ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘]อ่านอรรถกถา 11 / 1อ่านอรรถกถา 11 / 207อรรถกถา เล่มที่ 11 ข้อ 221อ่านอรรถกถา 11 / 364อ่านอรรถกถา 11 / 364
อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
สังคีติสูตร

หน้าต่างที่ ๖ / ๘.

               ว่าด้วยธรรมหมวด ๕               
               พระเถระครั้นแสดงสามัคคีรสด้วยอำนาจหมวดสี่ ด้วยประการฉะนี้แล้ว บัดนี้หวังจะแสดงด้วยอำนาจหมวด ๕ จึงเริ่มเทศนาอีก.
               ในหมวด ๕ นั้น พึงทราบอธิบายดังนี้.
               บรรดาขันธ์ ๕ รูปขันธ์เป็นโลกิยะ. ขันธ์ที่เหลือเป็นทั้งโลกิยะและโลกุตตระ. อุปทานขันธ์เป็นโลกิยะอย่างเดียว.
               ก็กถาว่าด้วยขันธ์ ท่านกล่าวไว้โดยพิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค.
               กามคุณทั้งหลาย ท่านให้พิสดารแล้วในหนหลัง.
               ที่ชื่อว่า คติ เพราะอรรถว่าสัตว์พึงดำเนินไป เพราะกรรมที่ทำดี และกรรมที่ทำไม่ดีเป็นต้น.
               ข้อว่า นิรโย แปลว่า หมดความยินดี.
               ขันธ์ทั้งหลาย ท่านกล่าวไว้พร้อมกับโอกาส (ที่อยู่) ร่วมกัน. ขันธ์ที่เกิดขึ้นในที่ ๓ แห่ง นอกจากนี้ ท่านกล่าวแล้ว. แม้โอกาส ท่านก็กล่าวไว้แล้วในขันธ์ที่ ๔.
               ความตระหนี่ในอาวาส ชื่อว่าอาวาสมัจฉริยะ.
               ภิกษุผู้ประกอบด้วยอาวาสมัจฉริยะนั้น เห็นอาคันตุกะแล้ว กล่าวคำเป็นต้นว่า ในอาวาสหลังนี้ เขาเก็บบริขารของเจดีย์หรือของสงฆ์ไว้ ย่อมกันอาวาสแม้ที่เป็นของสงฆ์. เธอทำกาละแล้ว ย่อมไปเกิดเป็นเปรต หรืองูเหลือม.
               ความตระหนี่ในตระกูลชื่อว่ากุลมัจฉริยะ.
               ภิกษุผู้ประกอบด้วยความตระหนี่ในตระกูลนั้น ย่อมกันภิกษุพวกอื่นจะเข้าไปในตระกูลอุปัฏฐากของตน ด้วยเหตุนั้นๆ.
               ความตระหนี่ในลาภ ชื่อว่าลาภมัจฉริยะ.
               ภิกษุผู้ประกอบด้วยความตระหนี่ในลาภนั้น ตระหนี่ลาภแม้เป็นของสงฆ์ กระทำโดยประการที่ภิกษุพวกอื่นจะไม่ได้.
               ความตระหนี่ในวรรณะ ชื่อว่าวรรณมัจฉริยะ.
               ก็ในคำว่า วณฺโณ นี้ บัณฑิตพึงทราบทั้งสรีรวรรณะทั้งคุณวรรณะ.
               ความตระหนี่ในปริยัติธรรม ชื่อว่าธรรมมัจฉริยะ. ภิกษุผู้ประกอบด้วยความตระหนี่ในปริยัติธรรมนั้น ย่อมไม่ให้ (ปริยัติธรรม) แก่ภิกษุอื่นด้วยคิดเสียว่า ภิกษุนี้เรียนธรรมนี้แล้วจักข่มเรา. ส่วนภิกษุใดไม่ให้เพราะอนุเคราะห์ธรรม หรืออนุเคราะห์บุคคล อันนั้นไม่จัดเป็นความตระหนี่ (สำหรับภิกษุนั้น).
               ธรรมชาติที่ชื่อว่านิวรณ์ เพราะอรรถว่าห้าม คือปิดกั้นจิตไว้. กามฉันท์ที่ถึงความเป็นนิวรณ์ ฆ่าด้วยอรหัตตมรรคได้. อนุสัยคือกามราคะที่ถึงความเป็นกามราคสังโยชน์ ฆ่าด้วยอนาคามิมรรคได้. ถีนะเป็นความขัดข้องทางจิต. มิทธะเป็นความขัดข้องของขันธ์ ๓. ถีนะและมิทธะ แม้ทั้งสองฆ่าด้วยอรหัตตมรรคได้. อุทธัจจะก็เหมือนกัน. กุกกุจจะฆ่าด้วยอนาคามิมรรคได้. วิจิกิจฉาฆ่าด้วยโสดาปัตติมรรคได้.
               ข้อว่า สญฺโญชนานิ ได้แก่ เครื่องผูกมัด.
               ก็บรรดาบุคคลที่ถูกสัญโยชน์เหล่านั้นผูกไว้ พระโสดาบันและพระสกทาคามีซึ่งเกิดในรูปภพและอรูปภพ ชื่อว่านอนแล้วในภายนอกจากเครื่องผูกในภายใน. จริงอยู่ พระโสดาบันและพระสกทาคามีเหล่านั้น ยังมีเครื่องผูกมัดไว้ในกามภพ.
               พระอนาคามี ชื่อว่านอนในภายในจากเครื่องผูกในภายนอก ในกามภพ. จริงอยู่ สำหรับพระอนาคามีเหล่านั้น ยังมีเครื่องผูกมัดไว้ในรูปภพและอรูปภพ. พระโสดาบันและพระสกทาคามี ชื่อว่านอนในภายในจากเครื่องผูกในภายใน ในกามภพ. พระอนาคามี ชื่อว่านอนในภายนอกจากเครื่องผูกในภายนอก ในรูปภพและอรูปภพ. พระขีณาสพไม่มีเครื่องมัดไว้ในทุกๆ ภพ.
               บทที่พึงศึกษา ชื่อว่า สิกขาบท. อธิบายว่า ส่วนแห่งสิกขา.
               อีกอย่างหนึ่งว่า บทแห่งสิกขา ชื่อว่าสิกขาบท. อธิบายว่า อุบายเครื่องบรรลุอธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา.
               นี้เป็นความย่อในที่นี้. ส่วนกถาแห่งสิกขาบทโดยพิสดารมาแล้วในสิกขาปทวิภังค์ในวิภังค์ปกรณ์นั่นแล.

               อภพฺพฏฺฐาทิปญฺจกวณฺณนา               
               คำเป็นต้นว่า อาวุโส ภิกษุผู้ขีณาสพเป็นผู้ไม่ควรที่จะแกล้งฆ่าสัตว์ดังนี้ เป็นหัวข้อแห่งเทศนานั่นแล. ถึงแม้พระโสดาบันเป็นต้นก็เป็นผู้ไม่ควร.
               การนินทาและการสรรเสริญ ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ สำหรับปุถุชนและพระขีณาสพ. ธรรมดาว่า ปุถุชนที่เป็นคนต่ำช้า ย่อมทำแม้การฆ่ามารดาเสียก็ได้. ส่วนพระขีณาสพเป็นผู้สูงส่ง ย่อมไม่กระทำแม้การฆ่ามดดำมดแดงเป็นต้น.
               ในความย่อยยับทั้งหลาย มีเนื้อความดังต่อไปนี้.
               ข้อว่า พฺยสติ แปลว่า ความฉิบหาย. อธิบายว่า ซัดไป คือกำจัดประโยชน์เกื้อกูลและความสุขเสีย. ความพินาศแห่งญาติ ชื่อว่าญาติพยสนะ. อธิบายว่า ความพินาศแห่งญาติ เพราะโจรภัยและโรคภัยเป็นต้น. ความพินาศแห่งโภคะ ชื่อว่าโภคพยสนะ. อธิบายว่า ความพินาศแห่งโภคะด้วยอำนาจพระราชาและโจรเป็นต้น. ความพินาศคือโรค ชื่อว่าโรคพยสนะ.
               จริงอยู่ โรคย่อมทำลาย คือยังความไม่มีโรคให้พินาศไป เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าพยสนะ.
               ความพินาศแห่งศีล ชื่อว่าสีลพยสนะ. คำนี้เป็นชื่อของความทุศีล. ความย่อยยับ คือทิฏฐิซึ่งทำสัมมาทิฏฐิให้พินาศเกิดขึ้น ชื่อว่าทิฏฐิพยสนะ.
               ก็ในข้อนี้ ความย่อยยับ ๓ อย่างมีความย่อยยับแห่งญาติเป็นต้น เป็นอกุศลหามิได้ (ทั้ง) ไม่ทำลายลักษณะ ๓ ด้วย. ความย่อยยับแห่งศีลและทิฏฐิทั้ง ๒ เป็นอกุศล ไม่ทำลายลักษณะ ๓. เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ ท่านจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า นาวุโส สตฺตา ญาติพฺยสนเหตุ วา ดังนี้.
               ข้อว่า ญาติสมฺปทา ความว่า ความถึงพร้อม ความบริบูรณ์ ความมีญาติมาก. แม้ในความถึงพร้อมแห่งโภคะเป็นต้นก็นัยนี้. ความถึงพร้อมแห่งความเป็นผู้ไม่มีโรค ชื่อว่า อาโรคยสัมปทา ได้แก่ ความเป็นผู้ไม่มีโรคตลอดกาลนาน. แม้ในความถึงพร้อมแห่งศีลและทิฏฐิเป็นต้นก็นัยนี้. แม้ในข้อนี้ ความถึงพร้อมแห่งญาติเป็นต้นไม่เป็นกุศล ไม่ทำลายลักษณะ ๓. ความถึงพร้อมแห่งศีลและทิฏฐิเป็นกุศล ไม่ทำลายลักษณะ ๓. เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ ท่านจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า นาวุโส สตฺตา ญาติสมฺปทาเหตุ วา. กถาว่าด้วยศีลวิบัติและศีลสมบัติ ท่านให้พิสดารแล้วในมหาปรินิพพานสูตรแล.
               ข้อว่า โจทเกน ความว่า ถูกโจทด้วยเรื่องสำหรับโจท ๔ อย่างคือ การเทียบเคียงเรื่องราว การเทียบเคียงอาบัติ การห้ามการอยู่ร่วม การห้ามสามีจิกรรม.
               ในข้อว่า กาเลน วกฺขามิโน อกาเลน ความว่า สำหรับจำเลยต้องบอกเวลาสำหรับโจทก์ไม่ต้อง.
               จริงอยู่ ภิกษุเมื่อจะโจทผู้อื่น ไม่พึงโจทในท่ามกลางบริษัท ในโรงอุโบสถ ในโรงปวารณา หรือในโรงฉัน โรงเลี้ยงเป็นต้น. เวลาที่ท่านนั่งพักในที่พักกลางวัน พึงให้ท่านให้โอกาสเสียก่อนแล้วจึงโจทขึ้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ ขอท่านจงให้โอกาส ผมต้องการจะพูดกับท่าน. ก็ครั้นสอบสวนบุคคลแล้ว ผู้ใดเป็นบุคคลเหลาะแหละ พูดเท็จ ยกโทษมิใช่ยศขึ้นแก่พวกภิกษุทั้งหลาย ผู้นั้นแม้เว้นการทำโอกาส ก็โจทได้.
               ข้อว่า ภูเตน ความว่า ตามสภาพที่เป็นจริง.
               ข้อว่า สณฺเหน ความว่า เกลี้ยงเกลา อ่อนโยน.
               ข้อว่า อตฺถสญฺหิเตน ความว่า ด้วยการเข้าถึงโดยความเป็นผู้ใคร่ประโยชน์ ความเป็นผู้ใคร่ความเกื้อกูล.

               ปธานิยงฺคปญฺจกวณฺณนา               
               ข้อว่า ปธานิยงฺคานิ ความว่า ภาวะที่เป็นที่ตั้ง ท่านเรียกว่าปธาน. ปธานของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อว่าปธานิยะ. องค์แห่งภิกษุผู้มีปธาน ชื่อว่าปธานิยังคะ (องค์แห่งภิกษุผู้มีความเพียร).
               ข้อว่า สทฺโธ ความว่า ประกอบด้วยศรัทธา.
               ก็ศรัทธามี ๔ อย่าง คือ อาคมนศรัทธา อธิคมนศรัทธา โอกัปปนศรัทธา ปสาทศรัทธา.
               บรรดาศรัทธา ๔ อย่างนั้น ความเชื่อต่อปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่าอาคมนศรัทธา เพราะมาแล้วตั้งแต่ (เริ่มทำ) อภินิหาร. ความเชื่อต่อพระอริยสาวกทั้งหลาย ชื่อว่าอธิคมนศรัทธา เพราะบรรลุแล้วด้วยการแทงตลอด. เมื่อมีคนกล่าวว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ดังนี้แล้ว การปลงใจลงเชื่อโดยความไม่หวั่นไหว ชื่อว่าโอกัปปนศรัทธา. ความเกิดขึ้นแห่งความเลื่อมใส ชื่อว่าปสาทศรัทธา.
               ในที่นี้ท่านประสงค์เอาศรัทธาคือการปลงใจลงเชื่อ.
               ข้อว่า โพธึ ได้แก่ ญาณในมรรคที่ ๔. บุคคลย่อมเชื่อว่า ญาณในมรรคที่ ๔ นั้นเป็นอันพระตถาคตเจ้าตรัสรู้แล้ว. ก็คำนี้เป็นแง่แห่งเทศนานั่นเทียว. ก็ความเชื่อในรัตนะแม้ทั้ง ๓ ประการด้วยองค์นี้ ท่านประสงค์เอาแล้ว.
               จริงอยู่ ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ของบุคคลใดเป็นสภาพมีกำลัง ความเพียรที่ตั้งไว้ของบุคคลนั้น ย่อมสำเร็จได้.
               ข้อว่า อปฺปาพาโธ แปลว่า ไม่มีโรค. ข้อว่า อปฺปาตงฺโก แปลว่า หมดทุกข์. ข้อว่า สมเวปากินิยา แปลว่า มีผลสุกงอม. ข้อว่า คหณิยา ได้แก่ เตโชธาตุซึ่งเกิดแต่กรรม.
               ข้อว่า นาติสีตาย นาจฺจุณฺหาย ความว่า ก็บุคคลที่มีน้ำย่อยออกมาเย็นมาก ย่อมกลัวต่อความเย็น. บุคคลที่มีน้ำย่อยออกมาร้อนมาก ย่อมกลัวต่อความร้อน. ความเพียรย่อมไม่สำเร็จแก่พวกเขา. สำหรับบุคคลผู้ที่มีน้ำย่อยพอปานกลาง สำเร็จได้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เหมาะแก่ความเพียรระดับกลาง.
               ข้อว่า ยถาภูตํ อตฺตานํ อาวิกตฺตา ความว่า ประกาศโทษของตนตามที่เป็นจริง.
               ข้อว่า อุทยตฺถคามินิยา ความว่า สามารถที่จะขึ้นไปและที่จะกำหนดถึงเวลาขึ้นและเวลาตก. อุทยัพยญาณที่กำหนดเอาลักษณะ ๕๐ ประการ ท่านกล่าวไว้ด้วยคำนี้.
               ข้อว่า อริยาย ความว่า สะอาดหมดจด. ข้อว่า นิพฺเพธิกาย ความว่า สามารถเพื่อแทงตลอดขันธ์มีความโลภเป็นต้น ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน.
               ข้อว่า สมฺมาทุกฺขกฺขยคามินิยา ความว่า ทุกข์ใดๆ จะสิ้นไปได้ ดำเนินไปเพื่อความสิ้นทุกข์นั้นๆ เพราะละกิเลสได้ด้วยอำนาจองค์นั้นๆ. วิปัสสนาปัญญา ท่านกล่าวไว้ด้วยบทเหล่านี้ทุกบท ด้วยประการฉะนี้.
               จริงอยู่ ความเพียรหาสำเร็จแก่คนทรามปัญญาไม่.

               สุทฺธาวาสาทิปญฺจกวณฺณนา               
               ข้อว่า สุทฺธาวาสา ความว่า พวกพรหมชั้นสุทธาวาสอยู่แล้ว กำลังอยู่ หรือจักอยู่ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสุทธาวาส. ข้อว่า สุทฺธา ได้แก่ พระอนาคามีและพระขีณาสพ ซึ่งปราศจากกิเลสมลทิน. คำใดที่พึงกล่าวในข้อว่า อวิหา เป็นต้น คำนั้นท่านกล่าวไว้แล้วในมหาปทานสูตรนั่นแล.
               ในบรรดาพระอนาคามีบุคคลทั้งหลาย พึงทราบดังต่อไปนี้.
               พระอนาคามีผู้ยังไม่ล่วงวัยกลางคน แล้วบรรลุพระอรหัต ซึ่งเป็นการดับกิเลสเสียได้ในระหว่าง ชื่อว่า อันตรปรินิพพายี (ปรินิพพานในระหว่าง). พระอนาคามีผู้ล่วงเลยวัยกลางคนไปแล้ว จึงบรรลุชื่อว่า อุปหัจจปรินิพพายี (นิพพานเมื่อล่วงวัยกลางคนแล้ว).
               พระอนาคามีผู้ไม่ลำบากเพราะไม่ต้องประกอบความเพียร โดยไม่มีสังขาร (เครื่องปรุงแต่งช่วยเหลือ) บรรลุได้อย่างง่ายดาย ชื่อว่า อสงฺขารปรินิพฺพายี (นิพพานโดยไม่มีสังขาร). พระอนาคามีผู้ลำบาก เพราะต้องประกอบความเพียรพร้อมกับสังขาร บรรลุได้โดยความลำบาก ชื่อว่า สสังขารปรินิพพายี (ปรินิพพานพร้อมสังขาร).
               พระอนาคามีทั้ง ๔ เหล่านี้หาได้ในสุทธาวาสทั้ง ๕ ชั้น.
               บัณฑิตพึงทราบหมวด ๔ ในข้อว่า อุทฺธํโสโต อกนิฏฺฐคามี นี้ต่อไป.
               ก็พระอนาคามีท่านใดชำระเทวโลกสี่ชั้น ตั้งแต่ชั้นอวิหาไปให้หมดจด ไปยังอกนิฏฐภพแล้วปรินิพพาน พระอนาคามีนี้ ชื่อว่า อุทฺธํโสโต อกนิฏฺฐคามี มีกระแสในเบื้องบน ไปยังอกนิฏฐภพ.
               พระอนาคามีท่านใดไปยังเทวโลกชั้นที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔ ตั้งแต่ชั้นอวิหาไปแล้วปรินิพพาน พระอนาคามีนี้ ชื่อว่า อุทฺธํโสโต น อกนิฏฺฐคามี มีกระแสในเบื้องบน ไม่ไปยังอกนิฏฐภพ.
               พระอนาคามีท่านใดจากกามภพ แล้วเกิดในอกนิฏฐภพแล้วปรินิพพาน พระอนาคามีนี้ ชื่อว่า น อุทฺธํโสโต อกนิฏฺฐคามี ไม่มีกระแสในเบื้องบน ไปยังอกนิฏฐภพ.
               พระอนาคามีท่านใดบังเกิดในที่นั้นๆ นั่นแหละ บรรดาเทวโลก ๔ ชั้นเบื้องล่างแล้วปรินิพพาน (ที่ชั้นนั้นๆ) พระอนาคามีนี้ ชื่อว่า น อุทฺธํโสโต น อกนิฏฺฐคามี.

               ยุเม จตฺตาโร ปญฺจสุปิ สุทฺธาวาเสสุ ลพฺภนฺติ ฯ
               อุทฺธํโสโตอกนิฏฺฐคามีติ เอตฺถ ปน จตุกฺกํ เวทิตพฺพํ ฯ โย หิ อวิหาโต ปฏฺฐาย จตฺตาโร เทวโลเก โสเธตฺวา อกนิฏฺฐํ คนฺตฺวา ปรินิพฺพายติ ฯ อยํ อุทฺธํโสโต อกนิฏฺฐคามี นาม.
               โย อวิหาโต ปฏฺฐาย (๑) ทุติยํ วา ตติยํ วา จตุตฺถํ วา เทวโลกํ คนฺตฺวา ปรินิพฺพายติ ฯ อยํ อุทฺธํโสโต น อกนิฏฺคามี นาม.
               โย กามภวโตว อกนิฏฺเฐสุ นิพฺพตฺติตฺวา ปรินิพฺพายติ ฯ อยํ น อุทฺธํโสโต อกนิฏฺคามี นามฯ
               โย เหฏฺฐา จตูสุ เทวโลเกสุ ตตฺถ ตตฺเถว นิพฺพตฺติตฺวา ปรินิพฺพายติ ฯ อยํ น อุทฺธํโสโต น อกนิฏฺฐคามี นามาติ ฯ
____________________________
(๑) ม. อยํ ปาโฐ นตฺถิ ฯ

               เจโตขีลปญฺจกวณฺณนา               
               ข้อว่า เจโตขีลา ความว่า ภาวะที่จิตแข็งกระด้าง.
               ข้อว่า สตฺถริ กงฺขติ ความว่า ย่อมสงสัยในพระสรีระหรือในพระคุณของพระศาสดา. บุคคลเมื่อสงสัยในพระสรีระย่อมสงสัยไปว่า ขึ้นชื่อว่าสรีระที่ประดับด้วยมหาปุริสลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการมีอยู่หรือไม่หนอ. บุคคลผู้สงสัยในพระคุณ ย่อมสงสัยว่า สัพพัญญุตญาณที่สามารถจะรู้อดีตอนาคตและปัจจุบัน มีหรือไม่หนอ.
               ข้อว่า อาตปฺปาย ความว่า เพื่อบำเพ็ญเพียร. ข้อว่า อนุโยคาย ความว่า โดยการประกอบเนืองๆ. ข้อว่า สาตจฺจาย ความว่า โดยกระทำติดต่อ. ข้อว่า ปธานาย ความว่า เพื่อการตั้งไว้.
               ข้อว่า อยํ ปฐโม เจโตขีโล นี้ความว่า ความที่จิตกระด้างข้อแรกนี้ ได้แก่ความสงสัยในพระศาสดา.
               ข้อว่า ธมฺเม ความว่า ในปริยัติธรรมและปฏิเวธธรรม. บุคคลผู้สงสัยในปริยัติธรรม ย่อมสงสัยว่าคนทั้งหลายพูดกันว่า พระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎกมี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระพุทธพจน์นั้นมีอยู่หรือไม่หนอ. บุคคลผู้สงสัยในปฏิเวธธรรม ย่อมสงสัยว่า คนทั้งหลายพากันพูดว่าผลของวิปัสสนา ชื่อว่ามรรค ผลของมรรคชื่อว่าผล การสละสังขารทั้งปวงเสียได้ชื่อว่านิพพาน นิพพานนั้นมีอยู่หรือไม่หนอ.
               ข้อว่า สงฺเฆ กงฺขติ ความว่า ย่อมสงสัยว่า ประชุมแห่งบุคคลผู้ปฏิบัติปฏิทาอย่างนี้ด้วยอำนาจแห่งบทเป็นต้นว่า อุชุปฏิปนฺโน ดังนี้มี ๘ คือ พระผู้ตั้งอยู่ในมรรค ๔ พระผู้ตั้งอยู่ในผล ๔ ชื่อว่าพระสงฆ์ พระสงฆ์นั้นมีอยู่หรือไม่หนอ.
               บุคคลผู้สงสัยในสิกขา ย่อมสงสัยว่า คนทั้งหลายพูดว่า ชื่อว่าอธิสีลสิกขา ชื่อว่าอธิจิตตสิกขา ชื่อว่าอธิปัญญาสิกขา สิกขานั้นมีอยู่หรือไม่หนอ.
               ข้อว่า อยํ ปญฺจโม นี้ความว่า ภาวะที่จิตแข็ง ภาวะที่จิตเป็นดุจกองหยากเยื่อ ภาวะที่จิตเป็นดุจตอนี้เป็นที่ ๕ ได้แก่ความโกรธเคืองในเรื่องสพรหมจารีทั้งหลาย.

               เจตโสวินีพนฺธาทิปญฺจกวณฺณนา               
               ข้อว่า เจตโส วินิพนฺธา ความว่า เหล่ากิเลสที่ชื่อว่า เป็นเครื่องผูกมัดจิตไว้ เพราะอรรถว่าผูกจิตยึดไว้ เหมือนทำไว้ในกำมือฉะนั้น. ข้อว่า กาเมสุ ความว่า ทั้งในวัตถุกาม ทั้งในกิเลสกาม. ข้อว่า กาเย ได้แก่ กรัชกายของตน. ข้อว่า รูเป ได้แก่ รูปภายนอก. ข้อว่า ยาวทตฺถํ ความว่า เท่าที่ต้องการ. ข้อว่า อุทราวเทหกํ ความว่า เต็มท้อง. จริงอยู่ ท้องนั้นท่านเรียกว่า อุทราวเทหกัง เพราะเลี้ยงร่างกายไว้. ข้อว่า เสยฺยสุขํ ความว่า มีความสุขเพราะเตียงและตั่ง. ข้อว่า ปสฺสสุขํ ความว่า สำหรับบุคคลผู้นอนกลิ้งไปตามสบาย นอนตะแคงขวาหรือนอนตะแคงซ้าย ก็มีความสุข ความสุขเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้. ข้อว่า มิทฺธสุขํ ความว่า สุขอันเกิดจากความหลับ. ข้อว่า อนุยุตฺโต ความว่า ประกอบสิ่งที่สมควรอยู่. ข้อว่า ปณิธาย ความว่า ตั้งไว้แล้ว. ข้อว่า พฺรหฺมจริเยน ความว่า ประพฤติพรหมจรรย์งดเว้นเมถุน. ข้อว่า เทโว วา ภิวสฺสามิ ความว่า เราจักเป็นเทพผู้มีศักดิ์ใหญ่หรือ. ข้อว่า เทวญฺญตโร วา ความว่า หรือว่าบรรดาเทพผู้มีศักดิ์น้อยทั้งหลาย เทพองค์ใดองค์หนึ่ง.
               พึงทราบวินิจฉัยในอินทรีย์ทั้งหลายต่อไป.
               อินทรีย์ที่เป็นโลกิยะเท่านั้น ท่านกล่าวไว้แล้วในปัญจกะที่หนึ่ง. ปฐมฌานทุติยฌาน และจตุตถฌานที่เป็นโลกิยะ ท่านกล่าวไว้แล้วในปัญจกะที่ ๒ ตติยฌานและปัญจมฌาน เป็นทั้งโลกิยะและโลกุตตระ (ท่านก็กล่าวไว้ในปัญจกะที่ ๒). ที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ ท่านกล่าวไว้ในปัญจกะที่ ๓ ด้วยอำนาจสมถะวิปัสสนาและมรรค.

               นิสฺสรนียปญฺจกวณฺณนา               
               ข้อว่า นิสฺสารณียา ความว่า แล่นออกไป คือหมดความทรงจำ.
               ข้อว่า ธาตุโย ได้แก่ สภาวะที่ว่างจากตัวตน.
               ข้อว่า กามํ มนสิกโรติ ความว่า นึกถึงแต่เรื่องกาม. อธิบายว่า ออกจากอสุภฌานแล้วส่งจิตมุ่งต่อกามเพื่อจะทดลองดู เหมือนคนจับงูแล้วจะทดลองพิษดูฉะนั้น.
               ข้อว่า น ปกฺขนฺทติ ความว่า ไม่เข้าไป. ข้อว่า น ปสีทติ ความว่า ไม่ถึงกับเลื่อมใส. ข้อว่า น สนฺติฏฺฐติ ความว่า ตั้งอยู่ไม่ได้.
               ข้อว่า น วิมุจฺจติ ความว่า ไม่หลุดพ้นไปได้. ขนปีกไก่ หรือท่อนเอ็นที่คนโยนเข้าในไฟ ย่อมหงิก งอ ม้วนเข้า คือไม่เหยียดออก ฉันใด จิตนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมหดหู่ ไม่ร่าเริง.
               ในข้อว่า เนกฺขมฺมํ โข ปน นี้ ความว่า ปฐมฌานในอสุภ ๑๐ ชื่อว่าเนกขัมมะ. เมื่อบุคคลนั้นมนสิการถึงปฐมฌานนั้น จิตก็ย่อมแล่นไป.
               ข้อว่า ตสฺส ตํ จิตฺตํ ความว่า อสุภฌาน จิตดวงนั้นของบุคคลนั้น.
               ข้อว่า สุคตํ ความว่า ดำเนินไปดี เพราะไปในโคจร. ข้อว่า สุภาวิตํ ความว่า อบรมมาอย่างดี เพราะเป็นส่วนที่ไม่เลวทราม. ข้อว่า สุวุฏฺฐิตํ ความว่า ออกจากกามได้ด้วยดี. ข้อว่า สุวิมุตฺตํ ความว่า พ้นเด็ดขาดด้วยดีจากกามทั้งหลาย. อาสวะ ๔ ที่มีกามเป็นเหตุ ชื่อว่าอาสวะมีกามเป็นปัจจัย.
               ข้อว่า วิฆาตา แปลว่า เป็นทุกข์.
               ข้อว่า ปริฬาหา ความว่า เร่าร้อนเพราะกามราคะ.
               ข้อว่า น โส ตํ เวทนํ เวเทติ ความว่า บุคคลนั้นย่อมไม่เสวยเวทนาอันเกิดจากความใคร่ และเวทนาอันเกิดจากความคับแค้น และความเดือดร้อนนั้น.
               ข้อว่า อิทมกฺขาตํ กามานํ นิสฺสรณํ ความว่า อสุภฌานนี้ ท่านกล่าวว่าเป็นเครื่องสลัดกามออกไป เพราะสลัดออกไปจากกามทั้งหลาย ก็บุคคลใดทำฌานนั้นให้เป็นบาท พิจารณาสังขารทั้งหลายบรรลุมรรคที่ ๓ เห็นพระนิพพานด้วยอนาคามิผล รู้ว่า ชื่อว่ากามทั้งหลายไม่มีอีก จิตของบุคคลนั้นก็เป็นอันสลัดออกไปได้อย่างแน่นอน (จากกามทั้งหลาย).
               แม้ในบททั้งหลายที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน.
               อันนี้เป็นข้อที่แตกต่างกัน. ในวาระที่ ๒ เมตตาฌาน ชื่อว่าเป็นการสลัดพยาบาทออกไป. ในวาระที่ ๓ กรุณาฌาน ชื่อว่าการสลัดออกไปจากความเบียดเบียน. ในวาระที่ ๔ อรูปฌาน ชื่อว่าการสลัดออกไปซึ่งรูป. ก็ในข้อนี้ พึงประกอบอรหัตตผลเข้าในการสลัดออกได้อย่างแน่นอน
               พึงทราบอธิบายในวาระที่ ๕ ต่อไป.
               ข้อว่า สกฺกายํ มนสิกโรโต ความว่า พระขีณาสพสุกขวิปัสสกกำหนดเอาสังขารที่หมดจด แล้วบรรลุพระอรหัตออกจากผลสมาบัติ ส่งจิตมุ่งตรงไปยังอุปาทานขันธ์ ๕ เพื่อจะทดลองดู.
               ข้อว่า อิทมกฺขาตํ สกฺกายสฺส นิสฺสรณํ นี้ ความว่า จิตที่สัมปยุตด้วยอรหัตตผลสมาบัติเกิดขึ้นว่า ร่างกายของเราจะไม่มีอีกต่อไปของภิกษุผู้เห็นพระนิพพานด้วยอรหัตตมรรคและอรหัตตผล ท่านเรียกว่าการสลัดออกซึ่งกายของตน.

               วิมุตฺตายตนปญฺจกวณฺณนา               
               ข้อว่า วิมุตฺตายตนานิ ความว่า เหตุแห่งการหลุดพ้น. ข้อว่า อตฺถปฏิสํเวทิโน ความว่า รู้อรรถแห่งพระบาลี. ข้อว่า ธมฺมปฏิสํเวทิโน ความว่า รู้พระบาลี. ข้อว่า ปาโมชฺชํ ได้แก่ ปีติอย่างอ่อน. ข้อว่า ปิติ ความว่า ปีติอย่างรุนแรง อันเป็นเหตุแห่งอาการยินดี. ข้อว่า กาโย ความว่า นามกายย่อมสงบ. ข้อว่า สุขํ เวเทติ ความว่า ได้รับความสุข.
               ข้อว่า จิตฺตํ สมาธิยติ ความว่า จิตตั้งมั่นด้วยอรหัตตผลสมาธิ.
               ก็บุคคลนี้เมื่อฟังธรรมนั้นย่อมรู้ฌานวิปัสสนามรรค และผลในฐานที่มาแล้วและมาแล้ว. เมื่อเธอรู้อยู่อย่างนี้ ปีติย่อมเกิดขึ้น. เธอไม่ยอมให้ปีตินั้นลดถอยลงเสียในระหว่าง เป็นผู้ประกอบไปด้วยอุปจารกัมมัฏฐาน เจริญวิปัสสนา ย่อมบรรลุพระอรหัต.
               คำว่า จิตตั้งมั่นดังนี้ ท่านกล่าวหมายเอาพระอรหัตนั้น.
               แม้ในคำที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. นี้เป็นข้อที่แตกต่างกัน.
               ข้อว่า สมาธินิมิตฺตํ ความว่า บรรดาอารมณ์ ๓๘ สมาธิอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง ชื่อว่าสมาธินิมิต.
               ข้อว่า สุคหิตํ โหติ ความว่า เมื่อเธอเรียนเอากรรมฐานในสำนักอาจารย์ ก็ชื่อว่า เป็นอันเรียนอย่างดี.
               ข้อว่า สุมนสิกตํ ความว่า ทำไว้ในใจอย่างดี.
               ข้อว่า สุปธาริตํ ความว่า ทรงจำไว้ได้อย่างดี.
               ข้อว่า สุปฏิวิทฺธํ ปญฺญาย ความว่า ทำให้ประจักษ์ด้วยดีด้วยปัญญา.
               ข้อว่า ตสฺมึ ธมฺเม ความว่า ธรรมในพระบาลีว่าด้วยเรื่องกรรมฐานนั้น.
               ข้อว่า วิมุตฺติปริปาจนิยา ความว่า ความหลุดพ้น ท่านเรียกว่าอรหัต คุณธรรมเหล่าใดย่อมอบรมพระอรหัตต์นั้น เพราะเหตุนั้น คุณธรรมนั้นจึงชื่อว่า วิมุตติปริปาจนิยา.
               บทว่า อนิจฺจสญฺญา ความว่า สัญญาซึ่งเกิดขึ้นในอนิจจานุปัสสนาญาณ.
               ข้อว่า อนิจฺเจ ทุกฺขสญฺญา ความว่า สัญญาซึ่งเกิดขึ้นในทุกขานุปัสสนาญาณ.
               ข้อว่า ทุกฺเข อนตฺตสญฺญา ความว่า สัญญาซึ่งเกิดขึ้นในอนัตตานุปัสสนาญาณ.
               ข้อว่า ปหานสญฺญา ความว่า สัญญาซึ่งเกิดขึ้นในปหานานุปัสสนาญาณ.
               ข้อว่า วิราคสญฺญา ความว่า สัญญาซึ่งเกิดขึ้นในวิราคานุปัสสนาญาณ.
               คำเป็นต้นว่า อิเม โข อาวุโส พึงประกอบเข้ากับนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ.
               พระเถระเมื่อกล่าวปัญหา ๑๓๐ ด้วยสามารถแห่งปัญจกะ ๒๖ ชื่อว่าแสดงสามัคคีรสแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
               จบธรรมหมวด ๕               

.. อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สังคีติสูตร
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘]
อ่านอรรถกถา 11 / 1อ่านอรรถกถา 11 / 207อรรถกถา เล่มที่ 11 ข้อ 221อ่านอรรถกถา 11 / 364อ่านอรรถกถา 11 / 364
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=11&A=4501&Z=7015
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=6&A=4096
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=6&A=4096
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๖  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :