกสัชชะ. วิริยะกล้า สมาธิอ่อน อุทธัจจะย่อมครอบงำได้ เพราะวิริยะเป็นฝ่ายอุทธัจจะ. แต่สมาธิอันวิริยะเข้าประกบไว้ ย่อมไม่ตกไปในโกสัชชะ วิริยะอันสมาธิเข้าประกบไว้ก็ไม่ตกไปในอุทธัจจะ. เพราะฉะนั้น จึงควรทำอินทรีย์สองคู่นั้นให้เสมอเท่าๆ กัน. ด้วยว่า อัปปนาจะมีได้ ก็เพราะอินทรีย์สองคู่เสมอกัน.
               อีกอย่างหนึ่ง ศรัทธาแม้มีกำลังกล้าก็ควรแก่ผู้เจริญสมาธิ. เพราะผู้เจริญสมาธิ เชื่อมั่นหยั่งลงมั่นอย่างนี้ จักบรรลุอัปปนาได้ ส่วนในสมาธิกับปัญญา เอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง มีกำลังกล้า ย่อมควรแก่ผู้เจริญสมาธิ. ด้วยว่าผู้เจริญสมาธินั้น ย่อมบรรลุอัปปนาได้ ด้วยเอกัคคตาอย่างนี้.
               ปัญญามีกำลังกล้า ย่อมควรแก่ผู้เจริญวิปัสสนา. ด้วยว่าผู้เจริญวิปัสสนานั้นย่อมถึงความแทงตลอดไตรลักษณ์ด้วยปัญญาอย่างนี้. แต่อัปปนาจะมีได้ ก็เพราะศรัทธากับปัญญาทั้งสองเสมอกันโดยแท้.
               ส่วนสติมีกำลังแล้ว ย่อมควรในที่ทั้งปวง เพราะว่า สติย่อมรักษาจิตมิให้ตกไปในอุทธัจจะ ด้วยอำนาจศรัทธา วิริยะ ปัญญา ซึ่งเป็นฝ่ายอุทธัจจะ มิให้ตกไปในโกสัชชะ เพราะสมาธิเป็นฝ่ายโกสัชชะ. เพราะฉะนั้น สตินั้นจึงจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง เหมือนการปรุงรสด้วยเกลือ จำปรารถนาในการปรุงอาหารทุกอย่าง และเหมือนอำมาตย์ผู้ชำนาญในราชกิจทุกอย่าง จำปรารถนาในราชกิจทุกอย่างฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง เพราะเหตุไร เพราะจิตมีสติเป็นที่อาศัยและสติมีการอารักขา เป็นที่ปรากฏ เว้นสติเสียแล้วจะประคอง และข่มจิตไม่ได้เลย.
               การเว้นบุคคลผู้มีปัญญาทราม ไม่มีปัญญาหยั่งลงในประเภทแห่งธรรมมีขันธ์เป็นต้น ให้ห่างไกล ชื่อว่าการงดเว้นบุคคลทรามปัญญา. การคบหาบุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญารอบรู้ความเกิดและความเสื่อมแห่งสภาวธรรม อันกำหนดด้วยลักษณะ ๕๐ ถ้วน ชื่อว่าคบหาบุคคลผู้มีปัญญา. การพิจารณาประเภทแห่งปัญญาอันลึกซึ้ง ที่เป็นไปในสภาวธรรมทั้งหลายมีขันธ์เป็นต้นอันลุ่มลึก ชื่อว่าการพิจารณาสอดส่องด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง. ความเป็นผู้มีจิตอันโน้มน้อมไปเพื่อตั้งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้น ชื่อว่าความน้อมจิตไปในธัมมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น.
               ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์นั้นที่เกิดด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

               วิริยสัมโพชฌงค์               
               วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดตามนัยอันมาแล้วในบาลี (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารภธาตุ (ธาตุคือความเริ่มความเพียร) นิกกมธาตุ ปรักกมธาตุ (ธาตุคือความเพียรก้าวไปข้างหน้า) มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธาตุทั้ง ๓ นั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งวิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นไปเพื่อความไพบูลย์เจริญบริบูรณ์เต็มที่แห่งวิริยสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ดังนี้.

               ธรรมเป็นเหตุเกิดวิริยสัมโพชฌงค์               
               อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๑๑ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดแห่งวิริยสัมโพชฌงค์ คือ
                         ๑. การพิจารณาเห็นภัยในอบาย
                         ๒. การเห็นอานิสงส์
                         ๓. การพิจารณาวิถีทางดำเนิน
                         ๔. ความเคารพยำเกรงในบิณฑบาต
                         ๕. การพิจารณาความเป็นใหญ่แห่งการรับทรัพย์มรดก
                         ๖. การพิจารณาความมีพระศาสดาเป็นใหญ่
                         ๗. การพิจารณาความมีชาติเป็นใหญ่
                         ๘. การพิจารณาความมีสพรหมจารีเป็นใหญ่
                         ๙. การงดเว้นบุคคลเกียจคร้าน
                         ๑๐. การคบหาบุคคลผู้ปรารภความเพียร
                         ๑๑. ความน้อมจิตไปในวิริยสัมโพชฌงค์นั้น.

               ๑. การพิจารณาเห็นภัยในอบาย               
               บรรดาธรรม ๑๑ ประการนั้น เมื่อภิกษุผู้เจริญวิริยสัมโพชฌงค์ แม้พิจารณาเห็นภัยในอบายอย่างนี้ว่า
               ใครๆ ไม่อาจยังวิริยสัมโพชฌงค์ให้เกิดได้ ในเวลาที่เสวยทุกข์ใหญ่จำเดิมแต่ถูกลงโทษด้วยเครื่องจองจำ ๕ ประการในนรกก็ดี ในเวลาที่ถูกเขาจับด้วยเครื่องจับมี ข่าย แหและอวนเป็นต้นบ้าง ในเวลาขับต้อนทิ่มแทงด้วยเครื่องประหารมีปฏักเป็นต้น ให้ลากเกวียนบ้าง ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็ดี ในเวลาที่ทุรนทุรายด้วยความหิวกระหายตั้งหลายพันปีบ้าง พุทธันดรหนึ่งบ้าง ในเปรตวิสัยก็ดี ในเวลาที่ต้องเสวยทุกข์อันเกิดแต่ลมและแดดเป็นต้น ด้วยเรือนร่างที่สูงประมาณ ๖๐ ศอก ๘๐ ศอก เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ในจำพวกกาลกัญชิกอสูรก็ดี
               ดูก่อนภิกษุ เวลานี้เท่านั้น เป็นเวลาทำความเพียรของเธอดังนี้
               วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้นได้.

               ๒. การเห็นอานิสงส์               
               เมื่อเห็นอานิสงส์อย่างนี้ว่า คนเกียจคร้านไม่อาจได้โลกุตตรธรรม ๙ คนที่ปรารภความเพียรเท่านั้นจึงสามารถ นี้เป็นอานิสงส์ของความเพียร ดังนี้
               วิริยสัมโพชฌงค์ก็ย่อมเกิดได้.

               ๓. การพิจารณาวิถีทางดำเนิน               
               เมื่อพิจารณาวิถีทางดำเนินอย่างนี้ว่า ควรดำเนินทางที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระมหาสาวกทุกพระองค์ดำเนินไปแล้ว ทางนั้น คนเกียจคร้านไม่อาจเดินไปได้ดังนี้
               วิริยสัมโพชฌงค์ก็ย่อมเกิดได้.

               ๔. การเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาต               
               เมื่อพิจารณาความเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาตอย่างนี้ว่า
               มนุษย์เหล่าใดบำรุงเธอด้วยปัจจัยมีบิณฑบาตเป็นต้น มนุษย์เหล่านั้นนี้ ก็ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ทาส และคนงานของเธอเลย ทั้งมนุษย์เหล่านั้นก็มิใช่ถวายปัจจัยมีจีวรเป็นต้นอันประณีตแก่เธอ ด้วยคิดว่าจักอาศัยเธอเลี้ยงชีวิต โดยที่แท้ เขาหวังให้อุปการะที่ตนทำแล้วมีผลมาก จึงถวาย
               แม้พระศาสดาก็มิได้ทรงพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า ภิกษุนี้บริโภคปัจจัยเหล่านี้แล้ว จักมีร่างกายแข็งแรงมากอยู่เป็นสุข ดังนี้ แล้วทรงอนุญาตปัจจัยแก่เธอ โดยที่แท้ พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า ภิกษุบริโภคปัจจัยเหล่านี้ บำเพ็ญสมณธรรม จักพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะได้ดังนี้ จึงทรงอนุญาตปัจจัยไว้ เดี๋ยวนี้ เธอเกียจคร้านอยู่ ไม่เคารพยำเกรงบิณฑบาตนั้น
               ขึ้นชื่อว่าการเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาต ย่อมมีแก่ผู้ปรารภความเพียรเท่านั้น ดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์ก็เกิดได้
               เหมือนวิริยสัมโพชฌงค์เกิดแก่ท่านพระมหามิตตเถระฉะนั้น.

               เรื่องพระมหามิตตเถระ               
               เล่ากันว่า พระเถระอาศัยอยู่ในถ้ำชื่อ กสกะ. และมหาอุบาสิกาผู้หนึ่งในบ้านเป็นที่โคจรของท่าน บำรุงพระเถระเหมือนบุตร.
               วันหนึ่ง นางจะไปป่า จึงสั่งลูกสาวว่า ลูก ข้าวสารเก่าอยู่โน้น น้ำนม เนยใส น้ำอ้อย อยู่โน้น เวลาที่พระเป็นเจ้ามิตตะ พี่ชายของเจ้ามาแล้ว จงปรุงอาหารถวายพร้อมด้วยน้ำนม เนยใสและน้ำอ้อย ด้วยนะลูก.
               ลูกสาวถามว่า ก็แม่จะรับประทานไหมจ๊ะ. มหาอุบาสิกาตอบว่า ก็เมื่อวานนี้ แม่รับประทานอาหารสำหรับค้างคืน (ปาริวาสกภัต) ที่ปรุงกับน้ำส้มแล้วนี้จ้ะ.
               ลูกสาวถามว่า แม่จักรับประทานกลางวันไหมจ๊ะ. มหาอุบาสิกาสั่งว่า เจ้าจงใส่ผักดองแล้วเอาปลายข้าวสาร ต้มข้าวต้มมีรสเปรี้ยวเก็บไว้ให้เถอะลูก.
               พระเถระครองจีวรแล้วกำลังนำบาตรออก (จากถลก) ได้ยินเสียงนั้นแล้วก็สอนตนเองว่า ได้ยินว่า มหาอุบาสิการับประทานแต่อาหารสำหรับค้างคืนกับน้ำส้ม แม้กลางวันก็จักรับประทานข้าวต้มเปรี้ยวใส่ผักดอง นางบอกอาหารมีข้าวสารเก่าเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่เธอ ก็มหาอุบาสิกานั้นมิได้หวังที่นาที่สวน อาหารและผ้า เพราะอาศัยเธอเลย แต่ปรารถนาสมบัติ ๓ ประการ (มนุษย์สมบัติ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบัติ) จึงถวาย เธอจักสามารถให้สมบัติเหล่านั้นแก่มหาอุบาสิกานั้นได้หรือไม่เล่า ดังนี้
               ท่านคิดว่า บิณฑบาตนี้แล เธอยังมีราคะโทสะโมหะอยู่ ไม่อาจรับได้ดังนี้แล้ว ก็เก็บบาตรเข้าถลก ปลดดุมจีวร กลับไปถ้ำกสกะเลย เก็บบาตรไว้ใต้เตียง พาดจีวรไว้ที่ราวจีวร นั่งลงอธิษฐานความเพียรว่า เราไม่บรรลุพระอรหัต จักไม่ออกไปจากถ้ำดังนี้. ภิกษุผู้ไม่ประมาทอยู่มาช้านาน เจริญวิปัสสนา ก็บรรลุพระอรหัตก่อนเวลาอาหารเช้า เป็นพระมหาขีณาสพ (สิ้นอาสวะแล้ว) นั่งยิ้มอยู่ เหมือนดอกปทุมที่กำลังแย้มฉะนั้น.
               เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นไม้ใกล้ประตูถ้ำเปล่งอุทานว่า
                         นโม เต ปุริสาชญฺญ    นโม เต ปุริสุตฺตม
                         ยสฺส เต อาสวา ขีณา    ทกฺขิเณยฺโยสิ มาริส
                                   ท่านบุรุษอาชาไนย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่าน
                         ท่านยอดบุรุษ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่าน ข้าพเจ้าขอ
                         นอบน้อมท่านผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ท่านผู้นิรทุกข์ ท่าน
                         เป็นผู้ควรทักษิณาทาน ดังนี้
               แล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า พวกหญิงแก่ถวายอาหารแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย เช่นท่านผู้เข้าไปบิณฑบาต จักพ้นจากทุกข์ได้ ดังนี้.
               พระเถระลุกขึ้นเปิดประตูดูเวลา ทราบว่ายังเช้าอยู่ จึงถือบาตรและจีวรเข้าสู่หมู่บ้าน ฝ่ายเด็กหญิงจัดเตรียมอาหารเสร็จแล้ว นั่งคอยดูอยู่ตรงประตู ด้วยนึกว่า ประเดี๋ยวพี่ชายเราคงจักมา ประเดี๋ยวพี่ชายเราคงจักมา.
               เมื่อพระเถระมาถึงประตูเรือนแล้ว เด็กหญิงนั้นก็รับบาตรบรรจุเต็มด้วยอาหารเจือน้ำนม ที่ปรุงด้วยเนยใสและน้ำอ้อยแล้ว วางไว้บนมือ (ของพระเถระ). พระเถระทำอนุโมทนาว่า จงมีสุขเถิด แล้วก็หลีกไป. เด็กหญิงนั้นยืนจ้องดูท่านอยู่แล้ว. ความจริง ในคราวนั้น ผิวพรรณของพระเถระบริสุทธิ์ยิ่งนัก อินทรีย์ผ่องใส หน้าของท่านเปล่งปลั่งยิ่งนัก ประดุจผลตาลสุกหลุดออกจากขั้วฉะนั้น.
               มหาอุบาสิกากลับมาจากป่าถามว่า พี่ชายของเจ้ามาแล้วหรือลูก. เด็กหญิงนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้มารดาฟัง.
               มหาอุบาสิกาก็รู้ได้ว่า วันนี้ บรรพชิตกิจแห่งบุตรของเราถึงที่สุดแล้ว จึงกล่าวว่า ลูก พี่ชายของเจ้ายินดียิ่งนักในพระพุทธศาสนา ไม่กระสัน (อยากสึก) แล้วละดังนี้.

               ๕. การพิจารณาความมีทรัพย์มรดกเป็นใหญ่               
               เมื่อพิจารณาความมีทรัพย์มรดกเป็นใหญ่อย่างนี้ว่า ก็ทรัพย์มรดกของพระศาสดามีมากแล คืออริยทรัพย์ ๗ ประการ ทรัพย์มรดกนั้น ผู้เกียจคร้านไม่อาจรับได้
               เหมือนอย่างว่า มารดาบิดาย่อมตัดบุตรผู้ประพฤติผิด ทำให้เป็นคนภายนอกว่า คนนี้ไม่ใช่ลูกของเรา เมื่อมารดาบิดาล่วงลับไป เขาก็ไม่ได้รับทรัพย์มรดกฉันใด แม้บุคคลผู้เกียจคร้านก็ฉันนั้น ย่อมไม่ได้มรดก คืออริยทรัพย์นี้ ผู้ปรารภความเพียรเท่านั้น ย่อมได้รับดังนี้
               วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.

               ๖. การพิจารณาความมีพระศาสดาเป็นใหญ่               
               เมื่อพิจารณาความมีพระศาสดาเป็นใหญ่อย่างนี้ว่า
               พระศาสดาของเธอเป็นใหญ่ เพราะในเวลาที่พระศาสดาของเธอทรงถือปฏิสนธิ ในพระครรภ์ของพระมารดาก็ดี เวลาเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ก็ดี เวลาตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณก็ดี เวลาประกาศพระธรรมจักร แสดงยมกปาฏิหาริย์ เสด็จลงจากเทวโลก และทรงปลงอายุสังขารก็ดี เวลาเสด็จดับขันธปรินิพพานก็ดี หมื่นโลกธาตุก็หวั่นไหวแล้ว เธอบวชในพระศาสนาของศาสดาเห็นปานฉะนี้แล้ว เป็นคนเกียจคร้าน ควรแล้วหรือ ดังนี้
               วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.

               ๗. การพิจารณาความมีชาติเป็นใหญ่               
               เมื่อพิจารณาความมีชาติเป็นใหญ่ อย่างนี้ว่า
               แม้โดยชาติ บัดนี้ เธอไม่ใช่คนมีชาติต่ำแล้วละ เธอชื่อว่าเกิดแล้วในวงศ์ของพระเจ้าอุกกากราช ที่สืบทอดกันมาโดยมหาสมมตประเพณี ไม่เจือปนกับชนชาติอื่น เป็นพระนัดดาของพระเจ้าสุทโธทนมหาราชและพระนางเจ้ามหามายาเทวี เป็นพระอนุชาของท่านพระราหุลพุทธชิโนรส ขึ้นชื่อว่าเธอ เป็นพุทธชินบุตรเห็นปานฉะนี้แล้ว อยู่อย่างคนเกียจคร้าน ไม่สมควรดังนี้
               วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.

               ๘. การพิจารณาความมีสพรหมจารีเป็นใหญ่               
               เมื่อพิจารณาความมีสพรหมจารีเป็นใหญ่อย่างนี้ว่า
               ท่านพระสารีบุตร ท่านพระโมคคัลลานะ และพระสาวกผู้ใหญ่ ๘๐ รูป แทงตลอด (ตรัสรู้) โลกุตตรธรรมด้วยความเพียรกันทั้งนั้น เธอจะดำเนินตามทางของสพรหมจารีเหล่านั้น หรือไม่ดำเนินตามเล่า ดังนี้
               วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.

               ๙. การงดเว้นบุคคลผู้เกียจคร้าน               
               ๑๐. การคบหาบุคคลผู้ปรารภความเพียร               
               ๑๑. ความน้อมจิตไปในวิริยสัมโพชฌงค์นั้น               
               เมื่อเว้นบุคคลผู้เกียจคร้าน ผู้สละความเพียรทางกายและทางใจ ซึ่งเป็นเหมือนงูเหลือมกินเต็มท้อง แล้วก็หยุดอยู่กับที่ก็ดี คบหาบุคคลผู้ปรารภความเพียร ผู้อุทิศตนมุ่งปฏิบัติธรรมก็ดี มีจิตโน้มน้อมโอนไป เพื่อให้ความเพียรเกิดขึ้น ในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้นก็ดี วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.
               ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์นั้นที่เกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

               ปีติสัมโพชฌงค์               
               ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมเกิด โดยนัยอันมาแล้วในบาลี (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์ นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางเพื่อความไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์เต็มที่แห่งปีติสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ดังนี้.
               ปีตินั้นเอง ชื่อว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์ ในบาลีนั้น. มนสิการอันยังปีตินั้นให้เกิด ชื่อว่าโยนิโสมนสิการ.

               ธรรมเป็นเหตุเกิดปีติสัมโพชฌงค์               
               อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๑๑ ประการ ย่อมเป็นทางเกิด ปีติสัมโพชฌงค์ คือ
                         ๑. พุทธานุสสติ
                         ๒. ธัมมานุสสติ
                         ๓. สังฆานุสสติ
                         ๔. สีลานุสสติ
                         ๕. จาคานุสสติ
                         ๖. เทวตานุสสติ
                         ๗. อุปสมานุสสติ
                         ๘. เว้นบุคคลผู้เศร้าหมอง
                         ๙. คบหาบุคคลผู้หมดจด
                         ๑๐. การพิจารณาความในพระสูตร เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส
                         ๑๑. ความน้อมจิตไปในปีติสัมโพชฌงค์นั้น.
               จริงอยู่ ผู้เจริญปีติสัมโพชฌงค์ เมื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ ปีติสัมโพชฌงค์แผ่ซ่านทั่วสรีระจนกระทั่งอุปจารสมาธิ ย่อมเกิดขึ้น เมื่อระลึกถึงคุณพระธรรมและพระสงฆ์ก็ดี
               พิจารณาปาริสุทธิศีล ๔ ที่ตนรักษาไม่ขาดวิ่นเป็นเวลานานก็ดี แม้คฤหัสถ์พิจารณาศีล ๑๐ ศีล ๕ ก็ดี พิจารณาจาคะการบริจาคว่า ในเวลาประสบทุพภิกขภัยเป็นต้น เราถวายโภชนะอันประณีตแก่สพรหมจารีทั้งหลาย แล้วถวายโภชนะชื่ออย่างนี้ ดังนี้ก็ดี แม้คฤหัสถ์พิจารณาถึงทานที่ถวายแก่ท่านผู้มีศีลในเวลาเห็นปานนั้นก็ดี
               พิจารณาถึงคุณเช่นกับที่เทวดาประกอบแล้วถึงความเป็นเทวดาว่า มีอยู่ในตนก็ดี พิจารณาเห็นว่ากิเลสที่ข่มได้แล้วแม้ด้วยสมาบัติ ตลอด ๖๐ ปีบ้าง ๗๐ ปีบ้าง ไม่ฟุ้งกำเริบดังนี้ก็ดี
               เว้นบุคคลเศร้าหมองผู้มีความหม่นหมองอันสร้างสมไว้ เพราะไม่ทำโดยเคารพ ในเวลาเห็นพระเจดีย์ เห็นโพธิพฤกษ์และเห็นพระเถระผู้เป็นเช่นกับละอองธุลีบนหลังลา เพราะไม่มีความเลื่อมใสรักใคร่ในพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นก็ดี
               ซ่องเสพบุคคลผู้หมดจด ผู้มากด้วยความเลื่อมใส มีจิตอ่อนโยนในพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นก็ดี
               พิจารณาความในพระสูตรอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส ซึ่งแสดงคุณของพระรัตนตรัยก็ดี มีจิตโน้มน้อมโอนไป เพื่อให้เกิดปีติ ในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้นก็ดี
               ปิติสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดได้.
               ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ปีติสัมโพชฌงค์นั้นซึ่งเกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

               ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์               
               ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดโดยนัยที่มาแล้วในบาลี (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายปัสสัทธิ ความสงบกาย จิตตปัสสัทธิ ความสงบจิต มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในความสงบกายและความสงบจิตนั้น นี้เป็นอาหาร (ย่อมเป็นไป) เพื่อความเกิดแห่งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางเพื่อความไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์เต็มที่ แห่งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ดังนี้.

               ธรรมเป็นเหตุเกิดปัสสัทธิสัมโพชฌงค์               
               อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๗ ประการ ย่อมเป็นทางเกิดปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ คือ
                         ๑. เสพโภชนะอันประณีต
                         ๒. เสพฤดูเป็นที่สบาย
                         ๓. เสพอิริยาบถเป็นที่สบาย
                         ๔. ประกอบความเป็นกลาง
                         ๕. เว้นบุคคลผู้ไม่สงบกาย
                         ๖. เสพบุคคลผู้สงบกาย
                         ๗. น้อมจิตไปในปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้น.
               จริงอยู่ ผู้เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เมื่อบริโภคโภชนะเป็นที่สบายอันประณีตหมดจดก็ดี เสพฤดูเป็นที่สบาย ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนาว ฤดูร้อน เสพอิริยาบถเป็นที่สบาย ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถยืนเป็นต้นก็ดี ย่อมเกิดความสงบได้. แต่คำนั้น ท่านมิได้กล่าวหมายถึงบุคคลผู้เป็นมหาบุรุษ ซึ่งทนฤดูและอิริยาบถ เป็นที่สบาย. เมื่อผู้ที่มีฤดูและอิริยาบถที่ถูกกันและไม่ถูกกัน เว้นฤดูและอิริยาบถที่ไม่ถูกกันเสียแล้ว เสพฤดูและอิริยาบถที่ถูกกัน ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.
               การพิจารณาถึงความที่ตนและคนอื่นมีกรรมเป็นของๆ ตน เรียกว่าประกอบความเป็นกลาง ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้ด้วยประกอบความเป็นกลางอันนี้. เมื่อเว้นบุคคลผู้มีกายไม่สงบ เช่นเที่ยวเบียดเบียนสัตว์อื่นด้วยเครื่องประหาร มีก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้นก็ดี เสพบุคคลผู้มีกายสงบ สำรวมมือเท้าก็ดี มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อให้เกิดปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ในอิริยาบถมียืนนั่งเป็นต้นก็ดี ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.
               ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้น อันเกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

               สมาธิสัมโพชฌงค์               
               สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้ โดยนัยมาแล้วในบาลี (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมถนิมิต (บาลีว่า สมาธินิมิต) อัพยัคคนิมิตมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในนิมิตทั้งสองนั้น นี้เป็นอาหาร (ย่อมเป็นไป) เพื่อความเกิดแห่งสมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางเพื่อความไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์เต็มที่แห่งสมาธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ดังนี้.
               ในนิมิตเหล่านั้น สมถะนั่นแล ชื่อว่าสมถนิมิตและอัพยัคคนิมิต เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน.

               ธรรมเป็นเหตุเกิดสมาธิสัมโพชฌงค์               
               อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๑๑ ประการย่อมเป็นทางเกิดสมาธิสัมโพชฌงค์ คือ
                         ๑. ทำวัตถุให้สละสลวย
                         ๒. การปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ
                         ๓. ฉลาดในนิมิต
                         ๔. ประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง
                         ๕. ข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม
                         ๖. ทำจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง
                         ๗. เพ่งเฉยในสมัยที่ควรเพ่งเฉย
                         ๘. เว้นบุคคลผู้มีจิตไม่เป็นสมาธิ
                         ๙. คบหาบุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิ
                         ๑๐. พิจารณาและวิโมกข์
                         ๑๑. น้อมจิตไปในสมาธิสัมโพชฌงค์นั้น.

               อธิบายธรรม ๑๑ ประการ               
               ในธรรม ๑๑ ประการนั้น เฉพาะการทำวัตถุให้สละสลวย และการปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ พึงทราบตามนัยที่กล่าวมาแล้วนั่นแล.
               ความฉลาดในการกำหนดกสิณนิมิตเป็นอารมณ์ ชื่อว่าฉลาดในนิมิต. การประคองจิตไว้ ด้วยการตั้งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์และปีติสัมโพชฌงค์ในสมัยที่จิตหดหู่ เพราะมีความเพียรย่อหย่อนเกินไปเป็นต้น ชื่อว่าประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง.
               การข่มจิตไว้ ด้วยการตั้งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ในสมัยที่จิตฟุ้งซ่าน เพราะปรารภความเพียรมากเกินไปเป็นต้น ชื่อว่าข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม.
               คำว่า ทำจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรร่าเริง อธิบายว่า สมัยใด จิตไม่แช่มชื่นเพราะมีปัญญาและความเพียรอ่อนไป หรือเพราะไม่บรรลุสุขที่เกิดแต่ความสงบ สมัยนั้น ก็ทำจิตให้สลดด้วยพิจารณาสังเวควัตถุเรื่องอันเป็นที่ตั้งแห่งความสลด ๘ ประการ.
               เรื่องอันเป็นที่ตั้งแห่งความสลด ๘ ประการ คือ
                         ๑. ชาติ ๒. ชรา ๓. พยาธิ ๔. มรณะ
                         ๕. ทุกข์ในอบาย
                         ๖. ทุกข์ในอดีตมีวัฏฏะเป็นมูล
                         ๗. ทุกข์ในอนาคตมีวัฏฏะเป็นมูล
                         ๘. ทุกข์ในปัจจุบันมีการแสวงหาอาหารเป็นมูล.
               อนึ่ง การทำความเลื่อมใสให้เกิด ด้วยมาระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อันนี้ก็เรียกว่าการทำจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง.
               ชื่อว่า เพ่งเฉยในสมัยที่ควรเพ่งเฉย อธิบายว่า สมัยใด จิตอาศัยการปฏิบัติชอบ ไม่หดหู่ ไม่ฟุ้งซ่าน แช่มชื่น เป็นไปสม่ำเสมอในอารมณ์ ดำเนินในสมถวิถี สมัยนั้นไม่ต้องขวยขวายในการประคอง ข่มและทำจิตให้ร่าเริง เหมือนสารถีไม่ต้องขวนขวาย ในเมื่อม้าวิ่งเรียบฉะนั้น อันนี้เรียกว่าเพ่งเฉยในสมัยที่ควรเพ่งเฉย.
               การเว้นบุคคลผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่บรรลุอุปจาระหรืออัปปนา ให้ห่างไกล ชื่อว่าเว้นบุคคลผู้มีจิตไม่เป็นสมาธิ.
               การเสพ คบหา เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิด้วยอุปจารภาวนา หรืออัปปนาภาวนา ชื่อว่าคบหาบุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิ.
               ความเป็นผู้มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อให้เกิดสมาธิ ในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้น ชื่อว่าน้อมจิตไปในสมาธิสัมโพชฌงค์.
               ด้วยว่า เมื่อปฏิบัติอยู่อย่างนี้ สมาธิสัมโพชฌงค์นั้นย่อมเกิดได้.
               เมื่อภิกษุรู้ชัดว่า ก็สมาธิสัมโพชฌงค์นั้น อันเกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

               อุเบกขาสัมโพชฌงค์               
               อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้ตามนัยอันมาแล้วในบาลี (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น นี้เป็นอาหาร (ย่อมเป็นไป) เพื่อความเกิดแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางเพื่อความเจริญไพบูลย์ บริบูรณ์เต็มที่ แห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ดังนี้.
               ก็ในธรรมเหล่านั้น อุเบกขานั่นแล ชื่อว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์.

               ธรรมเป็นเหตุเกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์               
               อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๕ ประการย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ คือ
                         ๑. วางตนเป็นกลางในสัตว์
                         ๒. วางตนเป็นกลางในสังขาร
                         ๓. เว้นบุคคลผู้ยึดถือสัตว์และสังขาร
                         ๔. คบหาบุคคลผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์และสังขาร
                         ๕. น้อมจิตไปในอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น.

               อธิบายธรรม ๕ ประการ               
               ในธรรม ๕ ประการนั้น ผู้เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมตั้งการวางตนเป็นกลางในสัตว์ ด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ
               ด้วยการพิจารณาถึงความที่ตนและผู้อื่นมีกรรมเป็นของๆ ตนอย่างนี้ว่า ท่านมาด้วยกรรมของตน ก็จักไปด้วยกรรมของตน แม้เขาก็มาด้วยกรรมของตน (เขา) จักไปด้วยกรรมของตน (เขา) เหมือนกัน ท่านจะยึดถืออะไรกัน ดังนี้
               และด้วยการพิจารณาถึงความไม่มีสัตว์อย่างนี้ว่า เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ที่ว่าสัตว์ๆ มันไม่มี ท่านจะยึดอะไรกันเล่า ดังนี้.
               ตั้งการวางตนเป็นกลางในสังขาร ด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ
               ด้วยการพิจารณาโดยความเป็นของไม่มีเจ้าของ อย่างนี้ว่า จีวรนี้จักเข้าถึงความเปลี่ยนสีและความเก่าคร่ำคร่า เป็นผ้าเช็ดเท้า ต้องเขี่ยทิ้งด้วยปลายไม้เท้า ก็ถ้าว่าจีวรนั้นพึงมีเจ้าของไซร้ เขาก็ไม่พึงให้มันเสียหายอย่างนี้ ดังนี้
               และด้วยการพิจารณาโดยความเป็นของชั่วคราวอย่างนี้ว่า จีวรนี้อยู่ไม่ได้นาน เป็นของชั่วคราว ดังนี้.
               แม้ในบริขารมีบาตรเป็นต้น ก็พึงประกอบความเหมือนอย่างในจีวร.
               ในข้อว่า เว้นบุคคลผู้ยึดถือในสัตว์และสังขาร มีวินิจฉัยดังนี้
               บุคคลใดเป็นคฤหัสถ์ ก็ยึดถือปิยชนมีบุตรธิดาเป็นต้นของตน หรือเป็นบรรพชิตก็ยึดถือบรรพชิตมีอันเตวาสิก และผู้ร่วมอุปัชฌาย์กันเป็นต้นของตน มัวทำกิจกรรมมีปลงผม เย็บจีวร ซักย้อมจีวร ระบมบาตรเป็นต้นของชนเหล่านั้น ด้วยมือของตนทีเดียว
               เมื่อไม่เห็นเพียงครู่เดียว ก็บ่นถึงว่า สามเณรรูปโน้นไปไหน ภิกษุหนุ่มรูปโน้นไปไหน เหลียวซ้ายแลขวา เหมือนมฤคตื่นตกใจฉะนั้น แม้ผู้อื่นอ้อนวอนขอว่า โปรดส่งสามเณรชื่อโน้นไปช่วยปลงผมเป็นต้น สักครู่เถิดดังนี้ ก็ไม่ยอมให้ด้วยพูดว่า พวกเราจะไม่ให้ทำกิจกรรมของตนบ้างหรือ พวกท่านพาเธอไปจะลำบากดังนี้
               บุคคลนี้ ชื่อว่ายึดถือสัตว์.
               ฝ่ายบุคคลใด ยึดถือบริขารมีจีวร บาตร ถลกบาตร ไม้เท้าเป็นต้น แม้ผู้อื่นจะเอามือจับก็ไม่ให้จับ ถึงขอยืมก็ตอบขัดข้องว่า เราต้องการใช้ทรัพย์ ก็ยังไม่ใช้ จักให้พวกท่านได้อย่างไรดังนี้
               บุคคลนี้ ชื่อว่ายึดถือสังขาร.
               ฝ่ายบุคคลใดวางตนเป็นกลาง เที่ยงตรงในวัตถุทั้งสองนั้น บุคคลนี้ ชื่อว่าวางตนเป็นกลางในสัตว์และสังขาร.
               เมื่อเว้นไกลบุคคลผู้ยึดถือสัตว์และสังขารเห็นปานฉะนี้ก็ดี คบหาบุคคลผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์และสังขารก็ดี มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อให้เกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้นก็ดี อุเบกขาสัมโพชฌงค์นี้ย่อมเกิดได้ด้วยประการฉะนี้.
               ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็อุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้นอันเกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.
               คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายในเป็นต้น ความว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย เพราะกำหนดสัมโพชฌงค์ ๗ ของตน หรือของคนอื่น หรือกำหนดสัมโพชฌงค์ ๗ ของตนตามกาล หรือของคนอื่นตามกาลอยู่.
               ก็ความเกิดและความเสื่อม (แห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์) พึงทราบด้วยอำนาจความเกิดและความดับแห่งสัมโพชฌงค์ทั้งหลายในโพชฌงคบรรพนี้.
               ข้อความต่อจากนี้ ก็มีนัยดังกล่าวมาแล้ว.

               สติกำหนดโพชฌงค์เป็นอริยสัจ ๔               
               แต่ในโพชฌงค์บรรพนี้มีข้อแตกต่างกันอย่างเดียว คือพึงประกอบความอย่างนี้ว่า สติกำหนดโพชฌงค์เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจเป็นต้น แล้วพึงทราบว่า เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ ของภิกษุผู้กำหนดโพชฌงค์เป็นอารมณ์.
               คำที่เหลือก็เช่นนั้นเหมือนกัน.
               จบโพชฌงคบรรพ               

.. อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาสติปัฏฐานสูตร
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖]
อ่านอรรถกถา 10 / 1อ่านอรรถกถา 10 / 247อรรถกถา เล่มที่ 10 ข้อ 273อ่านอรรถกถา 10 / 301อ่านอรรถกถา 10 / 301
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=10&A=6257&Z=6764
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=5&A=9140
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=5&A=9140
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓๑  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :