ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 13 / 1อ่านอรรถกถา 13 / 24อรรถกถา เล่มที่ 13 ข้อ 36อ่านอรรถกถา 13 / 56อ่านอรรถกถา 13 / 734
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ คหบดีวรรค
โปตลิยสูตร เรื่องโปตลิยคฤหบดี

               ๔. อรรถกถาโปตลิยสูตร               
               โปตลิยสูตร มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า องฺคุตฺตราเปสุ ความว่า ชนบทที่ชื่อว่าอังคุตตราปะนั้น ก็คือแคว้นอังคะนั่นเอง แอ่งน้ำที่อยู่เหนือแม่น้ำมหี เรียกกันว่าอังคุตตราปะก็มี เพราะอยู่ไม่ไกลแอ่งน้ำนั้น.
               ถามว่า แอ่งน้ำนั้นอยู่ทิศเหนือแม่น้ำมหีไหน?
               ตอบว่า แม่น้ำมหีสายใหญ่ ในข้อนี้จะแถลงให้แจ่มแจ้งดังต่อไปนี้.
               เล่ากันว่า ชมพูทวีปนี้มีเนื้อที่ประมาณหมื่นโยชน์ ในหมื่นโยชน์นั้น เนื้อที่ประมาณสี่พันโยชน์คลุมด้วยน้ำ นับได้ว่าเป็นทะเล มนุษย์อาศัยอยู่ในเนื้อที่ประมาณสามพันโยชน์ ภูเขาหิมพานต์ก็ตั้งอยู่ในเนื้อที่ประมาณสามพันโยชน์ สูงร้อยห้าโยชน์ ประดับด้วยยอด แปดหมื่นสี่พันยอดงดงามด้วยแม่น้ำห้าร้อยสาย ไหลอยู่โดยรอบ มีสระใหญ่ตั้งอยู่ ๗ สระ คือ สระอโนดาต สระกรรณมุณฑะ สระรถการะ สระฉัททันตะ สระกุณาละ สระหงสปปาตะ สระมันทากินี สระสีหปปาตะ ยาวกว้างและลึกห้าสิบโยชน์ กลมสองร้อยห้าสิบโยชน์ ในสระทั้ง ๗ นั้น สระอโนดาตล้อมด้วยภูเขา ๕ ลูก คือสุทัศนกูฏ จิตรกูฏ กาฬกูฏ คันธมาทนกูฏ ไกรลาสกูฏ.
               ในภูเขา ๕ ลูกนั้น สุทัศนกูฏเป็นภูเขาทองสูงสองร้อยโยชน์ ข้างในโค้งสัณฐานเหมือนปากกา ตั้งปิดสระนั้นนั่นแล. จิตรกูฏเป็นภูเขารัตนะทั้งหมด กาฬกูฏเป็นภูเขาแร่พลวง
               คันธมาทนกูฏเป็นยอดเขาที่มีพื้นราบเรียบ หนาแน่นไปด้วยคันธชาติทั้งสิบ คือไม้รากหอม ไม้แก่นหอม กระพี้หอม ไม้เปลือกหอม ไม้สะเก็ดหอม ไม้รสหอม ไม้ใบหอม ไม้ดอกหอม ผลหอม ไม้ลำต้นหอม ดาดาษด้วยโอสถนานาประการ วันอุโบสถข้างแรมจะเรืองแสงเหมือนถ่านไฟคุ.
               ไกรลาสกูฏเป็นภูเขาเงิน ภูเขาทั้งหมดมีส่วนสูงและสัณฐานเสมอกับสุทัศนกูฏ ตั้งปิดสระนั้นนั่นแล ภูเขาทั้งหมดนั้นยังอยู่ได้ด้วยอานุภาพเทวดาและนาค แม่น้ำทั้งหลายย่อมไหลไปที่ภูเขาเหล่านั้น น้ำทั้งหมดนั้นก็ไหลไปสู่สระอโนดาตแห่งเดียว. ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์โคจรไปทางใต้บ้าง ทางเหนือบ้าง ส่องแสงไปที่สระนั้นทางหว่างภูเขาไม่โคจรไปตรงๆ ด้วยเหตุนั้นนั่นแล สระนั้นจึงเกิดชื่อว่าอโนดาต.
               ในสระอโนดาตนั้น ธรรมชาติจัดไว้อย่างดี มีแผ่นมโนศิลาและหรดาล ปราศจากเต่าปลา มีน้ำใสแจ๋วดังแก้วผลึก มีท่าลงสนาน ซึ่งเป็นที่ที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตขีณาสพและเหล่าฤษีผู้มีฤทธิ์ลงสรงสนาน ทั้งเหล่าเทวดาและยักษ์มาเล่นน้ำกัน ที่ข้างของสระอโนดาตนั้นมีปากทางสี่ทาง คือปากทางราชสีห์ ปากทางช้าง ปากทางม้า ปากทางโคอุสภะ ซึ่งเป็นทางไหลของแม่น้ำสี่สาย ฝูงราชสีห์มีมาก อยู่ริมฝั่งแม่น้ำที่ไหลออกจากปากทางราชสีห์ มีโขลงช้าง ฝูงม้า ฝูงโคอยู่มาก ทางริมฝั่งแม่น้ำที่ไหลออกจากปากทางช้างเป็นต้น.
               แม่น้ำที่ไหลออกไปทางทิศตะวันออก เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว ไม่ข้องแวะกับแม่น้ำอีกสามสาย ไหลผ่านถิ่นอมนุษย์ทางภูเขาหิมพานต์ด้านทิศตะวันออกลงสู่มหาสมุทร ส่วนแม่น้ำที่ไหลออกทางทิศใต้ เลี้ยวขวาสระอโนดาตนั้นสามเลี้ยว ไหลตรงไปทิศใต้หกสิบโยชน์ ทางหลังแผ่นหินนั่นแล เจาะภูเขาทะลุออก มีกระแสน้ำประมาณสามสิบคาวุตล้อมไว้ ผ่านทางอากาศหกสิบโยชน์ ไปตกลงบนแผ่นหินชื่อติยัคคฬะ แผ่นหินก็แตกด้วยความแรงของกระแสน้ำ ณ ที่แผ่นหินชื่อติยัคคฬะนั้น ก็เกิดสระโบกขรณีชื่อติยัคคฬาประมาณห้าสิบโยชน์ กระแสน้ำพังที่ฝั่งสระโบกขรณีทะลุหินไปหกสิบโยชน์ ต่อนั้น ก็พังแผ่นดินทึบไปหกสิบโยชน์ ทางอุโมงค์ กระแทกติรัจฉานบรรพตชื่อวิชฌะ ไปเป็นกระแสน้ำห้าสาย เช่นเดียวกับนิ้วมือห้านิ้ว กระแสน้ำนั้นในที่ๆ เลี้ยวขวาสระอโนดาต ไปสามเลี้ยวเรียกกันว่า อาวัฏฏคงคา ในที่ที่ไหลตรงไปหกสิบโยชน์ ทางหลังหิน เรียกกันว่ากรรณคงคา ในที่ๆ ไหลไปหกสิบโยชน์ทางอากาศ เรียกกันว่าอากาศคงคา ที่ตั้งอยู่ในอากาศหกสิบโยชน์ที่หลังหินชื่อติยัคคฬะ เรียกกันว่าติยัคคฬโบกขรณี ในที่ๆ พังฝั่งสระทะลุหินเข้าไปหกสิบโยชน์ เรียกกันว่าพหลคงคา ในที่ๆ ไหลไปหกสิบโยชน์ทางอุโมงค์ เรียกกันว่า อุมมังคคงคา. ส่วนในที่ๆ กระแทกติรัจฉานบรรพต ชื่อวิชฌะ แยกเป็นกระแสน้ำห้าสายก็กลายเป็นแม่น้ำทั้งห้า คือ คงคา ยุมนา อจิรวดี สรภู มหี. มหานที ๕ สายเหล่านี้ย่อมเกิดมาแต่หิมวันตบรรพต ด้วยประการฉะนี้.
               ในมหานที ๕ สายนั้น มหานทีสายที่ ๕ ชื่อมหี ท่านหมายเอาว่า มหีมหานที ในที่นี้ แอ่งน้ำใดอยู่ทางทิศเหนือมหานทีชื่อมหีนั้น ชนบทนั้นพึงทราบว่าชื่ออังคุตตราปะ เพราะอยู่ไม่ไกลแอ่งน้ำนั้น. ในชนบทชื่ออังคุตตราปะนั้น.
               คำว่า อาปณํ นาม ความว่า ได้ยินว่า ในนิคมนั้นมีตลาดที่สำคัญๆ แยกได้ถึงสองหมื่นตลาด แม้เพราะเหตุที่นิคมนั้นมีตลาดหนาแน่น จึงถือได้ว่าเป็น อาปณะ (ตลาด). ส่วนภูมิภาคที่มีเงาทึบน่ารื่นรมย์ ริมฝั่งแม่น้ำไม่ไกลนิคมนั้น ชื่อว่าแนวป่ามหาวัน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ แนวป่ามหาวันนั้น ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนดสถานที่อยู่ ณ แนวป่ามหาวันนั้น.
               คำว่า เยนญฺญตโร วนสณฺโฑ เตนุปสงฺกมิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงส่งภิกษุสงฆ์ไปยังสถานที่อยู่ เสด็จเข้าไปแต่พระองค์เดียว.
               ท่านหมายถึงโปตลิยคฤหบดี จึงกล่าวว่า โปตลิโยปิ โข คหปติ คฤหบดีชื่อมีอย่างนี้ว่า โปตลิยะ.
               บทว่า สมฺปนฺนนิวาสนปารุปโน แปลว่า มีผ้านุ่งผ้าห่ม บริบูรณ์. อธิบายว่า นุ่งผ้าชายยาวผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง.
               บทว่า ฉตฺตูปาหนานิ ได้แก่ กั้นร่ม สวมรองเท้า.
               บทว่า อาสนานิ ได้แก่ อาสนะ มีตั่งทำไว้เป็นบัลลังก์และตั่งทำด้วยฟางเป็นต้น. แท้จริง โดยที่สุดแม้กิ่งไม้หักๆ ก็เรียกว่าอาสนะได้ทั้งนั้น.
               บทว่า คหปติวาเทน แปลว่า ด้วยคำนี้ว่า คฤหบดี.
               บทว่า สมุทาจรติ แปลว่า เรียก.
               คำว่า ภควนฺตํ เอตทโวจ ความว่า โปตลิยคฤหบดีไม่อาจรับคำว่า คฤหบดี ครั้งที่สามได้ จึงทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ตยิทํ โภ โคตม ดังนี้เป็นต้น.
               ในคำเหล่านั้น คำว่า นจฺฉนฺนํ แปลว่า ไม่เหมาะ.
               คำว่า นปฺปฏิรูปํ แปลว่า ไม่ควร.
               คำว่า อาการา เป็นต้นทั้งหมดเป็นไวพจน์ของเหตุ.
               แท้จริง การนุ่งผ้าชายยาว การไว้ผม ไว้หนวด ไว้เล็บ ชื่อว่าอาการ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เพศคฤหัสถ์ทั้งหมดนั้นแลกระทำภาวะคฤหัสถ์ของโปตลิยคฤหบดีให้ปรากฏ อาการเหล่านั้น ท่านเรียกว่าเพศ เพราะตั้งอยู่โดยทรวดทรงของคฤหัสถ์. เรียกว่านิมิต เพราะเป็นเครื่องหมายบอกให้เข้าใจถึงภาวะของคฤหัสถ์.
               ด้วยคำว่า ยถาตํ คหปติสฺส พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงว่า อาการ เพศและเครื่องหมาย พึงมีแก่คฤหบดีฉันใด อาการ เพศและเครื่องหมายเหล่านั้นก็มีแก่ท่านฉันนั้น ด้วยเหตุนั้น เราจึงเรียกอย่างนี้.
               ครั้งนั้น โปตลิยคฤหบดีไม่ยอมรับคำว่า คฤหบดี ด้วยเหตุอันใด เมื่อจะประกาศเหตุอันนั้นจึงทูลว่า ตถา หิ ปน เม ดังนี้เป็นต้น.
               คำว่า นิยฺยาตํ แปลว่า ทรัพย์มรดกที่ได้รับมอบ.
               คำว่า อโนวาที ความว่า คนผู้กล่าวสอนโดยนัยเป็นต้นว่า พ่อเอย พวกเจ้าจงไถ จงหว่าน จงประกอบด้วยการค้าขาย พวกเจ้าจักเป็นอยู่ หรือเลี้ยงลูกเมียได้อย่างไร ดังนี้ ชื่อว่า ผู้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่กระทำทั้งสองอย่างนั้น ด้วยเหตุนั้น โปตลิยคฤหบดีจึงแสดงว่า ในเรื่องนั้น ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้กล่าวสอน ไม่ใช่ผู้ว่ากล่าว.
               ด้วยคำว่า ฆาสจฺฉาทนปรโม วิหรามิ โปตลิยคฤหบดีแสดงว่า ข้าพเจ้ากระทำงานเพียงเพื่ออาหาร และเพียงเพื่อเครื่องนุ่งห่มเป็นอย่างยิ่งเท่านั้นอยู่ ไม่ปรารถนานอกเหนือไปจากนี้
               คำว่า คิทฺธิ โลโภ ปหาตพฺโพ ได้แก่ ความโลภอันเป็นตัวติดข้อง ควรละเสีย.
               คำว่า อนินฺทาโรโส ได้แก่ การไม่นินทาและไม่กระทบกระทั่ง.
               คำว่า นินฺทาโรโส ได้แก่ การนินทาและการกระทบกระทั่ง.
               การเรียกชื่อ การบัญญัติชื่อ คำพูดและเจตนาก็ดี ชื่อว่าโวหารในบาลีนี้ว่า โวหารสมุจฺเฉทาย
               บรรดาโวหารเหล่านั้น โวหารนี้ว่า ในหมู่มนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่ง อาศัยการเรียกชื่อว่า ดูก่อนวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ ผู้นั้นเป็นพ่อค้ามิใช่พราหมณ์. โวหารว่า การนับชื่อ การตั้งชื่อ การบัญญัติ ชื่อการเรียกชื่อ นี้ชื่อว่าบัญญัติโวหาร. โวหารว่า ย่อมพูด ย่อมไม่ปรามาสโดยประการนั้นๆ นี้ชื่อว่าวจนโวหาร. ในโวหารว่า อริยโวหาร ๘ อนริยโวหาร ๘ นี้ชื่อว่าเจตนาโวหาร.
               ในที่นี้ท่านหมายถึงเจตนาโวหารนี้.
               อีกอย่างหนึ่ง จำเดิมตั้งแต่เวลาบวช เจตนาว่าคฤหัสถ์ไม่มี เจตนาว่าสมณะมีอยู่. คำว่าคฤหัสถ์ไม่มี คำว่าสมณะมีอยู่. บัญญัติว่าคฤหัสถ์ไม่มี บัญญัติว่าสมณะมีอยู่. การกล่าวเรียกว่าคฤหัสถ์ไม่มี การกล่าวเรียกว่าสมณะมีอยู่ เพราะฉะนั้น จึงได้โวหารแม้ทั้งหมด.
               ในคำว่า เยสํ โข อหํ สํโยชนานํ เหตุ ปาณาติปาตี นี้ ปาณาติบาตเท่านั้นชื่อว่าสังโยชน์. จริงอยู่ ผู้ชื่อว่าทำปาณาติบาต ก็เพราะเหตุแห่งปาณาติบาตเท่านั้น คือเพราะมีปาณาติบาตเป็นปัจจัย แต่ที่ตรัสว่า เยสํ โข อหํ เป็นต้น ก็เพราะปาณาติบาตมีมาก.
               คำว่า เตสาหํ สํโยชนานํ แปลว่า เราปฏิบัติเพื่อละ เพื่อตัดขาดเครื่องผูกพัน คือปาณาติบาตเหล่านั้น.
               คำว่า ปหานาย สมุจฺเฉทาย ปฏิปนฺโน ความว่า เราปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่การละ เพื่อประโยชน์แก่การตัดขาด ด้วยศีลสังวรทางกาย กล่าวคือไม่ทำปาณาติบาตนี้.
               คำว่า อตฺตาปิ มํ อุปวเทยฺย ความว่า แม้ตนเองก็พึงติ เราอย่างนี้ว่า เราบวชในศาสนาของผู้ไม่ปลงชีวิตสัตว์แม้แต่มดดำมดแดง ยังไม่อาจงดเว้น แม้เพียงจากปาณาติบาตได้ เราบวชทำไม.
               คำว่า อนุวิจฺจาปิ วิญฺญู ครเหยฺยุํ ความว่า วิญญูชนคือบัณฑิตแม้เหล่าอื่น ใคร่ครวญคือพินิจพิจารณาแล้วก็พึงติเตียนอย่างนี้ว่า เขาบวชในศาสนาเห็นปานนี้แล้ว ยังไม่งดเว้นแม้เพียงปาณาติบาต เขาบวชทำไมกัน.
               คำว่า เอตเทว โข ปน สํโยชนํ เอตํ นีวรณํ นี้ แม้จะไม่นับเนื่องเข้าในสังโยชน์ ๑๐ นิวรณ์ ๕ แต่ก็ตรัสด้วยอำนาจเทศนาว่า เป็นเครื่องปิดกั้น ๘ อย่าง เครื่องปิดกั้น ๘ อย่างนั้น ตรัสเรียกว่า สังโยชน์บ้าง นีวรณ์บ้าง ก็เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องผูกไว้ และเพราะอรรถว่าปกปิดไว้ในวัฏฏะอย่างนี้.
               คำว่า อาสวา คือ อวิชชาสวะอย่างเดียวย่อมเกิดเพราะปาณาติบาตเป็นเหตุ.
               คำว่า วิฆาตปริฬาหา แปลว่า ความคับแค้นและความเร่าร้อน.
               ในคำนั้น ทรงถือเอาทุกข์เพราะกิเลส และทุกข์ที่เป็นวิบาก ด้วยศัพท์ว่า วิฆาต. ทรงถือเอาความเร่าร้อนที่เป็นวิบากด้วยศัพท์ว่า ปริฬาห.
               บัณฑิตพึงทราบความในที่ทุกแห่งโดยอุบายอย่างนี้. แต่ความแผกกันมีดังนี้
               พึงประกอบความในวาระทั้งหมดอย่างนี้ว่า
               ปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่การละ เพื่อประโยชน์แก่การตัดขาด ด้วยศีลสังวรทางกาย กล่าวคืออทินนาทาน (ไม่ลักทรัพย์) ด้วยศีลสังวรทางวาจา กล่าวคือสัจวาจา (พูดคำจริง) ด้วยศีลสังวรทางวาจา กล่าวคือปิสุณาวาจา (ไม่พูดส่อเสียด) ด้วยศีลสังวรทางใจ กล่าวคืออคิทธโลภะ (ไม่หมกมุ่นและละโมบ) ด้วยศีลสังวรทางกายและทางวาจา กล่าวคืออนินทาโรสะ (ไม่นินทาและไม่กระทบกระทั่ง) ด้วยศีลสังวรทางใจ กล่าวคือความไม่โกรธและคับแค้นใจด้วยศีลสังวรทางใจ กล่าวคือความไม่ดูหมิ่น.
               ส่วนในบทเหล่านี้ว่า อตฺตาปิ มํ อุปวเทยฺย อนุวิจฺจาปิ วิญฺญู ครเหยฺยุํ พึงประกอบความทุกวาระอย่างนี้ว่า
               แม้ตนเองก็พึงติเตียนเราอย่างนี้ว่า เราบวชในพระศาสนาที่สอนไม่ให้ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้แม้แต่เส้นหญ้า ยังไม่อาจงดเว้นแม้เพียงอทินนาทานได้ เราบวชทำไม. วิญญูชนแม้ใคร่ครวญแล้ว ก็พึงติเตียนอย่างนี้ว่า คนที่บวชในศาสนาเห็นปานนี้แล้ว ยังไม่อาจงดเว้นแม้เพียงแต่อทินนาทานได้ คนนี้บวชทำไม.
               แม้ตนเองก็พึงติเตียนตนอย่างนี้ว่า เราบวชในศาสนาที่สอนไม่ให้กระทำมุสาวาท แม้ด้วยมุ่งหวังให้หัวเราะ หรือหมายจะเล่น บวชในศาสนาที่สอนไม่ให้ทำการพูดส่อเสียดโดยอาการทั้งปวง บวชในศาสนาที่สอนไม่ให้กระทำความโลภหรือความติดข้องแม้มีประมาณน้อย บวชในพระศาสนาที่สอนไม่ให้กระทำการนินทาและกระทบกระทั่งผู้อื่น ในเมื่อแม้เขาเอาเลื่อยครูดตัว บวชในพระศาสนาที่สอนไม่ให้กระทำความโกรธและความคับแค้น แม้เมื่อตอและหนามตำเอาเป็นต้น บวชในศาสนาที่สอนไม่ให้ถือตัว แม้เพียงสำคัญผิด ก็ยังไม่อาจละแม้ความสำคัญผิดได้ เราบวชทำไม.
               วิญญูชนแม้ใคร่ครวญก็พึงติเตียนอย่างนี้ว่า คนนี้บวชในพระศาสนาเห็นปานนี้แล้ว ยังไม่อาจละ (มุสาวาท ปิสุณาวาจา คิทธิโลภะ นินทาโรสะ โกธะและอุปายาส) ความสำคัญผิดได้ คนนี้บวชทำไม ดังนี้.
               ส่วนบทว่า อาสวา นี้ พึงทราบความเกิดแห่งอาสวะอย่างนี้
               คือ อาสวะ ๓ คือ อาสวะคือกาม อาสวะคือทิฏฐิ อาสวะคืออวิชชา ย่อมเกิดเพราะอทินนาทานเป็นเหตุ เกิดเพราะมุสาวาทเป็นเหตุ และเพราะปิสุณาวาจาเป็นเหตุ ก็อย่างนั้นเหมือนกัน. ทิฏฐาสวะและอวิชชาสวะ เกิดเพราะคิทธิโลภะเป็นเหตุ อวิชชาอย่างเดียวเกิดเพราะนินทาโรสะเป็นเหตุ เกิดเพราะโกธะและอุปายาสเป็นเหตุก็เหมือนอย่างนั้น.
               อาสวะ ๒ คือ ภวาสวะและอวิชชาสวะเกิดเพราะอติมานะเป็นเหตุ.
               แต่เพื่อไม่ให้ฉงนในวาระแม้ทั้ง ๘ นี้ วินิจฉัยสังเขปมีดังนี้.
               ควรกล่าวว่า เราไม่อาจงดเว้นในวาระ ๔ นี้ก่อน ควรกล่าวว่า เราไม่อาจละ ในวาระเบื้องปลาย. อวิชชาสวะอย่างเดียวเท่านั้นมีในปาณาติบาต นินทาโรสะ โกธะและอุปายาสะ. กามาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะมีในอทินนาทาน มุสาวาท ปิสุณาวาจา. ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะมีในคิทธิโลภะ. ภวาสวะ อวิชชาสวะมีในอติมานะ.
               อปาณาติบาต อนทินนาทาน เป็นศีลทางกาย. อมุสาวาท อปิสุณาวาจา เป็นศีลทางวาจา. ที่เหลือ ๓ เว้นอนินทาโรสะ เป็นศีลทางใจ. แต่บุคคลย่อมขึ้งเคียดขุ่นเคืองกันด้วยกายบ้าง ขึ้งเคียดขุ่นเคืองกันด้วยวาจาบ้าง เพราะฉะนั้น อนินทาโรสะจึงมีฐานะ ๒ คือเป็นศีลทางกายบ้าง เป็นศีลทางวาจาบ้าง.
               ถามว่า ศีลอะไร ท่านจึงกล่าวไว้ด้วยประมาณเพียงเท่านี้.
               ตอบว่า ปาฏิโมกขสังวรศีล.
               ก็การตัดขาดการตรัสถึงคฤหัสถ์ด้วยอำนาจการพิจารณาและการละ พึงทราบว่า ตรัสไว้สำหรับภิกษุผู้อยู่ในปาฏิโมกขสังวรศีล.
               เทศนาโดยพิศดาร มีดังต่อไปนี้.
               บทว่า ตเมนํ ทกฺโข พึงทราบสัมพันธ์กับบทนี้ว่า อุปจฺจมฺเภยฺย๑- ท่านอธิบายว่า คนฆ่าโคหรือลูกมือคนฆ่าโค พึงโยนกระดูกนั้นไปยังสุนัข. อธิบายว่า พึงโยนไปใกล้ๆ สุนัขนั้น.
____________________________
๑- บาลีสูตรว่า อุปจฺฉูเภยฺย.

               บทว่า อฏฺฐิกงฺคลํ ร่างกระดูก คือกระดูกอก กระดูกสันหลัง หรือกระดูกหัว.
               แท้จริง ร่างกระดูกนั้นเรียกกันว่าร่างกระดูก เพราะไม่มีเนื้อ.
               คำว่า สุนิกนฺตํ นิกนฺตํ คือ ร่างกระดูกที่เฉือนขูดเนื้อออกหมดแล้ว.
               อธิบายว่า เนื้อสดอันใดมีอยู่ที่กระดูกนั้นก็ขูดเนื้อนั้นออกหมด มีแต่เพียงกระดูกเท่านั้น ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปราศจากเนื้อ แต่ร่างกระดูกนั้นยังเปื้อนเลือดอยู่ เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า โลหิตมกฺขิตํ ยังเปื้อนเลือด.
               คำว่า พหุทุกฺขา พหุปายาสา ความว่า กามทั้งหลายชื่อว่าทุกข์มาก ก็เพราะมากด้วยทุกข์ทั้งปัจจุบันทั้งภายหน้า. ชื่อว่ามีความคับแค้นมาก ก็เพราะมากด้วยความเศร้าหมองด้วยความคับแค้น.
               คำว่า ยายํ อุเปกฺขา นานตฺตา นานตฺตสิตา ความว่า อุเบกขาในกามคุณ ๕ นี้ อันใดเรียกว่ามีสภาวะต่างๆ กัน ก็ด้วยอำนาจอารมณ์คือกามคุณ ๕ และเรียกว่า นานตฺตสิตา ก็เพราะอาศัยอารมณ์เหล่านั้นนั่นแล. ภิกษุเว้นขาดอุเบกขานั้นเสีย.
               คำว่า เอกตฺตา เอกตฺตสิตา ได้แก่ อุเบกขาในจตุตถฌาน.
               แท้จริง อุเบกขาในจตุตถฌานนั้นชื่อว่ามีสภาวะอันเดียว เพราะเกิดขึ้นในอารมณ์อันเดียวทั้งวัน. ชื่อว่า เอกตฺตสิตา เพราะอาศัยอารมณ์อันเดียวนั้นนั่นแล.
               คำว่า ยสฺส สพฺพโส โลกามิสูปาทานา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติ ความว่า อามิสคือกามคุณ ๕ กล่าวคือโลกามิสอิงอาศัยอุเบกขาอันใด ย่อมดับไปหมดสิ้นไม่หลงเหลือในอุเบกขาจตุตถฌานอันใด.
               ก็คำว่า ปญฺจกามคุณามิสา ได้แก่ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ซึ่งมีกามคุณเป็นอารมณ์. ก็กามคุณ ๕ นั้นนั่นแลท่านเรียกว่าอุปาทานก็มี เพราะอรรถว่ายึดไว้.
               คำว่า ตเมวูเปกฺขํ ภาเวติ ความว่า ย่อมเจริญในอุเบกขาจตุตถฌาน อันเป็นปฏิปักษ์ต่ออุปาทานที่อาศัยโลกามิสนั้นนั่นแล.
               คำว่า อุยฺเยยฺย๒- แปลว่า พึงโดดขึ้นไป.
               คำว่า อนุปติตฺวา แปลว่า ติดตาม.
               คำว่า วิคจฺเฉยฺยุํ คือ พึงจิกด้วยจะงอยปาก.
               คำว่า วิภเชยฺยุํ คือ ยื้อชิ้นเนื้อด้วยเล็บให้ตกไป.
               คำว่า ยานํ โอโรเปยฺย๓- คือ บรรทุกยานที่เหมาะแก่บุรุษ.
____________________________
๒- บาลีว่า อุฑฺฑเยยฺย.  ๓- ม. ยานํ วา โปริเสย.ย.

               คำว่า ปวรมณิกุณฺฑลํ คือ แก้วมณีมีค่าสูง และตุ้มหูมีอย่างต่างๆ.
               คำว่า สานิ หรนฺติ คือ ถือเอาสิ่งของๆ ตน.
               คำว่า สมฺปนฺนผลํ คือ มีผลอร่อย.
               คำว่า อุปฺปนฺนผลํ คือ ติดผล มีผลดก.
               คำว่า อนุตฺตรา คือ สูงสุด มีปภัศร ปราศจากอุปกิเลส.
               คำว่า อารกา อหํ ภนฺเต ความว่า ข้าพเจ้ายังห่างไกลยิ่งนักเหมือนแผ่นดินกับแผ่นฟ้า และเหมือนทะเลกับฝั่งนี้ฝั่งโน้น.
               คำว่า อนาชานีเย คือ ผู้ไม่รู้เหตุแห่งการตัดขาดโวหารของคฤหัสถ์.
               คำว่า อาชานียโภชนํ คือ โภชนะที่เหล่าผู้รู้เหตุพึงบริโภค.
               คำว่า อนาชานียโภชนํ คือ โภชนะที่เหล่าผู้ไม่รู้เหตุพึงบริโภค.
               คำนอกนั้นในที่ทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.

               จบอรรถกถาโปตลิยสูตรที่ ๔               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ คหบดีวรรค โปตลิยสูตร เรื่องโปตลิยคฤหบดี จบ.
อ่านอรรถกถา 13 / 1อ่านอรรถกถา 13 / 24อรรถกถา เล่มที่ 13 ข้อ 36อ่านอรรถกถา 13 / 56อ่านอรรถกถา 13 / 734
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=13&A=660&Z=949
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=9&A=652
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=9&A=652
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๗  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :