ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 13 / 1อ่านอรรถกถา 13 / 125อรรถกถา เล่มที่ 13 ข้อ 133อ่านอรรถกถา 13 / 147อ่านอรรถกถา 13 / 734
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภิกขุวรรค
มหาราหุโลวาทสูตร เรื่องพระราหุล

               ๒. อรรถกถามหาราหุโลวาทสูตร               
               มหาราหุโลวาทสูตรมีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
               ในบทเหล่านั้นบทว่า ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต อนุพนฺธิ พระราหุลได้ตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไป ณ เบื้องพระปฤษฎางค์. ความว่า พระราหุลไม่ละสายตาตามไปเบื้องพระปฤษฎางค์ไม่ขาดระยะด้วยการตามไปทุกอิริยาบถ.
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงย่างพระบาทไปข้างหน้าด้วยความงดงาม. พระราหุลเถระเดินตามเสด็จพระทศพลไป ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปท่ามกลางป่าไม้สาละมีดอกบานสะพรั่ง ทรงรุ่งเรืองดุจช้างตัวประเสริฐตกมันออกไปเพื่อหยั่งลงสู่สมรภูมิ พระราหุลภัททะรุ่งเรืองดุจลูกช้างตามไปข้างหลังช้างตัวประเสริฐ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรุ่งเรืองดุจไกรสรสีหราชออกจากถ้ำแก้วไปแสวงหาอาหารในเวลาเย็น พระราหุลภัททะรุ่งเรืองดุจลูกสีหะออกติดตามสีหมฤคราช. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจพญาเสือโคร่งมีกำลังที่เขี้ยวออกจากไพรสัณฑ์มณีบรรพตอันมีสง่า พระราหุลภัททะดุจลูกพญาเสือโคร่งติดตามพญาเสือโคร่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจพญาครุฑออกจากสระสิมพลี. พระราหุลภัททะดุจลูกพญาครุฑตามไปข้างหลังพญาครุฑ. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจพญาหงส์ทองบินร่อนไปบนท้องฟ้าจากภูเขาจิตตกูฎ พระราหุลภัททะดุจลูกหงส์บินร่อนตามพญาหงส์. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจมหานาวาทองเคลื่อนลงสู่สระใหญ่ พระราหุลภัททะดุจเรือลำเล็กผูกติดข้างหลังแล่นตามเรือทอง. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จไปบนท้องฟ้าด้วยอานุภาพจักรแก้ว พระราหุลภัททะดุจปริณายกแก้วติดตามพระเจ้าจักรพรรดิ. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจดวงดาวลอยบนท้องฟ้าซึ่งปราศจากฝน พระราหุลภัททะดุจดาวประกายพรึกบริสุทธิ์ลอยไปตามดาวอธิบดี. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระราหุลภัททะก็ทรงอุบัติในราชวงศ์โอกกากราชสืบเชื้อพระวงศ์จากพระเจ้ามหาสมมต. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระราหุลภัททะก็ทรงอุบัติในตระกูลกษัตริย์มีพระชาติบริสุทธิ์ เช่นกับน้ำนมที่ใส่ไว้ในสังข์. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระราหุลภัททะก็ทรงสละราชสมบัติออกทรงผนวช. พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าประดับด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ แม้ของพระราหุลภัททะก็เป็นที่น่ารักอย่างยิ่ง ดุจซุ้มประตูแก้วอันตั้งขึ้นในเทพนครและดุจดอกไม้สวรรค์บานแผ่ไปในที่ทั้งปวง.
               ด้วยประการฉะนี้ แม้ทั้งสองพระองค์สมบูรณ์ด้วยอภินีหาร เป็นราชบรรพชิตเป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ มีพระฉวีดุจทองคำสมบูรณ์ด้วยลักษณะ เสด็จดำเนินไปทางเดียวกัน รุ่งเรืองดุจครอบงำสิริแห่งสิริของจันทมณฑลทั้งสอง สุริยมณฑลทั้งสอง ท้าวสักกะ ท้าวสุยามะ ท้าวสันตุสิตะ ปรนิมมิตวสวัตดี และมหาพรหมเป็นต้นทั้งสองซึ่งไปตามลำดับ.
               ในขณะนั้น ท่านพระราหุลเสด็จไป ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแลดูพระตถาคตตั้งแต่พื้นพระบาทจนถึงปลายพระเกสา. ท่านพระราหุลนั้นทอดพระเนตรเห็นความงดงามของเพศพระพุทธเจ้าของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระสรีระวิจิตรด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการงดงาม ได้เป็นดุจเสด็จไปท่ามกลางผงทองคำอันกระจัดกระจาย เพราะแวดล้อมด้วยพระรัศมีวาหนึ่ง ดุจกนกบรรพตอันแวดล้อมด้วยสายฟ้า ดุจทองคำมีค่าวิจิตรด้วยรัตนะอันฉุดคร่าด้วยยนต์ แม้ทรงห่มคลุมด้วยผ้าบังสุกุลจีวรสีแดง ก็ทรงงามดุจภูเขาทองอันปกคลุมด้วยผ้ากัมพลแดง ดุจทองคำมีค่าประดับด้วยสายแก้วประพาฬ ดุจเจดีย์ทองคำที่เขาบูชาด้วยผงชาด ดุจเสาทองฉาบด้วยน้ำครั่ง ดุจดวงจันทร์วันเพ็ญโผล่ขึ้นในขณะนั้นไปในระหว่างฝนสีแดง. สิริสมบัติของอัตภาพที่ได้เตรียมไว้ด้วยอานุภาพแห่งสมติงสบารมี.
               จากนั้นพระราหุลเถระก็ตรวจดูตนบ้าง ทรงดำริว่า แม้เราก็งาม หากพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงครองความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมหาทวีปทั้ง ๔ ได้ทรงประทานตำแหน่งปริณายกแก่เรา เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาคพื้นชมพูทวีปจักงามยิ่งนัก จึงเกิดฉันทราคะอันอาศัยเรือนเพราะอาศัยอัตภาพ.
               แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินไปเบื้องหน้าก็ทรงดำริว่า บัดนี้ ราหุลมีร่างกายสมบูรณ์ด้วยผิวเนื้อและโลหิตแล้ว. เป็นเวลาที่จิตฟุ้งซ่านไปในรูปารมณ์เป็นต้นอันน่ากำหนัด. ราหุลยังกาลให้ล่วงไปเพราะเป็นผู้มักมากหรือหนอ. ครั้นแล้วพร้อมกับทรงคำนึงได้ทรงเห็นจิตตุปบาทของราหุลนั้น ดุจเห็นปลาในน้ำใสและดุจเห็นเงาหน้าในพื้นกระจกอันบริสุทธิ์.
               ก็ครั้นทรงเห็นแล้วได้ทรงทำพระอัธยาศัยว่า ราหุลนี้เป็นโอรสของเรา เดินตามหลังเรา มาเกิดฉันทราคะอันอาศัยเรือน เพราะอาศัยอัตภาพว่า เรางาม ผิวพรรณของเราผ่องใส. ราหุลแล่นไปในที่มิใช่น่าดำเนิน ไปนอกทาง เที่ยวไปในอโคจร ไปยังทิศที่ไม่ควรไปดุจคนเดินทางหลงทิศ.
               อนึ่ง กิเลสของราหุลนี้เติบโตขึ้นในภายในย่อมไม่เห็นแม้ประโยชน์ตน แม้ประโยชน์ผู้อื่น แม้ประโยชน์ทั้งสองตามความเป็นจริง. จากนั้นจักถือปฏิสนธิในนรกบ้าง ในกำเนิดเดียรัจฉานบ้าง ในปิตติวิสัยบ้าง ในครรภ์มารดาอันคับแคบบ้าง เพราะเหตุนั้นจักตกไปในสังสารวัฏอันไม่รู้เบื้องต้นที่สุด.เพราะ
                         ความโลภนี้ยังความพินาศให้เกิด ความโลภยังจิต
                         ให้กำเริบ ภัยเกิดแต่ภายใน ชนย่อมไม่รู้สึกถึงภัย
                         นั้น คนโลภย่อมไม่รู้อรรถ คนโลภย่อมไม่เห็นธรรม
                         ความมืดตื้อย่อมมีในกาลที่ความโลภครอบงำคน.
               เราไม่ควรเพิกเฉยราหุลนี้เหมือนอย่างเรือลำใหญ่เต็มไปด้วยรัตนะมากมายบรรจุน้ำไปในระหว่างกระดานแตก นายเรือไม่ควรเพิกเฉยแม้เพียงครู่เดียว ฉะนั้น เราจักข่มราหุลนั้นตราบเท่าที่กิเลสนี้ยังไม่ทำให้ศีลรัตนะเป็นต้นในภายในของราหุลนั้นพินาศไปเสียก่อน. ในฐานะเห็นปานนี้ เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงเหลียวดูดุจพญาช้าง เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงประทับยืนหมุนพระวรกายทั้งสิ้น ดุจปฏิมาทองหมุนกลับตรัสเรียกพระราหุลภัททะ.
               พระอานนทเถระหมายถึงพระราหุลภัททะนั้นจึงกล่าวคำมีอาทิว่า อถ โข ภควา อวโลเกตฺวา ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงผินพระพักตร์ ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้นบทมีอาทิว่า ยํ กิญฺจิ รูปํ รูปอย่างใดอย่างหนึ่งพิสดารแล้วในขันธนิเทศในวิสุทธิมรรคโดยอาการทั้งปวง.
               บทมีอาทิว่า เนตํ มม นั่นไม่ใช่ของเรา ท่านกล่าวไว้แล้วในมหาหัตถิปโทปมสูตร.
               เพราะเหตุไร พระราหุลจึงทูลถามว่า รูปเมว นุโข ภควา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า รูปเท่านั้นหรือพระเจ้าข้า. นัยว่าพระราหุลนั้นเกิดนัยขึ้นเพราะสดับว่า รูปทั้งปวงนั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอพึงเห็นรูปทั้งปวงอย่างนี้ด้วยวิปัสสนาปัญญา ในเวทนาเป็นต้นจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ. เพราะฉะนั้น พระราหุลตั้งอยู่ในนัยนั้นจึงทูลถาม.
               จริงอยู่ ท่านพระราหุลนี้เป็นผู้ฉลาดในนัย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าสิ่งนี้ไม่ควรทำ ย่อมแทงตลอดแม้ตั้งร้อยนัยพันนัยว่า สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ. แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สิ่งนี้ควรทำก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               จริงอยู่ ท่านพระราหุลนี้เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา เกลี่ยทรายประมาณบาตรหนึ่งในบริเวณพระคันธกุฎีแต่เช้าตรู่ด้วยคิดว่า วันนี้เราจะได้รับโอวาทประมาณเท่านี้ ได้การตักเตือนประมาณเท่านี้จากสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากสำนักของพระอุปัชฌาย์.
               แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงตั้งพระราหุลไว้ในเอตทัคคะ จึงทรงตั้งให้เป็นผู้เลิศในการศึกษาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้ใคร่ต่อการศึกษา ราหุลเป็นผู้เลิศของภิกษุเหล่านั้น.
               แม้ท่านพระราหุลนั้นก็ได้บันลือสีหนาท ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์อย่างนั้นเหมือนกันว่า
                         พระธรรมราชาผู้เป็นพระชนกของเรา ทรงตั้ง
                         เราไว้ในเอตทัคคะเฉพาะหน้าภิกษุสงฆ์ เพื่อ
                         ความรู้ยิ่งสิ่งทั้งปวงนี้.
                         พระธรรมราชาทรงยกย่องเราว่าเป็นผู้เลิศของ
                         ภิกษุทั้งหลายผู้ใคร่การศึกษา และของภิกษุทั้ง
                         หลายผู้บวชด้วยศรัทธา.
                         พระธรรมราชาผู้ประเสริฐ ผู้เป็นพระสหาย เป็น
                         พระชนกของเรา และพระสารีบุตรผู้รักษาธรรม
                         ผู้มีความอิ่มใจเป็นพระอุปัชฌาย์ของเรา ทั้งหมด
                         เป็นคำสอนของพระชินเจ้า.
               ลำดับนั้น เพราะไม่พึงเห็นแต่รูปอย่างเดียวเท่านั้น แม้เวทนาเป็นต้นก็พึงเห็นอย่างนั้น ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสแก่พระราหุลว่า รูปํปิ ราหุล เป็นอาทิ.
               บทว่า โกนุชฺช ตัดบทว่า โก นุ อชฺช วันนี้ใครหนอ.
               นัยว่า พระเถระได้มีปริวิตกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรามิได้ตรัสกถาโดยปริยายว่า ชื่อว่าสมณะพึงรู้ฉันทราคะอาศัยอัตภาพแล้วไม่พึงตรึกถึงวิตกเห็นปานนี้. มิได้ทรงส่งทูตไปว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจงไป จงบอกราหุลว่า ท่านอย่าตรึกถึงวิตกเห็นปานนี้อีกเลย ตั้งเราไว้เฉพาะหน้าแล้วทรงประทานสุคโตวาทเฉพาะหน้า ดุจจับโจรพร้อมด้วยภัณฑะที่จุก. ชื่อว่าสุคโตวาทหาได้ยากโดยอสงไขยกัป. ใครหนอเป็นผู้มีชาติแห่งบัณฑิต วิญญูชนได้รับโอวาทเฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าเห็นปานนี้แล้ว วันนี้จักเข้าไปยังบ้านเพื่อบิณฑบาต.
               ลำดับนั้น ท่านพระราหุลสละอาหารกิจและกลับจากที่อันผู้อยู่ ณ ที่นั่ง ได้รับโอวาทแล้ว นั่ง ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงเห็นท่านพระราหุลกลับ ก็มิได้ตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนราหุล เป็นเวลาภิกขาจารของเรา เธออย่ากลับเลย.
               เพราะเหตุไร. นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นได้มีพระดำริว่า วันนี้ ราหุลจงบริโภคอมตโภชนะคือกายคตาสติก่อน.
               บทว่า อทฺทสา โข อายสฺมา สารีปุตฺโต ท่านพระสารีบุตรได้เห็นแล้วแล คือเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปแล้ว ท่านพระสารีบุตรไปภายหลังได้เห็นแล้ว.
               ได้ยินว่า เมื่อท่านพระสารีบุตรอยู่รูปเดียวก็มีวัตรอย่างหนึ่ง. เมื่ออยู่กับพระผู้มีพระภาคเจ้าก็มีวัตรอย่างหนึ่ง. ในกาลใดพระอัครสาวกทั้งสองอยู่ตามลำพัง. ในกาลนั้นท่านทั้งสองกวาดเสนาสนะแต่เช้าตรู่ชำระร่างกาย นั่งเข้าสมาบัติ แล้วไปภิกษาจารตามความชอบใจของตนๆ.
               อนึ่ง พระเถระทั้งสอง เมื่ออยู่กับพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทำอย่างนั้น. ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จไปภิกษาจารก่อน. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปแล้ว พระเถระออกจากเสนาสนะของตน ดำริว่า ในที่ที่ภิกษุอยู่กันมากๆ ภิกษุทั้งหมดสามารถจะทำให้เลื่อมใส หรือไม่สามารถ จึงไปในที่นั้นๆ แล้วกวาดที่ที่ยังมิได้กวาด.
               หากว่า หยากเยื่อยังไม่ได้ทิ้ง ก็เอาทิ้งเสีย. เมื่อยังไม่มีหม้อน้ำดื่ม ในที่ที่ควรตั้งน้ำดื่มไว้ก็ตั้งหม้อน้ำดื่มไว้. ไปเยี่ยมภิกษุไข้แล้ว ถามว่า อาวุโส ผมจะนำอะไรมาถวายท่าน. ท่านต้องการอะไร. ไปหาภิกษุหนุ่มที่ยังไม่ได้พรรษาแล้วสอนว่า อาวุโสทั้งหลาย ขอท่านจงยินดียิ่งเถิด จงอย่าเบื่อหน่ายพระพุทธศาสนาอันมีสาระในการปฏิบัติเลย. ครั้นทำอย่างนี้แล้วก็ไปภิกษาจารภายหลังภิกษุทั้งหมด.
               เหมือนอย่างว่า พระเจ้าจักรพรรดิมีพระประสงค์จะเสด็จไป ณ ที่ไหนๆ ทรงแวดล้อมด้วยเสนาเสด็จไปก่อน ปริณายกแก้วจัดกองทัพออกไปภายหลังฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นจักรพรรดิแห่งพระสัทธรรมก็ฉันนั้น ทรงแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จออกไปก่อน พระธรรมเสนาบดีผู้เป็นปริณายกแก้วของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทำกิจนี้เสร็จแล้วจึงออกไปภายหลังภิกษุทั้งหมด.
               พระเถระนั้นออกไปอย่างนี้แล้วในวันนั้นได้เห็นพระราหุลภัททะนั่ง ณ โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปจฺฉา คจฺฉนฺโต อทฺทส ท่านพระสารีบุตรไปภายหลังได้เห็นแล้ว.
               เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านพระสารีบุตรจึงชักชวนในอานาปานสติเล่า.
               เพราะสมควรแก่การนั่ง.
               ได้ยินว่า พระเถระมิได้นึกถึงว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรูปกรรมฐานแก่พระราหุลนั้นแล้ว คิดว่ากรรมฐานนี้สมควรแก่การนั่งนี้ของพระราหุลนั้น โดยอาการที่พระราหุลนี้นั่งติดอยู่กับอาสนะอันไม่ไหวติง จึงกล่าวอย่างนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า อานาปานสตึ ท่านพระสารีบุตรแสดงว่า ท่านจงกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกแล้วยังฌาน หมวด ๔ หมวด ๕ ให้เกิดในอานาปานสตินั้น แล้วเจริญวิปัสสนา ถือเอาพระอรหัต.
               บทว่า มหปฺผลา โหติ มีผลมาก.
               มีผลมากอย่างไร.
               ภิกษุในศาสนานี้ขวนขวายอานาปานสติ นั่งเหนืออาสนะหนึ่ง ยังอาสวะทั้งหมดให้สิ้นไปแล้วบรรลุพระอรหัต. เมื่อไม่สามารถอย่างนั้นก็เป็นสมสีสี (สิ้นชีวิตพร้อมทั้งสิ้นกิเลส) ในเวลาตาย. เมื่อไม่สามารถอย่างนั้นก็บังเกิดในเทวโลก ครั้นฟังธรรมของเทพบุตรผู้เป็นธรรมกถึกแล้วได้บรรลุพระอรหัต. พลาดไปจากนั้นเมื่อยังไม่เกิดพุทธุปบาทกาล ย่อมทำให้แจ้งปัจเจกโพธิ. เมื่อยังไม่ทำให้แจ้งปัจเจกโพธินั้น ย่อมเป็นขิปปาภิญญา (รู้ได้เร็ว) เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ดุจพระพาหิยเถระเป็นต้นฉะนั้น ย่อมมีผลมากด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า มหานิสํสา เป็นไวพจน์ของบทว่า มหปฺผลา.
               แม้ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้ว่า
                         อานาปานสฺสติ ยสฺส    ปริปุณฺณา สุภาวิตา
                         อนุปุพฺพปริจีตา         ยถา พุทฺเธน เทสิตา
                         โสมํ โลกํ ปภาเสติ     อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา.
                         ผู้ใดเจริญอานาปานสติให้บริบูรณ์ สะสมไว้
                         โดยลำดับ เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าทรง
                         แสดงไว้ ผู้นั้นย่อมทำโลกให้สว่างไสว ดุจ
                         พระจันทร์พ้นจากเมฆหมอกฉะนั้น.

               พระเถระ เมื่อเห็นความที่อานาปานสติมีผลมากนี้ จึงได้ชักชวนสัทธิวิหาริกในอานาปานสตินั้น. ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบอกรูปกรรมฐาน พระเถระบอกอานาปานสติ เพราะเหตุนั้น แม้ทั้งสองท่านบอกกรรมฐานแล้วก็ไป.
               พระราหุลภัททะเป็นผู้ถูกทิ้งไว้ในวิหารนั่นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงรู้ว่าพระราหุลภัททะถูกทิ้งไว้ ไม่ทรงรับขาทนียะโภชนียะด้วยพระองค์เองแล้วก็มิได้เสด็จไป. มิได้ทรงส่งในมือของพระอานนท์เถระ มิได้ทรงให้สัญญาแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลมหาราชและอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นต้น. เพราะชนเหล่านั้นได้เพียงสัญญาก็จะพึงนำของใส่หาบมา.
               แม้พระสารีบุตรเถระก็มิได้ทำอะไรๆ อย่างเดียวกับพระผู้มีพระภาคเจ้าฉันนั้น.
               พระราหุลเถระอดอาหาร ขาดภัต. แต่ท่านพระราหุลนั้น แม้จิตก็มิได้เกิดขึ้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงทราบว่าเราออกจากวิหาร ทรงรับบิณฑบาตที่พระองค์ได้แล้วด้วยพระองค์เองก็มิได้เสด็จมา. มิได้ทรงส่งไปในมือของผู้อื่น. มิได้ทรงให้สัญญาแก่มนุษย์ทั้งหลาย. แม้พระอุปัชฌาย์ของเราก็รู้ว่าเราถูกทิ้งไว้ ก็มิได้ทำอะไรๆ อย่างนั้นเลย. ความเย่อหยิ่งหรือความดูหมิ่น เพราะการทำนั้นเป็นปัจจัยจักมีแต่ไหน.
               อนึ่ง พระราหุลมนสิการเป็นลำดับถึงกรรมฐานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบอก แม้ก่อนภัต แม้ภายหลังภัตว่า รูปไม่เที่ยงแม้อย่างนี้ เป็นทุกข์แม้อย่างนี้ เป็นอสุภะแม้อย่างนี้ เป็นอนัตตาแม้อย่างนี้ ดุจผู้ปรารถนาอยากได้ไฟในเวลาเย็นจึงคิดว่า พระอุปัชฌาย์บอกเราว่า ท่านจงเจริญอานาปานสติ เราจักเชื่อท่าน เพราะผู้ไม่เชื่ออาจารย์และอุปัชฌาย์ ชื่อว่าเป็นผู้ว่ายาก. เพราะเหตุนั้น ชื่อว่าความบีบคั้นอันหยาบคายกว่าเพราะการเกิดขึ้นแห่งการติเตียนว่า พระราหุลเป็นผู้ว่ายาก ไม่กระทำตามคำของอุปัชฌาย์ดังนี้ ย่อมไม่มี.
               พระราหุลประสงค์จะทูลถามถึงวิธีของภาวนาจึงได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               เพื่อแสดงความนั้น พระอานนทเถระจึงกล่าวบทมีอาทิว่า อถ โข อายสฺมา ราหุโล ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้นบทว่า ปฏิสลฺลานา จากที่เร้น คือจากความเป็นผู้เดียว.
               คำว่า ยํ กิญฺจิ ราหุล ความว่า เพราะเหตุไร พระราหุลทูลถามถึงอานาปานสติ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสรูปกรรมฐานเล่า.
               ตอบว่า เพื่อละฉันทราคะในรูป.
               นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมีพระดำริว่า ฉันทราคะเกิดขึ้นแก่พระราหุล เพราะอาศัยอัตภาพ. แม้ในหนหลังพระองค์ก็ได้ตรัสรูปกรรมฐานไว้โดยย่อแก่พระราหุลนั้น.
               บัดนี้ เราจักจำแนกไม่ปรุงแต่งอัตภาพโดยอาการ ๔๐ แล้วยังฉันทราคะอาศัยอัตภาพนั้นอันยังไม่เกิดเป็นธรรมดาให้เกิดแก่ราหุลนั้น.
               เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรจึงทำอากาศธาตุให้พิสดารเล่า.
               เพื่อแสดงอุปาทารูป เพราะท่านกล่าวถึงมหาภูตรูป ๔ ไว้แล้วในหนหลัง ไม่ได้กล่าวถึงอุปาทารูป ฉะนั้นเพื่อแสดงอุปาทารูปนั้นโดยมุขนี้ จึงยังอากาศธาตุให้พิสดาร.
               อีกอย่างหนึ่ง แม้ปริจฉินนรูป (รูปที่กำหนดไว้) ก็มาปรากฏด้วยอากาศภายใน.
                         เพื่อความปรากฏแจ่มแจ้งของรูปที่กำหนดไว้
                         ด้วยอากาศ เท่าที่ประดับไว้ พระผู้มีพระภาค
                         เจ้า ผู้เป็นนายก จึงทรงประกาศรูปนั้น.
               บทที่ควรกล่าวในธาตุ ๔ ในสูตรนี้และสูตรก่อน ได้กล่าวไว้แล้วในมหาหัตถิปโทปมสูตร.
               พึงทราบวินิจฉัยในอากาศธาตุดังต่อไปนี้.
               บทว่า อากาสคตํ มีลักษณะว่าง คือเป็นสภาวธรรม.
               บทว่า อุปาทินฺนํ อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น. ความว่า ยึดมั่นถือมั่นกอดรัดตั้งอยู่ในสรีระ.
               บทว่า กณฺณฉิทฺทํ คือ ช่องหู ไม่สัมผัสด้วยเนื้อและเลือด.
               แม้ในบทว่า นาสจฺฉิทฺทํ ช่องจมูกเป็นต้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               บทว่า เยน จ คือ โดยช่องใด.
               บทว่า อชฺโฌหรติ ย่อมกลืนให้เข้าไปภายใน. บทนี้ท่านกล่าวหมายถึงที่ที่เป็นช่อง ๑ คืบ ๔ นิ้วของมนุษย์ทั้งหลายตั้งแต่โคนลิ้นถึงพื้นท้อง.
               บทว่า ยตฺถ จ คือ ในโอกาสใด.
               บทว่า สํติฏฺฐติ คือ ตั้งอยู่.
               บทนี้ท่านกล่าวหมายถึงพื้นท้องใหญ่ อันเป็นดังผ้ากรองน้ำผืนใหญ่ของมนุษย์ทั้งหลาย.
               บทว่า อโธภาคํ นิกฺขมติ คือ ถ่ายออกเบื้องล่าง. บทนี้ท่านกล่าวหมายถึงไส้ใหญ่ ไส้หนึ่งประมาณ ๓๒ ศอกในที่ ๒๑ แห่ง.
               ด้วยบทนี้ว่า ยํ วา ปน อญฺญํปิ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างอื่น ท่านแสดงถึงอากาศอันไปในระหว่างหทัยและเนื้อเป็นต้น และอันตั้งอยู่โดยความเป็นขุมขน.
               คำที่เหลือในบทนี้พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในปฐวีธาตุเป็นต้น.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสบอกถึงลักษณะแห่งความเป็นผู้คงที่แก่พระราหุลนั้นจึงตรัสบทมีอาทิว่า ปฐวีสมํ เสมอด้วยแผ่นดิน. บุคคลผู้ไม่กำหนัด ไม่ประทุษร้ายในอารมณ์อันน่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา ชื่อว่าตาทีบุคคล (ผู้คงที่)
               ในบทว่า มนาปามนาปา นี้พึงทราบความดังต่อไปนี้.
               ผัสสะสัมปยุตด้วยจิตสหรคตด้วยโลภะ ๘ ชื่อว่า มนาปา เป็นที่ชอบใจ. ผัสสะสัมปยุตด้วยโทมนัสจิต ๒ ชื่อว่า อมนาปา ไม่เป็นที่ชอบใจ.
               บทว่า จิตฺตํ น ปริยาทาย ฐสฺสนฺติ ผัสสะจักไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ได้ ความว่า ผัสสะเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วจักไม่สามารถครอบงำจิตของท่าน ดุจจะทำให้อยู่ในกำมือได้. ฉันทราคะจักไม่เกิดเพราะอาศัยอัตภาพอีกว่า เรางาม ผิวพรรณของเราผ่องใสดังนี้.
               คูถนั้นแหละชื่อว่า คูถคตํ ในบทมีอาทิว่า คูถคตํ.
               ในบททั้งปวงก็อย่างนี้.
               บทว่า น กตฺถจิ ปติฏฺฐิโต เหมือนอากาศไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ คือไม่ตั้งอยู่แม้ในที่เดียวมีในแผ่นดินภูเขาและต้นไม้เป็นต้น. ผิว่า อากาศพึงตั้งอยู่บนแผ่นดินเมื่อแผ่นดินทำลายก็จะพึงทำลายไปด้วยกัน. เมื่อภูเขาพังก็จะพังไปด้วยกัน. เมื่อต้นไม้หักก็จะหักไปด้วยกันเท่านั้น.
               เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภว่า เมตฺตํ ราหุล เพื่อแสดงเหตุแห่งความเป็นผู้คงที่. เพราะทรงแสดงเหตุแห่งความเป็นผู้คงที่ไว้แล้วในหนหลัง. ใครๆ ไม่สามารถเพื่อเจริญ เพราะมิใช่เหตุว่า เราเป็นผู้คงที่. ใครๆ มิใช่ชื่อว่าเป็นผู้คงที่ด้วยเหตุเหล่านี้ว่า เราเป็นผู้ขวนขวายในตระกูลสูง เป็นพหุสูต เป็นผู้มีลาภ. พระราชามหาอำมาตย์ของพระราชาเป็นต้นย่อมคบเรา. เราเป็นผู้คงที่ก็หามิได้. แต่เป็นผู้คงที่ด้วยการเจริญเมตตาเป็นต้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภเทศนานี้เพื่อแสดงเหตุแห่งความเป็นผู้คงที่.
               ในบทเหล่านั้นบทว่า ภาวยโต เจริญ คือยังอุปจารภาวนาหรืออัปปนาภาวนาให้ถึง.
               บทว่า โย พยาปาโท พยาบาท คือจักละความโกรธในสัตว์ได้.
               บทว่า วิเหสา ความเบียดเบียน คือเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยฝ่ามือเป็นต้น.
               บทว่า อรติ ความไม่ยินดี คือความเป็นผู้เบื่อหน่ายในเสนาสนะอันสงัด และในธรรมเป็นอธิกุศล.
               บทว่า ปฏิโฆ ความขุ่นเคือง คือกิเลสเป็นเครื่องให้เดือดร้อนในทุกๆ แห่ง.
               บทว่า อสุภํ ไม่งาม คือเจริญอุปจาระและอัปปนาในซากศพที่พองอืดเป็นต้น.
               บทว่า อุทฺธุมาตกา ซากศพพองอืด อสุภภาวนานี้ท่านกล่าวไว้โดยพิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค.
               บทว่า ราโค ได้แก่ ราคะประกอบด้วยกามคุณ ๕.
               บทว่า อนิจฺจสญฺญํ อนิจจสัญญาภาวนา คือ สัญญาอันเกิดพร้อมกับอนิจจานุปัสสนา หรือวิปัสสนานั่นแหละ. แม้ความไม่มีสัญญาท่านก็กล่าวว่าสัญญา ด้วยหัวข้อแห่งสัญญา.
               บทว่า อสฺมิมาโน ถือว่าเรามีอยู่ คือ มีมานะว่า เรามีอยู่ในรูปเป็นต้น.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะยังปัญหาที่พระเถระถามให้พิสดารจึงกล่าวบทมีอาทิว่า อานาปานสฺสติ ดังนี้. กรรมฐานนี้ กรรมฐานภาวนา และอรรถแห่งบาลี พร้อมด้วยอานิสงส์กถา ท่านกล่าวไว้พิสดารแล้วในอนุสสตินิเทศในวิสุทธิมรรคโดยอาการครบถ้วนทุกประการ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบพระธรรมเทศนานี้ด้วยสามารถแห่งบุคคลผู้พึงแนะนำนั่นแหละด้วยประการฉะนี้.

               จบอรรถกถามหาราหุโลวาทสูตรที่ ๒               
               --------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภิกขุวรรค มหาราหุโลวาทสูตร เรื่องพระราหุล จบ.
อ่านอรรถกถา 13 / 1อ่านอรรถกถา 13 / 125อรรถกถา เล่มที่ 13 ข้อ 133อ่านอรรถกถา 13 / 147อ่านอรรถกถา 13 / 734
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=13&A=2541&Z=2681
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=9&A=2439
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=9&A=2439
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๗  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :