ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 13 / 1อ่านอรรถกถา 13 / 704อรรถกถา เล่มที่ 13 ข้อ 709อ่านอรรถกถา 13 / 734อ่านอรรถกถา 13 / 734
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ พราหมณวรรค
สุภสูตร ทรงโปรดสุภมาณพ

               ๙. อรรถกถาสุภสูตร               
               สุภสูตรขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
               ในสุภสูตรนั้น บุตรของโตเทยยพราหมณ์ผู้อยู่ในตุทิคาม ชื่อว่าโตเทยยบุตร.
               คำว่า เป็นผู้ยินดี คือ เป็นผู้พรั่งพร้อมบริบูรณ์.
               คำว่า ญายธรรม คือ ธรรมอันเป็นเหตุ.
               บทว่า เป็นกุศล คือ ไม่มีโทษ.
               บทว่า การปฏิบัติผิด คือ ข้อปฏิบัติอันไม่เป็นกุศล ไม่เป็นเครื่องนำออกไปจากทุกข์.
               บทว่า การปฏิบัติชอบ ได้แก่ การปฏิบัติอันเป็นกุศลอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์.
               ในบทว่า มีความต้องการมาก ดังนี้เป็นต้น มีวิเคราะห์ดังต่อไปนี้
               ชื่อว่า มีความต้องการมาก เพราะในฐานะนี้มีความต้องการด้วยการกระทำความขวนขวาย หรือด้วยการช่วยเหลือมาก คือมากมาย. ชื่อว่า มีกิจมาก เพราะฐานะนี้มีกิจมากเช่นงานมงคลในการตั้งชื่อเป็นต้นมาก. ชื่อว่า มีเรื่องราวมากที่จะต้องจัดการมาก เพราะในฐานะนี้มีเรื่องราว คือหน้าที่การงานมากอย่างนี้ คือวันนี้ต้องทำสิ่งนี้ พรุ่งนี้ต้องทำสิ่งนี้. ชื่อว่า มีการลงมือทำมาก เพราะในฐานะนี้มีการลงมือทำมาก คือการบีบคั้นด้วยอำนาจการขวนขวายในการงานของคนมาก. การงานของตนทางฝ่ายฆราวาส ชื่อว่าฐานะการงานของฆราวาส.
               พึงทราบเนื้อความในวาระทั้งปวงด้วยประการอย่างนี้.
               ก็ในบรรดาการทำนาและการค้าขายนี้ ในการทำนา พึงทราบความต้องการมาก ด้วยการแสวงหาเครื่องอุปกรณ์ เริ่มแต่หางไถเป็นต้น ในการค้าขาย พึงทราบความต้องการน้อยด้วยการถือเอาสินค้าตามสภาพเดิมแล้วมา จำหน่าย.
               บทว่า วิบัติ ความว่า กสิกรรมย่อมมีผลน้อยบ้าง ถึงการขาดทุนบ้าง เพราะฝนไม่ตกและตกมากเกินไปเป็นต้นและพณิชยกรรม มีผลน้อยบ้าง ถึงการขาดทุนบ้าง เพราะความไม่ฉลาดเป็นต้น ในการดูแก้วมณีและทองเป็นต้น. โดยตรงกันข้าม ที่สมบูรณ์ย่อมมีผลมาก เหมือนอันเตวาสิกของจุลลก.
               คำว่า ฉันนั้นเหมือนกันแล ความว่า ฐานะคือกสิกรรมเมื่อวิบัติย่อมมีผลน้อยฉันใด แม้ฐานะคือการงานของฆราวาสก็ฉันนั้น. เพราะบุคคลผู้ไม่กระทำกรรมงามไว้ ตายแล้วย่อมบังเกิดในนรก. ได้ยินว่า คนที่พราหมณ์เลี้ยงไว้ คนหนึ่ง ชื่อมหาทัตตเสนาบดี. ในสมัยที่เขาจะตาย นรกปรากฏขึ้น.
               พวกพราหมณ์กล่าวถามว่า ท่านเห็นอะไร เขากล่าวว่า เห็นเรือนสีแดง เรือนเลือด.
               พราหมณ์กล่าวว่า ผู้เจริญ นั่นแหละพรหมโลก. เขาถามว่า ท่านผู้เจริญ พรหมโลกอยู่ที่ไหน. อยู่เบื้องบน. เขาพูดว่า ปรากฏแก่ข้าพเจ้า ณ เบื้องล่าง. ความจริง เรือนสีแดงปรากฏเบื้องล่าง มิได้ปรากฏเบื้องบน. เขาตายแล้วเกิดในนรก. พวกพราหมณ์คิดว่า นายคนนี้เห็นโทษในยัญของเรา ดังนี้ จึงได้เอาทรัพย์พันหนึ่งมาให้เพื่อจะได้นำติดตัวไป. ส่วนฐานะคือ กสิกรรมที่สมบูรณ์ย่อมมีผลมาก. เพราะบุคคลผู้ทำกรรมงามไว้ ตายแล้วย่อมบังเกิดในสวรรค์. พึงแสดงคุตติลวิมานกถาทั้งหมด. เหมือนอย่างว่า ฐานะคือพาณิชยกรรม เมื่อวิบัติย่อมมีผลน้อยฉันใด แม้ฐานะคือบรรพชากรรมของภิกษุผู้ไม่ทำให้บริบูรณ์ในศีล ประกอบการแสวงหาอันไม่ควร ก็ฉันนั้น. เพราะภิกษุทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อมไม่ได้สุขในฌานเป็นต้น ย่อมไม่ได้สุขในสวรรค์ และนิพพาน. ส่วนบรรพชากรรมที่สมบูรณ์ย่อมมีผลมาก. เพราะผู้ทำศีลให้บริบูรณ์ เจริญวิปัสสนาย่อมบรรลุพระอรหัต.
               คำว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พราหมณ์ทั้งหลาย ดังนี้ ความว่า มาณพย่อมทูลถามว่าข้าพระองค์ขอถามอะไร ณ ที่นี้ คือย่อมถามว่า พราหมณ์ทั้งหลายย่อมกล่าวว่า บรรพชิตชื่อว่าสามารถเพื่อบำเพ็ญธรรม ๕ ประการเหล่านี้ ย่อมไม่มี คฤหัสถ์เท่านั้นบำเพ็ญได้ ส่วนพระสมณโคดมย่อมตรัสบ่อยๆ ว่า มาณพ สำหรับคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ดังนี้ ย่อมไม่เปล่งวาจา ถึงบรรพชิตเท่านั้น เห็นจะไม่ทรงกำหนดการถามของข้าพระองค์ เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์ขอถามธรรม ๕ ประการ โดยมีจาคะเป็นสุดยอด (คือข้อท้าย).
               คำว่า ถ้าท่านไม่หนักใจ ดังนี้ ความว่า ถ้าท่านไม่มีความหนักใจเพื่อที่จะกล่าวในที่นี้โดยประการที่พวกพราหมณ์บัญญัติไว้นั้น. อธิบายว่า ถ้าไม่มีความหนักใจไรๆ ท่านก็จงกล่าว. มาณพกล่าวว่า ท่านพระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่หนักใจเลย ดังนี้ หมายเอาอะไร. ก็การกล่าวในสำนักของบัณฑิตเทียม ย่อมเป็นทุกข์. ท่านบัณฑิตเทียมเหล่านั้นย่อมให้เฉพาะโทษเท่านั้น ในทุกๆ บท ในทุกๆ อักษร.
               ส่วนบัณฑิตแท้ ฟังถ้อยคำแล้วย่อมสรรเสริญคำที่กล่าวถูก. เมื่อกล่าวผิด ในบรรดาบาลีบท อรรถและพยัญชนะคำใดๆ ผิด ย่อมให้คำนั้นๆ ให้ถูก.
               ก็ชื่อว่า บัณฑิตแท้เช่นกับพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมไม่มี. เพราะเหตุนั้น มาณพจึงกล่าวว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ณ ที่ที่พระองค์หรือท่านผู้เป็นเหมือนพระองค์ประทับนั่งอยู่ ข้าพระองค์ไม่มีความหนักใจเลย ดังนี้.
               บทว่า สัจจะ คือ พูดจริง.
               บทว่า ตบะ ได้แก่ การประพฤติตบะ.
               บทว่า พรหมจรรย์ ได้แก่ การเว้นจากเมถุน.
               บทว่า การสาธยาย ได้แก่ การเรียนมนต์.
               บทว่า จาคะ คือ การบริจาคอามิส.
               คำว่า จักเป็นผู้ให้ถึงความลามก คือ จักเป็นผู้ให้ถึงความไม่รู้.
               คำว่า ได้กล่าวคำนี้ ความว่า มาณพถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงข่มด้วยการเปรียบเหมือนแถวคนตาบอด เมื่อไม่อาจเพื่อตอบโต้คำนั้นได้ เมื่อจะอ้างถึงอาจารย์ เปรียบปานสุนัขอ่อนกำลัง ต้อนเนื้อให้ตรงหน้าเจ้าของแล้ว ตนเองก็อ่อนล้าไปฉะนั้น จึงได้กล่าวคำนั้นมีอาทิว่า พราหมณ์ดังนี้.
               คำว่า โปกขรสาติ นี้ ในคำว่า พราหมณ์เป็นต้นนั้น เป็นชื่อของพราหมณ์นั้น. เรียกว่าโปกขรัสสาติบ้างก็มี.
               ได้ยินว่า ร่างกายของพราหมณ์นั้นเหมือนบัวขาว งดงามเหมือนเสาระเนียดเงินที่ยกขึ้นในเทพนคร ส่วนศีรษะของพราหมณ์นั้นเหมือนทำด้วยแก้วอินทนิลสีดำ. แม้หนวดก็ปรากฏเหมือนแถวเมฆดำในดวงจันทร์ นัยน์ตาทั้งสองข้างเหมือนดอกอุบลเขียว. จมูกตั้งอยู่ดี บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนกล้องเงิน. ฝ่ามือฝ่าเท้าและปากงามเหมือนย้อมด้วยน้ำครั่ง. อัตตภาพของพราหมณ์ถึงความงามอันเลิศอย่างยิ่ง สมควรตั้งให้เป็นราชาในฐานะที่ไม่ได้ เป็นราชา เพราะเหตุนั้น ชนทั้งหลายจึงรู้จักพราหมณ์นั้นว่า โปกขรสาติ ด้วยประการดังนี้ เพราะพราหมณ์นี้เป็นผู้มีความสง่าอย่างนี้นั่นแล.
               อนึ่ง พราหมณ์นั้นเกิดในดอกบัว มิได้เกิดในท้องมารดา เพราะเหตุนั้น ชนทั้งหลายจึงรู้จักพราหมณ์นั้นว่า โปกขรสาติ เพราะนอนอยู่ในดอกบัวด้วยประการดังนี้.
               บทว่า โอปมัญญะ แปลว่า ผู้อุปมัญญโคตร.
               บทว่า ผู้เป็นใหญ่ในสุภควัน คือ เป็นใหญ่ในสุภควันโดยอุกฤษฏ์.
               บทว่า น่าหัวเราะทีเดียว คือ ควรหัวเราะทีเทียว.
               บทว่า เลวทรามทีเดียว ได้แก่ ลามกทีเดียว. ภาษิตนั้นๆ เท่านั้นชื่อว่าว่าง เพราะไม่มีประโยชน์และ ชื่อว่าเปล่าเพราะเป็นภาษิตว่าง.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะข่มสุภมาณพนั้นพร้อมทั้งอาจารย์ จึงตรัสคำว่า มาณพก็... หรือ ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า วาจาเหล่าไหนของสมณพราหมณ์เหล่านั้นประเสริญกว่า ดังนี้ ความว่า วาจาเหล่าไหนของสมณพราหมณ์เหล่านั้น ประเสริฐกว่า. อธิบายว่า เป็นวาจาน่าสรรเสริญ ดีกว่า.
               บทว่า สํมุจฺฉา แปลว่า ตามสมมติ คือ ตามโวหารของชาวโลก.
               บทว่า รู้แล้ว คือ ไตร่ตรองแล้ว. บทว่า พิจารณาแล้ว ได้แก่ รู้แล้ว.
               บทว่า ประกอบด้วยประโยชน์ คือ อาศัยเหตุ.
               คำว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ความว่า เมื่อความที่วาจาอันบุคคลไม่ละโวหารของชาวโลก ใคร่ครวญแล้ว รู้แล้ว กล่าวทำเหตุให้เป็นที่อาศัย เป็นวาจาประเสริฐมีอยู่.
               บทว่า อาวุโต สอดแล้ว แปลว่า ร้อยไว้แล้ว. บทว่า นิวุโต นุ่งแล้ว แปลว่า รัดไว้แล้ว.
               บทว่า โอผุโฏ ถูกต้องแล้ว แปลว่า ปกคลุมแล้ว. บทว่า ปริโยนทฺโธ รวบรัดแล้ว แปลว่า หุ้มห่อแล้ว.
               บททั้งหลายมีอาทิว่า คธิโต ผูกมัดแล้ว ดังนี้ มีเนื้อความกล่าวไว้แล้วทั้งนั้น.
               คำว่า พระโคดมผู้เจริญ ถ้าฐานะมีอยู่ ความว่า ถ้าเหตุนั้นมีอยู่.
               บทว่า สฺวาสฺส ไฟนั้น... พึงเป็น ความว่า เพราะไม่มีควันและขี้เถ้าเป็นต้น ไฟนั้นพึงมีเปลว มีสีและมีแสง.
               คำว่า ตถูปมาหํ มาณว มาณพ เราเปรียบเหมือนอย่างนั้น ความว่า เรากล่าวเปรียบปีติอันอาศัยกามคุณนั้น. อธิบายว่า เปรียบเหมือนไฟที่อาศัยหญ้าและไม้เป็นเชื้อติดโพลงอยู่ ย่อมเป็นไฟที่มีโทษ เพราะมีควันขี้เถ้าและถ่านฉันใด ปีติอันอาศัยกามคุณ ๕ เกิดขึ้นย่อมมีโทษ เพราะมีชาติ ชรา พยาธิ มรณะและโสกะเป็นต้นฉันนั้น.
               อธิบายว่า ไฟชื่อว่าเป็นของบริสุทธิ์ เพราะไม่มีควันเป็นต้น ซึ่งปราศจากเชื้อ คือหญ้าและไม้ฉันใด ปีติอันประกอบด้วยโลกุตตรและฌานทั้งสอง ชื่อว่าบริสุทธิ์ เพราะไม่มีชาติเป็นต้นฉันนั้น.
               บัดนี้ ธรรม ๕ ประการที่พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติด้วยจาคะอันเป็นหัวข้อแม้นั้น เพราะเหตุที่ไม่คงอยู่เพียง ๕ ประการเท่านั้นเป็นธรรมไม่หวั่นไหวตั้งอยู่ หามิได้ คือย่อมไม่ถึงพร้อมกับความอนุเคราะห์ เพราะเหตุนั้น เพื่อจะแสดงโทษนั้น จึงตรัสคำว่า มาณพ ธรรมเหล่านั้นฉันใด ดังนี้ เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า (ทาน) อันเป็นการอนุเคราะห์ คือ มีความอนุเคราะห์เป็นสภาวะ.
               คำว่า ท่านเห็นมีมากในที่ไหน นี้ เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า บรรพชิตนี้ชื่อว่า ผู้สามารถเพื่อบำเพ็ญธรรม ๕ ประการนี้ให้บริบูรณ์ ย่อมไม่มี คฤหัสถ์บำเพ็ญให้บริบูรณ์ได้ เพราะเหตุนั้น บรรพชิตเท่านั้นบำเพ็ญธรรม ๕ ประการนี้ให้บริบูรณ์ไม่ได้ คฤหัสถ์ชื่อว่าสามารถเพื่อบำเพ็ญให้บริบูรณ์ได้ ย่อมไม่มี จึงตรัสถามเมื่อให้มาณพกล่าวตามแนวทางนั้นนั้นแหละ.
               ในคำว่า เป็นผู้พูดจริง สม่ำเสมอร่ำไป หามิได้ ดังนี้เป็นต้น พึงเห็นความหมายอย่างนี้ว่า
               คฤหัสถ์ เมื่อเหตุอื่นไม่มีก็กระทำแม้มุสาวาทของผู้หลอกลวง. พวกบรรพชิตแม้เมื่อจะถูกตัดศีรษะด้วยดาบ ก็ไม่กล่าวกลับคำ.
               อนึ่ง คฤหัสถ์ไม่อาจรักษาสิกขาบทแม้สักว่าตลอดภายในสามเดือน. บรรพชิตเป็นผู้มีตบะ มีศีล มีตบะเป็นที่อาศัย ตลอดกาลเป็นนิจทีเดียว. คฤหัสถ์ย่อมไม่อาจกระทำอุโบสถกรรมสักว่า ๘ วันต่อเดือน บรรพชิตทั้งหลายเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ตลอดชีวิต. คฤหัสถ์เขียนแม้เพียงรัตนสูตรและมงคลสูตรไว้ในสมุดแล้วก็วางไว้. บรรพชิตทั้งหลายท่องบ่นเป็นนิจ. คฤหัสถ์ไม่อาจให้แม้สลากภัต (ให้เสมอไป) ไม่ให้ขาดตอน. บรรพชิตทั้งหลายเมื่อของอื่นไม่มี ก็ให้ก้อนข้าวแก่พวกกาและสุนัขเป็นต้น ย่อมใส่ในบาตรแม้ของภิกษุหนุ่มผู้รับบาตรนั่นเอง.
               คำว่า เรากล่าวธรรมเหล่านั้น (ว่าเป็นบริขาร) ของจิต ความว่า เรากล่าวธรรม ๕ ประการเหล่านั้นว่าเป็นบริวารของเมตตจิต.
               บทว่า ชาตวฑฺโฒ เกิดแล้ว เจริญแล้ว. แปลว่า ทั้งเกิดแล้วและเจริญแล้ว. ก็บุคคลใดเกิดในที่นั้น อย่างเดียวเท่านั้น (แต่) เติบโตที่บ้านอื่น หนทางในบ้านรอบๆ ย่อมไม่ประจักษ์อย่างถ้วนทั่วแก่บุคคลนั้น เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า ทั้งเกิดทั้งเติบโตแล้ว ดังนี้. ก็บุคคลใดแม้เกิดแล้ว เติบโตแล้ว แต่ออกไปเสียนาน หนทางก็ย่อมไม่ประจักษ์แจ้งโดยถ้วนทั่วแก่บุคคลนั้น เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า ตาวเทว อปสกฺกํ (ผู้ออกไปในขณะนั้น). อธิบายว่า ออกไปในขณะนั้นทันที.
               บทว่า ชักช้า ความว่า ชักช้าด้วยความสงสัยว่า ทางนี้หรือๆ ทางนี้.
               บทว่า ตกประหม่า ความว่า สรีระของใครๆ ผู้ถูกคนตั้งพันถามถึงอรรถอันสุขุม ย่อมถึงภาวะอันกระด้าง (คือตัวแข็ง) ฉันใด การถึงภาวะอันแข็งกระด้างฉันนั้น ย่อมไม่มีเลย.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความที่พระสัพพัญญุตญาณอันอะไรๆ ไม่กระทบกระทั่งได้ด้วยบทว่า วิตฺถายิตตฺตํ นี้. ก็ความกระทบกระทั่ง ความรู้พึงมีแก่บุรุษนั้นด้วยอำนาจมารดลใจเป็นต้น เพราะเหตุนั้น บุรุษนั้นพึงชักช้า หรือพึงตกประหม่า. แต่พระสัพพัญญุตญาณไม่มีอะไรกระทบกระทั่งได้ ท่านแสดงว่า ใครๆ ไม่อาจทำอันตรายแก่พระสัพพัญญุตญาณนั้น.
               บทว่า มีกำลัง ในคำนี้ว่า มาณพ คนเป่าสังข์ผู้มีกำลังแม้ฉันใด ดังนี้ ความว่า สมบูรณ์ด้วยกำลัง.
               บทว่า สงฺขธโม แปลว่า คนเป่าสังข์.
               บทว่า อปฺปกสิเรน ได้แก่ โดยไม่ยาก คือโดยไม่ลำบาก. ก็คนเป่าสังข์ผู้อ่อนแอ แม้เป่าสังข์อยู่ ก็ไม่อาจจะให้เสียงดังไปยังทิศทั้ง ๔ ได้ เสียงสังข์ของเขาไม่แผ่ไปโดยประการทั้งปวง. ส่วนของผู้มีกำลังย่อมแผ่ไป. เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่าผู้มีกำลัง. เมื่อกล่าวว่าด้วยเมตตา ดังนี้ ในคำว่า ด้วยเมตตาอันเป็นเจโตวิมุตติ นี้ ย่อมควรทั้งอุปจาร ทั้งอัปปนา. แต่เมื่อกล่าวว่า เจโตวิมุตฺติยา ย่อมควรเฉพาะอัปปนาเท่านั้น.
               คำว่า ยํ ปมาณกตํ กมฺมํ กรรมที่ทำไว้ประมาณเท่าใด. ความว่า ชื่อว่ากรรมที่ทำประมาณได้ เรียกว่ากามาวจร.
               ชื่อว่ากรรมที่ทำประมาณไม่ได้ เรียกว่ารูปาวจร. ในกรรมที่เป็นกามาวจรและอรูปาวจรแม้เหล่านั้น กรรมคือพรหมวิหารเท่านั้น ทรงประสงค์เอาในที่นี้. ก็พรหมวิหารกรรมนั้นเรียกว่ากระทำหาประมาณมิได้ เพราะกระทำให้เจริญไปด้วยการแผ่ล่วงพ้นประมาณ ไปยังทิศที่เจาะจงและไม่เจาะจง.
               คำว่า กามาวจรกรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ จักไม่คงอยู่ในรูปาวจรกรรมนั้น ความว่า กามาวจรกรรมนั้น ย่อมไม่ติด คือไม่ตั้งอยู่ในรูปาวจรกรรมนั้น.
               ท่านอธิบายไว้อย่างไร.
               ท่านอธิบายไว้ว่า กามาวจรกรรมนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องหรือตั้งอยู่ในระหว่าง แห่งรูปาวจรกรรมนั้น หรือแผ่ไปยังรูปาวจรกรรม และอรูปาวจรกรรมแล้ว ครอบงำถือเอาโอกาสสำหรับตนตั้งอยู่. โดยที่แท้ รูปาวจรกรรมเท่านั้นแผ่ไปยังกามาวจรกรรม เหมือนน้ำมากเอ่อท่วมน้ำน้อย ครอบงำถือเอาโอกาสสำหรับตนแล้วคงอยู่. รูปาวจรกรรมห้ามวิบากของกามาวจรกรรมนั้นแล้ว เข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหมด้วยตนเอง.
               คำที่เหลือในที่ทั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล.

               จบอรรถกถาสุภสูตรที่ ๙               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ พราหมณวรรค สุภสูตร ทรงโปรดสุภมาณพ จบ.
อ่านอรรถกถา 13 / 1อ่านอรรถกถา 13 / 704อรรถกถา เล่มที่ 13 ข้อ 709อ่านอรรถกถา 13 / 734อ่านอรรถกถา 13 / 734
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=13&A=11249&Z=11547
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=9&A=7993
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=9&A=7993
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๗  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :