ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 14 / 1อ่านอรรถกถา 14 / 741อรรถกถา เล่มที่ 14 ข้อ 754อ่านอรรถกถา 14 / 766อ่านอรรถกถา 14 / 853
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สฬายตนวรรค
ปุณโณวาทสูตร

               ๓. อรรถกถาปุณโณวาทสูตร               
               ปุณโณวาทสูตร ขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
               ในพระสูตรนั้น ความอยู่ผู้เดียว ชื่อว่า การหลีกเร้น.
               คำว่า ถ้าหากว่า นั้น ได้แก่ ตาและรูปนั้น.
               คำว่า เพราะความเพลินเกิด ทุกข์จึงเกิดขึ้น คือ การรวมเอาทุกข์ในขันธ์ ๕ ย่อมมีด้วยการรวมเอาความเพลินอันได้แก่ตัณหามาอยู่ด้วยกัน. ด้วยประการฉะนี้ ก็เป็นอันทรงทำให้วัฏฏะถึงที่สุดด้วยอำนาจแห่งสัจจะทั้ง ๒ คือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ในทวารทั้ง ๖ แล้วจึงทรงแสดง.
               ในนัยที่ ๒ ทรงทำวิวัฏฏะให้ถึงที่สุดด้วยอำนาจสัจจะ ๒ ข้อคือ นิโรธ มรรค แล้วจึงทรงแสดง. อนุสนธิที่แยกไว้โดยเฉพาะคือคำว่า และด้วยอาการอย่างนี้ ปุณณะเธอ. ครั้นทรงใส่เทศนาด้วยอำนาจวัฏฏะและวิวัฏฏะในพระอรหัตอย่างนี้ก่อนแล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงให้ท่านปุณณเถระเปล่งสีหนาทในฐานทั้ง ๗ จึงได้ตรัสคำว่า และด้วยอาการอย่างนี้ เธอ ดังนี้เป็นต้น.
               คำว่า ดุ คือ ดุร้าย ร้ายกาจ.
               คำว่า หยาบคาย คือ หยาบช้า.
               คำว่า ย่อมด่า คือ ย่อมด่าด้วยเรื่องสำหรับด่า ๑๐ อย่าง.
               คำว่า ย่อมตะคอก คือ ย่อมขู่ตะคอกว่า แกนี่เป็นสมณะได้อย่างไร ข้าจะเล่นงานแกอย่างนี้และอย่างนี้.
               คำว่า อย่างนี้ในกรณีนี้ คือ สิ่งอย่างนี้ ในกรณีนี้จะมีแก่ข้าพระพุทธเจ้า.
               คำว่า ด้วยกระบอง คือ ด้วยกระบองยาว ๔ ศอกหรือด้วยท่อนไม้และไม้ค้อน.
               คำว่า ด้วยศัสตรา คือ ด้วยอาวุธที่มีคมข้างเดียวเป็นต้น.
               คำว่า แสวงหาเครื่องประหารคือศัสตรา คือ แสวงหาศัสตราเครื่องคร่าชีวิต.
               ข้อนี้พระเถระกล่าวหมายถึงพวกภิกษุที่ฟังเรื่องไม่งามในวัตถุแห่งปาราชิกข้อที่ ๓ เกิดความสะอิดสะเอียนร่างกาย แล้วแสวงหาเครื่องคร่าชีวิตคือศัสตรา.
               คำว่า ข่มใจ ในคำว่า ด้วยความข่มใจและความเข้าไปสงบ นี้เป็นชื่อแห่งการสำรวมอินทรีย์เป็นต้น.
               จริงอยู่ ความสำรวมอินทรีย์ในคำว่า ข่มแล้วด้วยสัจจะเข้าถึงการข่มใจ ถึงที่สุดพระเวท อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว นี้ ท่านกล่าวว่าเป็นความข่มใจ. ปัญญาในคำว่า หากยังมีอะไรที่ยิ่งกว่า สัจจะ ทมะ จาคะ ขันติในกรณีนี้ นี้ ท่านกล่าวว่าเป็นความข่มใจ. อุโบสถกรรมในคำว่า ด้วยทาน ด้วยทมะ ด้วยสัญญมะ ด้วยการกล่าวคำจริง นี้ ท่านกล่าวว่า เป็นความข่มใจ. แต่ในพระสูตรนี้ พึงทราบว่า ความอดทน คือความข่มใจ. คำว่า ความเข้าไประงับ เป็นคำใช้แทนคำว่า ความข่มใจ นั้นเอง.
               คำว่า ครั้งนั้นแล ท่านปุณณะ ความว่า อยากทราบว่า ก็ท่านปุณณะ นี้เป็นใคร และทำไมจึงอยากไปในที่นั่น. ท่านรูปนี้ ก็คือชาวเมืองสุนาปรันตะนั่นแหละ. ก็ท่านกำหนดว่า ในกรุงสาวัตถี อยู่ไม่สบาย จึงอยากจะไปเมืองสุนาปรันตะนั้น.
               ต่อไปนี้ เป็นลำดับถ้อยคำในเรื่องนั้น.
               เล่ามาว่า ในแคว้นสุนาปรันตะ มีสองพี่น้องในหมู่บ้านพ่อค้าแห่งหนึ่ง ในสองพี่น้องนั้น บางทีพี่ชายก็นำเกวียน ๕๐๐ เล่มไปชนบทแล้วก็บรรทุกสินค้ามา. บางทีก็น้องชาย. ส่วนในตอนนี้ พี่ชายให้น้องชายอยู่เฝ้าบ้านแล้วตัวเองก็นำเอาเกวียน ๕๐๐ เล่ม เที่ยวไปตามหัวเมือง มาถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ พักกองเกวียนอยู่ใกล้ๆ พระเชตวัน กินอาหารมื้อเช้าแล้ว อันผู้ติดตามล้อมแล้วนั่งพักผ่อนตามสบาย.
               ก็แลสมัยนั้น ชาวกรุงสาวัตถีกินอาหารมื้อเช้าแล้ว อธิษฐานองค์อุโปสถ สวมเสื้อสะอาด ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น โน้มน้อมโอนเงื้อมไปยังที่ซึ่งมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยู่ แล้วพากันออกไปทางประตูทิศใต้ไปสู่พระเชตวัน. เมื่อเขาเห็นคนเหล่านั้น จึงถามชายคนหนึ่งว่า พวกนี้ไปไหนกัน. นี่นาย คุณไม่รู้อะไรเลยหรือ แก้วคือพระพุทธะ พระธรรม พระสงฆ์ เกิดขึ้นแล้วในโลก เพราะเหตุนี้ มหาชนนี้จึงพากันไปฟังธรรมกถาในสำนักของพระศาสดา.
               คำว่า พุทธะ ของชายคนนั้น ทำลายผิวหนังเป็นต้นเข้าไปจรดเยื่อกระดูก ตั้งอยู่. ต่อมา เขามีบริวารของตนแวดล้อมได้ไปสู่วิหารกับบริษัทนั้น ยืนอยู่ท้ายสุดของบริษัทฟังธรรมของพระศาสดาที่กำลังแสดงธรรมอยู่ด้วยพระสุรเสียงที่ไพเราะ แล้วเกิดความคิดอยากจะบวชขึ้นมา. เมื่อบริษัทที่พระตถาคตเจ้าทรงทราบเวลาแล้วส่งไปแล้ว ก็เข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ทูลอาราธนาเสวยพระกระยาหารในวันพรุ่ง ในวันที่สองให้สร้างปะรำ แต่งตั้งอาสนะ ถวายมหาทานแด่พระสงฆ์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นพระประมุข ในที่สุดภัตกิจ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาเสด็จกลับ รับประทานอาหารเช้าแล้วอธิฐานองค์อุโบสถ แล้วให้เรียกเจ้าหน้าที่คุมของมาบอกทุกสิ่งทุกอย่างว่า ของเท่านี้ได้จำหน่ายไปแล้ว ได้มอบหมายทุกสิ่งทุกอย่างว่า จงให้สมบัตินี้แก่น้องชายฉัน แล้วก็บวชในสำนักพระศาสดา ตั้งหน้าตั้งตาทำกัมมัฏฐาน.
               ครั้งนั้น เมื่อท่านเอาใจใส่ทำกัมมัฏฐานอยู่ กัมมัฏฐานก็ไม่ปรากฏ. ต่อมาท่านจึงคิดว่า ชนบทนี้ไม่สะดวกแก่เรา อย่างไรเสีย เราต้องรับกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดาแล้วไปสู่ถิ่นเดิมของเรา จึงเมื่อท่านเที่ยวบิณฑบาตในตอนเช้าแล้ว ออกจากการหลีกเร้นในตอนบ่ายแล้ว ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอให้ทรงบอกกัมมัฏฐาน ได้เปล่งสีหนาท ๗ อย่างแล้วจึงหลีกไป. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล ท่านพระปุณณะ ฯลฯ อยู่ ดังนี้.
               ก็ท่านปุณณะนี้อยู่ที่ไหน. ท่านอยู่ในที่ ๔ แห่ง. ตอนแรกท่านเข้าสู่แคว้นสุนาปรันตะแล้วเข้าไปสู่อัมพหัฏฐบรรพต เข้าสู่หมู่บ้านพ่อค้าเพื่อบิณฑบาต. ทีนั้นน้องชายจำท่านได้ จึงถวายอาหาร แล้วเรียนท่านว่า ท่านครับ ท่านไม่ต้องไปที่อื่น นิมนต์อยู่ที่นี้แหละ ให้ท่านรับคำแล้วก็นิมนต์ให้อยู่ในที่นั้นนั่นแหละ.
               ต่อจากนั้น ท่านได้ไปสู่วัดสมุทรคิรี. ในที่นั้นมีที่สำหรับเดินจงกรมที่เขาตัดเอาแผ่นหินที่เสียบเหล็กไว้ตรงปลายมาทำ. ไม่มีใครเดินเหยียบแผ่นหินนั้นได้. ในที่นั้น คลื่นทะเลชัดมากระทบแผ่นหินที่เสียบเหล็กตรงปลายเกิดเสียงดังมาก.
               พระเถระคิดว่า จงเป็นที่อยู่สำราญสำหรับผู้เอาใจใส่ทำกัมมัฏฐานเถิด แล้วก็อธิษฐานทำให้ทะเลสงบเสียง.
               ต่อจากนั้นท่านได้ไปยังมาตุลคิรี. ในที่นั้นมีพวกนกชุกชุม เสียงอึกทึกทั้งคืนทั้งวัน. พระเถระคิดว่า ที่นี้ไม่สำราญ ต่อจากนั้นก็ไปวัดมกุฬการาม. วัดนั้นอยู่ไม่ไกลไม่ใกล้หมู่บ้านพ่อค้ามากนัก ไปมาสะดวกเงียบ ไม่มีเสียง. พระเถระคิดว่า ที่นี้สำราญ จึงให้สร้างที่พักกลางคืนและกลางวันพร้อมกับที่จงกรม เป็นต้นแล้ว ก็เข้าจำพรรษาในที่นั้น. ท่านอยู่ในที่ ๔ แห่งดังกล่าวมานี้.
               ต่อมาอีกวันหนึ่ง ภายในพรรษานั้นเอง มีพ่อค้า ๕๐๐ คนตั้งใจว่า พวกเราจะไปทะเลอื่น จึงเอาสินค้าบรรทุกลงเรือ ในวันลงเรือ น้องชายของพระเถระเลี้ยงพระเถระแล้วรับสิกขาบทในสำนักพระเถระไหว้เสร็จแล้ว เมื่อจะไปได้เรียนท่านว่า ท่านขอรับ ขึ้นชื่อว่าทะเลหลวงมีอันตรายมากมายเหลือจะประมาณได้ ขอให้ท่านช่วยสอดส่องพวกกระผมด้วย แล้วก็ลงเรือ. เรือก็แล่นไปด้วยความเร็วสูงจนถึงเกาะหนึ่ง. พวกคนคิดว่า พวกเราจะกินอาหารเช้าแล้วก็พากันขึ้นเกาะ. บนเกาะนั้นอะไรๆ อย่างอื่น หามีไม่ มีแต่ป่าจันทน์ทั้งนั้น. ตอนนั้น คนหนึ่งเอามีดฟันต้นไม้ ก็รู้ว่าเป็นจันทน์แดง จึงกล่าวว่า นี่แน่ะ พวกเราไปสู่ทะเลอื่นเพื่อประโยชน์แก่ลาภ ขึ้นชื่อว่าลาภที่ยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ไม้ท่อนขนาดยาว ๔ นิ้ว ก็ราคาตั้งแสนแล้ว เราเอาแต่ของที่ควรแก่ของที่จะต้องเอาไปแล้วก็เอาไม้จันทน์บรรทุกให้เต็ม. พวกเขาก็กระทำอย่างนั้น.
               พวกอมนุษย์ที่สิ่งในป่าจันทน์โกรธ พากันคิดว่า คนพวกนี้มันทำป่าจันทน์ของพวกเราให้ฉิบหายแล้ว พวกเราจะฆ่าพวกมัน แล้วพูดว่า เมื่อพวกมันถูกฆ่าในที่นี้ ป่าทั้งหมดก็จะกลายเป็นซากศพไปหนึ่งป่าที่เทียว พวกเราจะให้เรือมันจมกลางทะเล. แล้วต่อมาในเวลาที่คนพวกนั้นขึ้นเรือแล้วแล่นไปได้ครู่เดียวเท่านั้น ก็ทำให้เกิดพายุลมอย่างแรง แล้วพวกอมนุษย์เหล่านั้นเองก็พากันแสดงรูปที่น่ากลัวต่างๆ นานา. พวกคนก็กลัวพากันไหว้เทพเจ้าของตนๆ. จูฬปุณณกุฎุมพี น้องชายพระเถระคิดว่า ขอให้พี่ชายของข้าจงเป็นที่พึ่งด้วยเถิดแล้ว ก็ยืนระลึกถึงพระเถระอยู่.
               ได้ยินว่า ในขณะนั้นเอง พระเถระพิจารณาดูก็ได้ทราบว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในความฉิบหาย จึงเหาะขึ้นสู่ฟ้ามายืนอยู่ตรงหน้า. พวกอมนุษย์เห็นพระเถระพูดว่า พระคุณเจ้าปุณณเถระมา แล้วพากันหลีกไป. พายุร้ายก็สงบทันที. พระเถระปลอบคนเหล่านั้นว่า ไม่ต้องกลัว แล้วถามว่า อยากจะไปไหนกัน. พวกกระผมจะไปที่เดิมของตัวเองนั่นแหละครับท่าน. พระเถระเหยียบแผ่นเรือแล้วอธิษฐานว่า จงไปสู่ที่ที่คนพวกนี้ต้องการ. พวกพ่อค้าเมื่อไปถึงที่ของตนแล้ว ก็เล่าเรื่องนั้นให้ลูกเมียฟังแล้วชวนว่า มาเถิด พวกเราจงถึงพระเถระเป็นที่พึ่งเถิด จึงทั้ง ๕๐๐ คนพร้อมกับพวกแม่บ้านของตนอีก ๕๐๐ คน ตั้งอยู่ในสรณะสาม ประกาศตัวเป็นอุบาสก. ต่อจากนั้นก็ให้ขนสินค้าลงจากเรือ แบ่งถวายพระเถระส่วนหนึ่ง เรียนท่านว่า ท่านครับ นี้เป็นส่วนของพระคุณท่าน. พระเถระตอบว่า อาตมาไม่มีกิจด้วยส่วนหนึ่งต่างหากหรอก แต่พวกคุณเคยเห็นพระศาสดาแล้วหรือ. ยังไม่เคยเห็นเลยท่าน. ถ้าอย่างนั้น ขอให้พวกคุณเอาส่วนนี้ไปสร้างโรงปะรำถวายพระศาสดา แล้วพวกคุณจะได้เห็นพระศาสดาด้วยอาการอย่างนี้. พวกนั้นก็รับว่า ดีแล้วท่าน แล้วก็เริ่มสร้างโรงปะรำด้วยส่วนนั้นและด้วยส่วนของตนอีกมาก.
               เล่ากันว่า แม้พระศาสดาก็ได้ทรงกระทำการบริโภคตั้งแต่เวลาเริ่มงาน. พวกคนยามได้เห็นแสงในเวลากลางคืนเข้าใจกันว่า มีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่. พวกอุบาสกช่วยกันสร้างโรงปะรำและเสนาสนะสำหรับพระภิกษุสงฆ์จนสำเร็จ แล้วเตรียมเครื่องทาน แล้วกราบเรียนพระเถระว่า พระคุณเจ้า พวกกระผมได้ทำกิจเสร็จแล้ว ขอให้พระคุณเจ้าโปรดทูลพระศาสดามาเถิด. ตอนบ่าย พระเถระไปถึงกรุงสาวัตถีด้วยฤทธิ์แล้วกราบทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ชาวหมู่บ้านพ่อค้าอยากเฝ้าพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์ได้โปรดกระทำอนุเคราะห์แก่พวกเขาเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้ว. พระเถระทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้วก็กลับไปยังถิ่นของตนตามเดิม.
               แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเรียกพระอานนทเถระมาสั่งว่า อานนท์ พรุ่งนี้พวกเราจะเที่ยวบิณฑบาตที่หมู่บ้านพ่อค้าในแคว้นสุนารันตะ เธอจงให้สลากแก่ภิกษุ ๔๙๙ รูป. พระเถระสนองพระพุทธบัญชาว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า บอกเรื่องนั้นแก่ภิกษุสงฆ์ แล้วพูดว่า ขอให้พวกภิกษุที่เที่ยวไปบิณฑบาตจงอย่าจับสลาก.
               ในวันนั้น ท่านกุณฑธานเถระได้จับสลากแรก. ฝ่ายชาวหมู่บ้านพ่อค้าทราบว่า นัยว่าพรุ่งนี้พระศาสดาจะเสด็จมาถึง จึงสร้างปะรำกลางบ้าน ตระเตรียมของถวายทานชั้นเลิศ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำการปฏิบัติพระสรีระตั้งแต่เช้าเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ประทับนั่งเข้าผลสมาบัติ. บัณฑุกัมพลสิลาสนะของท้าวสักกะเกิดร้อนขึ้นมา.
               ท้าวสักกะนั้นทรงพิจารณาว่า อะไรนี้ ทรงเห็นว่าพระศาสดาจะเสด็จไปแคว้นสุนาปรันตะ จึงรับสั่งเรียกพระวิศวกรรมมาสั่งว่า พ่อ วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จเที่ยวบิณฑบาต ระยะทางไกลประมาณสามร้อยโยชน์#- พ่อจงเนรมิตเรือนยอดไว้ ๕๐๐ หลังทำการเตรียมระยะทางเสด็จที่ท้ายสุดซุ้มประตูพระเชตวัน ตั้งไว้ให้พร้อม. พระวิศวกรรมนั้นได้กระทำอย่างนั้นแล้ว. เรือนยอดสำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้ามี ๔ มุข. ของสองพระอัศรสาวกมี ๒ มุข. ที่เหลือมีมุขเดียว.
____________________________
#- ๑ กมพุช. สามพันโยชน์

               พระศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฎี ทรงเข้าสู่เรือนยอดอันประเสริฐในหมู่เรือนยอดที่ตั้งไว้ตามลำดับ. เหล่าภิกษุ ๔๙๙ รูป เริ่มแต่พระอัครสาวกทั้งสองต่างก็ไปสู่เรือนยอด ๔๙๙ หลัง. มีเรือนยอดว่างอยู่หลังหนึ่ง. เรือนยอดทั้ง ๕๐๐ หลังลอยไปในอากาศ.
               พระศาสดาเสด็จถึงภูเขาชื่อสัจจพันธ์ แล้วทรงหยุดเรือนยอดไว้ในอากาศ. ที่ภูเขานั้น มีดาบสมิจฉาทิฐิ ชื่อว่าสัจจพันธ์ ทำให้มหาชนถือเอาความเห็นผิดเป็นผู้ถึงลาภเลิศและยศเลิศอยู่. ก็ภายในตัวดาบสนั้นมีอุปนิสัยแห่งพระอรหัต โชติช่วงอยู่เหมือนประทีปที่อยู่ในตุ่ม. ครั้นทรงเห็นดาบสนั้นแล้ว ทรงพระดำริว่า เราจะแสดงธรรมแก่เขา จึงเสด็จไปทรงแสดงธรรม. เมื่อทรงเทศน์จบ ดาบสก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์. อภิญญาของท่านก็มากับมรรคนั่นเอง. ท่านเป็นเอหิภิกษุ ทรงบาตรจีวรที่สำเร็จเพราะฤทธิ์แล้วเข้าสู่เรือนยอด.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปถึงหมู่บ้านพ่อค้าพร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ รูป ที่อยู่ในเรือนยอด ทรงทำให้ใครๆ มองไม่เห็นเรือนยอดแล้วเสด็จไปสู่หมู่บ้านพ่อค้า. พวกพ่อค้าได้ถวายทานใหญ่แก่หมู่ภิกษุซึ่งมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุข แล้วทูลอาราธนาพระศาสดาเสด็จไปยังมกุฬการาม. พระศาสดาทรงเข้าสู่โรงปะรำ. มหาชนรอเวลาจนพระศาสดาดับความกระวนกระวายเกี่ยวกับพระอาหารให้สงบ ต่างรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้วสมาทานองค์อุโบสถ์ถือของหอมและดอกไม้เป็นอันมากกลับมาวัดเพื่อต้องการฟังธรรม. พระศาสดาทรงแสดงธรรม. การหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องผูกเกิดแก่มหาชนแล้ว. ความโกลาหลเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ขนานใหญ่ได้มีแล้ว.
               เพื่อสงเคราะห์มหาชน พระศาสดาประทับ ๒-๓ วันในที่นั้นเอง. และก็ทรงยังอรุณให้ตั้งขึ้นในพระมหาคันธกุฎีนั่นแหละ. เมื่อประทับในที่นั้น ๒-๓ วันแล้วก็เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้านพ่อค้าแล้วตรัสสั่งให้พระปุณณเถระกลับว่า เธอจงอยู่ในที่นี้แหละ ในระหว่างทางมีแม่น้ำชื่อนิมมทา ได้เสด็จไปถึงฝั่งของแม่น้ำนั้น. นิมมทานาคราชถวายการต้อนรับพระศาสดา ทูลเสด็จเข้าสู่ภพนาคได้กระทำสักการะพระรัตนตรัยแล้ว. พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่นาคราชนั้นแล้ว ก็เสด็จออกจากภพนาค. นาคราชนั้นกราบทูลขอว่าได้โปรดประทานสิ่งที่พึงบำเรอแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงบทเจดีย์รอยพระบาท ไว้ที่ฝั่งแม่น้ำนิมมทา. รอยพระบาทนั้น เมื่อคลื่นซัดมาก็ถูกปิด เมื่อคลื่นเลยไปแล้วก็ถูกเปิด. กลายเป็นรอยพระบาทที่ถึงสักการะอย่างใหญ่. เมื่อพระศาสดาทรงออกจากนั้นแล้วก็เสด็จถึงภูเขาสัจจพันธ์ ตรัสกับพระสัจจพันธ์ว่า มหาชนถูกเธอทำให้จมลงในทางอบาย เธอต้องอยู่ในที่นี้แหละ แก้ลัทธิของพวกคนเหล่านี้เสีย แล้วให้พวกเขาดำรงอยู่ในทางพระนิพพาน. แม้ท่านพระสัจจพันธ์นั้นก็ทูลขอสิ่งที่จะต้องบำรุง. พระศาสดาก็ทรงแสดงรอยพระบาทไว้บนหลังแผ่นหินทึบ เหมือนประทับตราไว้บนก้อนดินเหนียวสดๆ ฉะนั้น. ต่อจากนั้นก็เสด็จไปถึงพระเชตวันทีเดียว. ท่านหมายเอาข้อความนี้จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ด้วยภายในพรรษานั้นเองดังนี้.
               คำว่า ปรินิพพานแล้ว คือ ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. มหาชนทำการบูชาสรีระของพระเถระตลอด ๗ วัน แล้วเอาไม้หอมเป็นอันมากมากองเผาสรีระ เก็บธาตุ (กระดูก) แล้วสร้างเจดีย์บรรจุ.
               คำว่า ภิกษุมากหลาย คือ พวกภิกษุที่อยู่ในที่ฌาปนกิจศพของพระเถระ.
               คำที่เหลือในที่ทุกแห่งล้วนแต่ตื้นๆ ทั้งนั้นแล.

               จบอรรถกถาปุณโณวาทสูตรที่ ๓               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สฬายตนวรรค ปุณโณวาทสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 14 / 1อ่านอรรถกถา 14 / 741อรรถกถา เล่มที่ 14 ข้อ 754อ่านอรรถกถา 14 / 766อ่านอรรถกถา 14 / 853
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=9641&Z=9745
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=10&A=6071
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=10&A=6071
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๙  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :