ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 12 / 1อ่านอรรถกถา 12 / 234อรรถกถา เล่มที่ 12 ข้อ 243อ่านอรรถกถา 12 / 251อ่านอรรถกถา 12 / 557
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สีหนาทวรรค
มธุปิณฑิกสูตร ว่าด้วยธรรมบรรยายที่ไพเราะ

               อรรถกถามธุปิณฑิกสูตร               
               มธุปิณฑิกสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ :-
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหาวนํ ได้แก่ ป่าที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีใครปลูก ต่อเนื่องเป็นอันเดียวกันกับป่าหิมพานต์ ไม่เหมือนป่าเกี่ยวกับป่าที่ปลูกแล้ว และยังไม่ได้ปลูกในเมืองเวสาลี.
               บทว่า ทิวาวิหาราย ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่การทรงพักผ่อนในเวลากลางวัน.
               บทว่า เวลุวลฏฺฐิกาย ได้แก่ ต้นมะตูมหนุ่ม.
               บทว่า ทณฺฑปาณิ คือ ทรงถือไม้เท้าเพราะความเป็นผู้ทุรพลด้วยชราก็หาไม่. เพราะทัณฑปาณิศากยะนี้ ยังเป็นหนุ่มเทียว ดำรงอยู่ในปฐมวัย แต่ทรงถือไม้เท้าทองคำ เพราะความที่มีจิตในไม้เท้าเที่ยวไป เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ทัณฑปาณิ.
               บทว่า ชงฺฆาวิหารํ ได้แก่ เดินเล่นเพื่อบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยของแข้ง.
               บทว่า อนุจงฺกมมาโน คือ กำลังเสด็จเที่ยวข้างโน้นและข้างนี้ เพื่อประโยชน์แก่การทรงชมสวน ชมป่าและชมภูเขาเป็นต้น. ได้ยินว่า ทัณฑปาณิศากยะนั้น เมื่อจะเสด็จออกไป ก็เสด็จออกในบางเวลาเท่านั้น เที่ยวไป.
               บทว่า ทณฺฑโมลุพฺภา ความว่า ทรงยันไม้เท้า คือวางไม้เท้าข้างหน้า เหมือนเด็กเลี้ยงโค วางพระหัตถ์ทั้งสองไว้บนปลายไม้เท้า ทรงแนบหลังพระฝ่าพระหัตถ์ ไว้กับพระหนุแล้ว ประทับยืน ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.
               บทว่า กึวาที ได้แก่ ทรงมีความเห็นอย่างไร.
               บทว่า กิมกฺขายิ คือ ตรัสบอกอย่างไร. พระราชานี้ไม่ทรงไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำสักว่า ปฏิสันถารเท่านั้น แล้วทูลถามปัญหา แต่ก็ทูลถามโดยความจำใจ เพราะความที่ไม่ประสงค์จะรู้.
               นัยว่า พระราชานี้ทรงเป็นพวกของพระเทวทัต เพราะเหตุไร. เพราะพระเทวทัตแตกในพระตถาคตผู้เสด็จมาสู่สำนักของพระองค์.
               ได้ยินว่า พระเทวทัตนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมมีเวรกับตระกูลพวกเรา ไม่หวังความเจริญแก่ตระกูลพวกเรา แม้พระภคินีของเรา สมควรเสวยสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ พระนางละสมบัตินั้นย่อมเสื่อมเสีย เพราะฉะนั้น สมณโคดมจึงเสด็จออกทรงผนวชทรงรู้ว่า แม้พระภาคิไนยของเราจักเป็นหน่อพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ไม่ทรงยินดีกับความเจริญของตระกูลพวกเรา ทรงคิดว่านั้นย่อมเสื่อมเสีย จึงทรงยังให้พระภาคิไนยแม้นั้นให้บรรพชาในเวลายังเป็นเด็กนั้นเทียว ส่วนเราเว้นจากภาคิไนยนั่น ก็ไม่อาจจะเป็นไป จึงได้ออกบวชตาม ตั้งแต่วันบวช ก็ไม่ทรงมองดูเราแม้ผู้บวชอย่างนี้ ด้วยดวงพระเนตรตรงๆ และแม้เมื่อตรัสในท่ามกลางบริษัท ก็เหมือนประหารด้วยคำเท็จมากหลาย เช่นตรัสว่า เทวทัตเป็นสัตว์อบายดังนี้เป็นต้น.
               พระราชาแม้นี้ถูกพระเทวทัตยุยงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงทรงกระทำดังนั้น.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสคำที่สมควรแก่พระราชานั้น ด้วยพระดำริว่า เราจักตรัสบอกแก่พระราชานั้นโดยประการที่พระราชานี้ไม่อาจเพื่อจะตรัสว่า พระสมณโคดมจะไม่ตรัสบอกปัญหาที่เราทูลถามและโดยประการที่ไม่รู้เนื้อความแห่งภาษิต จึงตรัสว่า ยถาวาที โข เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น เกนจิ โลเก วิคฺคยฺห ติฏฺฐติ ความว่า ไม่ทำคำโต้เถียง คือไม่ทะเลาะกันกับผู้ใดผู้หนึ่งในโลก.
               จริงอยู่ พระตถาคตย่อมไม่ทรงทะเลาะกับชาวโลก แต่ชาวโลก ครั้นตรัสว่าไม่เที่ยง ก็กล่าวว่าเที่ยง เมื่อตรัสว่าทุกข์ อนัตตา ไม่งาม ก็กล่าวว่างาม ชื่อว่าทะเลาะกับพระตถาคต ดังนี้.
               ด้วยเหตุนั้นเทียว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่ทะเลาะกับชาวโลก แต่ชาวโลกทะเลาะกับเรา ธรรมวาทีย่อมไม่ทะเลาะกับใครๆ เช่นกัน แต่อธรรมวาทีย่อมทะเลาะ ดังนี้.
               บทว่า ยถา ได้แก่ โดยการณ์ใด. บทว่า กาเมหิ คือ วัตถุกามบ้าง กิเลสกามบ้าง.
               บทว่า ตํ พฺราหฺมณํ ได้แก่ พราหมณ์ผู้ขีณาสพนั้น. บทว่า อกถํกถึ ได้แก่ ปราศจากความสงสัย.
               บทว่า ฉินฺนกุกฺกุจฺจํ คือ ชื่อว่าตัดความคะนองได้แล้ว เพราะความที่ความคะนองเกี่ยวกับความเดือดร้อน และความคะนองมือและเท้าตัดขาดแล้ว.
               บทว่า ภวาภเว ได้แก่ ในภพแล้วภพอีก หรือภพเลวประณีต. จริงอยู่ ภพอันประณีตถึงแล้วซึ่งความเจริญเรียกว่า อภพ.
               บทว่า สญฺญา ได้แก่ กิเลสสัญญา.
               กิเลสทั้งหลายนั้นเทียว ท่านกล่าวแล้วโดยชื่อว่าสัญญาในที่นี้ เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายในบทนี้อย่างนี้ว่า กิเลสสัญญาทั้งหลายจะไม่ครอบงำพราหมณ์ผู้อยู่ปราศจากกามทั้งหลายนั้น ผู้มีปกติกล่าวความดับจากโลกทั้งหลายโดยการณ์ใด และเราย่อมกล่าวการณ์นั้น ดังนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความที่พระองค์เป็นพระขีณาสพด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า นิลฺลาเฬตฺวา คือ นำลิ้นออกเล่น. บทว่า ติวิสาขํ ได้แก่ ๓ รอย.
               บทว่า นลาฏิกํ ความว่า หน้าผากย่น ทรงแสดงรอยย่น ๓ สายในหน้าผากทำหน้าผากย่น. บทว่า ทณฺฑโมลุพฺภา ได้แก่ ยันไม้เท้า.
               บทว่า ทณฺฑมาลุพฺภ ดังนี้ก็มี อธิบายว่า ถือแล้วหลีกไป.
               บทว่า อญฺญตโร ได้แก่ ภิกษุรูปหนึ่งไม่ปรากฏชื่อ.
               ได้ยินว่า ภิกษุนั้นฉลาดในการเชื่อมเนื้อเรื่อง ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เจ้าทัณฑปาณิไม่ทรงรู้โดยประการใด เราจะแสดงโดยประการนั้น จึงถืออนุสนธิว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปัญหาที่ไม่พึงรู้ว่าเป็นอย่างไรหนอแล จึงทูลขอพระทศพลด้วยคิดว่า เราจักทำปัญหานี้ให้ปรากฏแก่พระภิกษุสงฆ์ ลุกจากอาสนะทำอุตตรสงค์เฉวียงบ่า ประคองอัญชลีที่รุ่งเรืองด้วยนิ้วทั้งสิบ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้ามีปกติตรัสอย่างไรเป็นต้น.
               บทว่า ยโตนิทานํ นั้นเป็นภาวนปุงสกลิงค์. อธิบายว่า ครั้นเมื่อการณ์ใดมีอยู่ด้วยการณ์ใด.
               บทว่า สงฺขา ในบทว่า ปปญฺจสญฺญาสงฺขา นั้น ได้แก่ส่วน.
               บทว่า ปปญฺจสญฺญา ได้แก่ สัญญาอันประกอบด้วยเครื่องเนิ่นช้า คือตัณหา มานะและทิฏฐิ. อนึ่ง เครื่องเนิ่นช้านั้นเทียว ตรัสด้วยชื่อว่า สัญญา เพราะฉะนั้น ในบทนี้จึงมีอธิบายอย่างนี้ว่า ส่วนแห่งเครื่องเนิ่นช้า.
               บทว่า สมุทาจรนฺติ คือ ย่อมเป็นไป.
               บทว่า เอตฺถ เจ นตฺถิ อภินนฺทิตพฺพํ ความว่า ครั้นการณ์กล่าวคืออายตนะสิบสองใดมีอยู่ ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้าย่อมครอบงำ ถ้าแม้อายตนะหนึ่งอันบุคคลพึงเพลิดเพลิน พึงยึดถือ พึงกล้ำกลืน ไม่มีในการณ์นั้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภินนฺทิตพฺพํ ความว่า พึงเพลิดเพลินว่าเรา ของเรา.
               บทว่า อภิวทิตพฺพํ ได้แก่ พึงกล่าวว่า เรา ของเรา.
               บทว่า อชฺโฌสิตพฺพํ ได้แก่ ประกอบการที่กล้ำกลืน กลืนแล้ว ให้จบสิ้นแล้ว พึงถือเอา. ทรงแสดงความไม่เป็นไปแห่งตัณหาเป็นต้น นั้นเที่ยวในที่นี้ ด้วยบทนั้น.
               บทว่า เอเสวนฺโต คือ ความที่การเพลิดเพลินเป็นต้นไม่มีนี้เทียว เป็นที่สุดแห่งอนุสัยทั้งหลายมีราคานุสัยเป็นต้น. ในบททั้งปวงก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               ก็ในทัณฑาทานเป็นต้น บุคคลจับท่อนไม้ด้วยเจตนาใด เจตนานั้นชื่อว่า ทณฺฑาทานํ แปลว่า การจับท่อนไม้ บุคคลจับศาสตราด้วยเจตนาใด เจตนานั้นชื่อว่า สตฺถาทานํ แปลว่า เจตนาถือศาสตรา การถือผิด การทะเลาะอันถึงที่สุด การโต้เถียงอันถึงการถือต่างๆ การวิวาทอันถึงวาทะต่างๆ.
               บทว่า ตุวํ ตุวํ ได้แก่ แม้วาจาว่า มึง มึง อันเป็นไปแล้วอย่างนี้. การทำความส่อเสียด ชื่อว่า เปสุญฺญํ แปลว่า การส่อเสียด. วาจาที่กระทำการพูดเท็จที่มีสภาวะไม่เป็นความจริงนั้น พึงทราบว่า มุสาวาท.
               บทว่า เอตฺเถเต ความว่า อกุศลธรรมอันลามกเหล่านี้ในเพราะอายตนะสิบสองนั้น.
               จริงอยู่ กิเลสทั้งหลายแม้เมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมเกิดเพราะอาศัยอายตนะสิบสอง แม้เมื่อจะดับก็ย่อมดับในเพราะอายตนะสิบสองเช่นเดียวกัน. กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นในที่ใดก็ย่อมดับในที่นั้นด้วยประการฉะนี้.
               เนื้อความนี้นั้นพึงแสดงด้วยสมุทยสัจจปัญหา.
               จริงอยู่ ท่านกล่าวว่า ก็ตัณหานี้นั้นแล เมื่อเกิดย่อมเกิดในที่ไหน เมื่อดับย่อมดับในที่ไหน ดังนี้แล้ว จึงกล่าวความเกิดขึ้นและความดับแห่งตัณหานั้นในเพราะอายตนะสิบสอง โดยนัยมีอาทิว่าปียรูป สาตรูปในโลกใด ตัณหานั่นเมื่อเกิด ย่อมเกิดในปียรูป สาตรูปนั้น เมื่อดับย่อมดับในปิยรูป สาตรูปนั้น
               ปิยรูป สาตรูป ในโลกคืออะไร
               คือ จักษุเป็นปิยรูป สาตรูปในโลก ดังนี้ ตัณหาเกิดขึ้นแล้วในอายตนะสิบสอง อาศัยนิพพานก็ดับไป แต่เพราะไม่มีความครอบงำในอายตนะทั้งหลาย ท่านกล่าวว่า ดับแล้วในเพราะอายตนะทั้งหลายนั้นเทียวฉันใด อกุศลธรรมอันลามกแม้เหล่านี้ พึงทราบว่าย่อมดับในเพราะอายตนะทั้งหลายฉันนั้น
               อนึ่ง ความไม่มีแห่งความเพลิดเพลินเป็นต้นนี้ใด ท่านกล่าวว่าเป็นที่สุดแห่งอนุสัยทั้งหลายมีราคานุสัยเป็นต้น อกุศลธรรมอันลามกทั้งหลายย่อมดับโดยไม่เหลือในนิพพานอันมีโวหารที่ได้แล้วว่า เอตฺเถเต ราคานุสยาทีนํ อนุโต ก็สิ่งใดไม่มีในนิพพานใด สิ่งนั้นเป็นอันชื่อว่าดับแล้วในนิพพานนั้น.
               เนื้อความนี้นั้น พึงแสดงด้วยนิโรธปัญหา.
               สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวแล้วเป็นอาทิว่า วิตกวิจาร วจีสังขารของภิกษุนั้นผู้เข้าถึงทุติยฌาน ย่อมสงบระงับ.
               บทว่า สตฺถุเจว สํวณฺณิโต คือ ผู้อันพระศาสดาเทียว ทรงสรรเสริญแล้ว.
               แม้คำนี้ว่า วิญฺญูนํ เป็นสัตตมีวิภัตติ์ลงในอรรถตติยวิภัตติ์. อธิบายว่า ผู้อันสพรหมจารีทั้งหลายผู้บัณฑิตสรรเสริญแล้ว.
               บทว่า ปโหติ คือ ย่อมอาจ.
               บทว่า อติกฺกมฺเมว มูลํ อติกฺกมฺม ขนฺธํ ความว่า ธรรมดาแก่นไม้พึงมีในลำต้นหรือโคนต้น ล่วงเลยโคนต้นและลำต้นแม้นั้น.
               บทว่า เอวํ สมฺปทํ ความว่า ข้ออุปไมยนี้ก็ฉันนั้น. อธิบายว่า เป็นเช่นนี้.
               บทว่า อติสิตฺวา ได้แก่ ก้าวล่วงแล้ว.
               บทว่า ชานํ ชานาติ ได้แก่ รู้สิ่งที่พึงรู้นั้นเทียว.
               บทว่า ปสฺสํ ปสฺสติ ได้แก่ เห็นสิ่งที่ควรเห็นนั้นเทียว.
               อนึ่ง บุคคลบางคนถือความวิปริต แม้เมื่อรู้ก็ว่าไม่รู้ แม้เมื่อเห็นก็ว่าไม่เห็นฉันใด ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เช่นนั้น เมื่อทรงรู้ก็ว่ารู้ เมื่อทรงเห็นก็ว่าเห็นอย่างเดียว.
               พระผู้มีพระภาคเจ้านี้นั้นชื่อว่าเป็นผู้มีพระจักษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้นำในทัสสนะ ชื่อว่าเป็นผู้มีพระญาณ เพราะอรรถว่ากระทำสิ่งที่ทรงรู้แล้ว ชื่อว่ามีธรรม เพราะอรรถว่ามีสภาวะอันไม่วิปริต หรือเพราะทรงมีพระธรรมวินัยที่ทรงคิดด้วยพระหฤทัย ทรงเปล่งด้วยพระวาจาเพราะเป็นไปในปริยัติธรรม ชื่อว่าเป็นพรหม เพราะอรรถว่าประเสริฐที่สุด.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าเป็นผู้มีพระจักษุ เพราะเป็นผู้มีดุจจักษุ.
               แม้ในบทเหล่านั้นก็มีเนื้อความอย่างนี้
               พระผู้มีพระภาคเจ้านี้นั้นเป็นผู้เผยแผ่ เพราะทรงเผยแผ่พระธรรม เป็นผู้ประกาศ เพราะทรงประกาศพระธรรม เป็นผู้ขยายเนื้อความ เพราะความที่พระองค์ทรงสามารถในการนำแล้วนำอีกซึ่งเนื้อความมาทรงแสดง เป็นผู้ให้อมตธรรม เพราะพระองค์ทรงบรรลุอมตธรรมแล้วทรงให้ปฏิบัติ.
               บทว่า อครุกริตฺวา มีอธิบายว่า ก็พระมหากัจจานะ เมื่อถูกร้องขอบ่อยๆ ชื่อว่า ทำความหนักใจ แม้ดำรงอยู่ในสาวกบารมีญาณของตนแสดงทำให้รู้ได้ยาก ดุจขนทรายจากเชิงเขาพระสิเนรุ ชื่อว่าความหนักใจเหมือนกัน ขอท่านอย่าทำอย่างนั้น โปรดให้พวกกระผมร้องขอบ่อยๆ แล้วแสดงธรรมให้แม้รู้ได้โดยง่ายแก่พวกกระผมเถิด.
               ในบทนี้ว่า ยํ โข โน อาวุโส พระมหากัจจานะควรกล่าวว่า ยํ โข โว แม้ก็จริง ถึงกระนั้นเมื่อจะสงเคราะห์ภิกษุเหล่านั้นพร้อมกับตน จึงกล่าวว่า ยํ โข โน ดังนี้.
               หรือเพราะอุทเทสได้แสดงแล้วแก่ภิกษุเหล่านั้น แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแสดงแก่พระเถระบ้าง แก่ภิกษุเหล่านั้นๆ บ้าง เพราะฉะนั้น ท่านหมายถึงบทนี้ว่า ภควา จึงกล่าวอย่างนั้น. อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเราทรงแสดงอุเทศโดยย่อใดแลแก่พวกท่าน ดังนี้.
               ในบทนี้ว่า จกฺขุญฺจาวุโส เป็นต้น มีอธิบายอย่างนี้ ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ธรรมดาจักษุวิญญาณย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยจักขุปสาทโดยความเป็นนิสสัย และรูปอันประกอบด้วยสมุฏฐาน ๔ อย่างโดยความเป็นอารมณ์.
               บทว่า ติญฺณํ สงฺคติ ผสฺโส ความว่า เพราะประชุมธรรม ๓ ประการนั้นจึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยด้วยอำนาจเกิดขึ้นพร้อมแล้วเป็นต้น เพราะอาศัยผัสสะนั้นจึงเกิดเวทนา และด้วยเวทนานั้น บุคคลเสวยอารมณ์อันใด สัญญาก็จำอารมณ์นั้น สัญญาจำอารมณ์ใด วิตกก็ตรึกถึงอารมณ์นั้นเทียว วิตกตรึกถึงอารมณ์ใด เครื่องเนิ่นช้าก็เนิ่นช้าถึงอารมณ์นั้นเทียว.
               บทว่า ตโตนิทานํ ได้แก่ เพราะการณ์มีจักขุรูปเป็นต้นนั้น.
               บทว่า ปุริสํ ปปญฺจสญฺญาสงฺขา สมุทาจรนฺติ ความว่า ส่วนแห่งเครื่องเนิ่นช้า ย่อมครอบงำบุรุษผู้ไม่รอบรู้การณ์นั้น. อธิบาย ย่อมเป็นไปแก่บุรุษนั้น. ในข้อนั้น ผัสสะ เวทนาและสัญญาเป็นอันเกิดขึ้นพร้อมด้วยจักขุวิญญาณ พึงเห็นวิตกในจิตที่มีวิตกมีในลำดับแห่งจักขุวิญญาณเป็นต้น.
               ถามว่า ส่วนแห่งเครื่องเนิ่นช้าเกิดพร้อมกับชวนะ ถ้าเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร จึงทำการถืออดีตและอนาคตเล่า.
               ตอบว่า เพราะเกิดขึ้นอย่างนั้น.
               เหมือนอย่างว่า เครื่องเนิ่นช้าอันเป็นไปทางจักขุทวารเกิดขึ้นแล้ว ในบัดนี้ เพราะอาศัยจักขุ รูป และสัมผัส เวทนา สัญญา วิตก ฉันใด ท่านพระมหากัจจานะเมื่อจะแสดงความเกิดขึ้นของเครื่องเนิ่นช้านั้นในรูปทั้งหลายอันพึงรู้ด้วยจักษุแม้ที่เป็นอดีตและอนาคต จึงกล่าวอย่างนั้นฉันนั้นเหมือนกัน.
               ในบทแม้เป็นต้นว่า โสตญฺจาวุโส มีนัยเช่นเดียวกัน.
               ก็พึงทราบวินิจฉัยในฉัฏฐทวาร บทว่า มนํ ได้แก่ ภวังคจิต.
               บทว่า ธมฺเม ได้แก่ ธรรมารมณ์อันเป็นไปในภูมิสาม.
               บทว่า มโนวิญฺญาณํ ได้แก่ อาวัชชนะหรือชวนะ. ครั้นอาวัชชนะถือแล้ว ผัสสะ เวทนา สัญญาและวิตก ย่อมเกิดพร้อมกับอาวัชชนะ เครื่องเนิ่นช้าเกิดพร้อมกับชวนะ ครั้นชวนะถือแล้ว ภวังคจิตซึ่งมีพร้อมกับอาวัชชนะ ชื่อว่าเป็นมโน แต่นั้นผัสสะเป็นต้นแม้ทั้งหมดก็เกิดพร้อมกับชวนะ ส่วนในมโนทวาร อารมณ์แม้ทั้งหมดอันต่างโดยเป็นอดีตเป็นต้นก็ย่อมมี เพราะฉะนั้น คำนี้ว่า เป็นที่อดีตอนาคตและปัจจุบัน เป็นอันเหมาะสมแล้ว.
               บัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงวัฏฏะ จึงปรารภเทศนาว่า โส วตาวุโส ดังนี้.
               บทว่า ผสฺสปญฺญตฺตึ ปญฺญเปสฺสติ ความว่า จักบัญญัติจะแสดงผัสสะบัญญัติอย่างนี้ว่า ธรรมอันหนึ่งชื่อว่าผัสสะย่อมเกิดขึ้น.
               ในบททั้งปวงก็มีในนี้.
               พระเถระครั้นแสดงวัฏฏะทั้งสิ้นด้วยอำนาจอายตนะสิบสองว่า ครั้นอายตนะนี้มี อายตนะนี้ก็มี ด้วยประการฉะนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงวิวัฏฏะด้วยอำนาจปฏิเสธอายตนะสิบสอง จึงปรารภเทศนาว่า โส วตาวุโส จกฺขุสฺมึ อสติ ดังนี้. พึงทราบอรรถโดยนัยที่กล่าวแล้วในบทนั้นนั้นเทียว.
               พระเถระครั้นวิสัชชนาปัญหาอย่างนี้แล้ว บัดนี้ จึงกล่าวส่งไปว่า ปัญหาอันสาวกกล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่าเป็นผู้สงสัย พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์นี้ทรงถือการเปรียบเทียบด้วยสัพพัญญุตญาณ ประทับนั่งแล้ว ท่านทั้งหลายเมื่อปรารถนาก็จงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ก็จะหมดความสงสัย ดังนี้ จึงกล่าวคำว่า อากงฺขมานา จ ปน ดังนี้เป็นต้น.
               บทว่า อิเมหิ อากาเรหิ ความว่า ด้วยเหตุเหล่านี้ คือด้วยการณ์ เฉพาะแห่งความเกิดขึ้นเอง เครื่องเนิ่นช้าและการณ์เกี่ยวกับวัฏฏและวิวัฏฏ.
               บทว่า อิเมหิ ปเทหิ คือ ด้วยประมวลอักขรเหล่านี้.
               บทว่า พฺยญฺชเนหิ ได้แก่ ด้วยอักขระเฉพาะอย่าง.
               บทว่า ปณฺฑิโต ความว่า ประกอบพร้อมด้วยความเป็นบัณฑิต หรือเป็นบัณฑิตด้วยเหตุ ๔ อย่าง คือฉลาดในธาตุ ฉลาดในอายตนะ ฉลาดในปัจจยาการ ฉลาดในการณ์ และอการณ์.
               บทว่า มหาปญฺโญ ความว่า ถึงพร้อมด้วยปัญญามาก ซึ่งสามารถที่จะกำหนดอรรถะมาก ธรรมมาก นิรุติมาก ปฏิภาณมาก.
               บทว่า ยถา ตํ มหากจฺจาเนน ความว่า กัจจานะพยากรณ์โดยประการใด ทรงหมายถึงพยากรณ์นั้น จึงตรัสว่า ตํ. ความว่า พยากรณ์นั้นมหากัจจานะพยากรณ์แล้วโดยประการใด แม้เราก็พยากรณ์อย่างนั้นเหมือนกัน.
               บทว่า มธุปิณฺฑิกํ ได้แก่ ขนมหวานมาก หรือขนมสัตตุที่ปรุงแล้ว.
               บทว่า อเสจนกํ ได้แก่ อันพึงชื่นชูใจ คือรสที่ปรุงดี ซึ่งไม่ควรกล่าวว่า ในบรรดาเนยใส น้ำอ้อย น้ำผึ้งและน้ำตาลเป็นต้น ชื่อนี้น้อย สิ่งนี้มาก.
               บทว่า เจตโส ได้แก่ ผู้มีชาตินักคิด.
               บทว่า ทพฺพชาติโก คือ มีสภาพเป็นบัณฑิต.
               พระเถระเป็นผู้หนักในเหตุผลอย่างยิ่ง จึงคิดว่า นี้เป็นธรรมปริยาย เราจักทูลให้ทรงตั้งชื่อธรรมปริยายนั้น ด้วยสัพพัญญุตญาณของพระทศพลนั้นเทียว จึงทูลคำนี้ว่า ธรรมปริยายนี้ชื่ออะไร.
               บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะธรรมปริยายอ่อนหวาน เหมือนขนมหวาน เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เธอจงทรงจำธรรมปริยายนี้ว่า มธุปิณฑิกปริยาย ดังนี้ เถิด.
               คำที่เหลือในบททั้งปวงมีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.

               จบอรรถกถามธุปิณฑิกสูตรที่ ๘               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สีหนาทวรรค มธุปิณฑิกสูตร ว่าด้วยธรรมบรรยายที่ไพเราะ จบ.
อ่านอรรถกถา 12 / 1อ่านอรรถกถา 12 / 234อรรถกถา เล่มที่ 12 ข้อ 243อ่านอรรถกถา 12 / 251อ่านอรรถกถา 12 / 557
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=12&A=3752&Z=3952
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=7&A=10149
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=7&A=10149
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๒  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :