บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า มจฺฉริโน แปลว่า ผู้ประกอบด้วยความตระหนี่. จริงอยู่ คนบางคนไม่ยอมเหยียดมือออกไหว้แม้ภิกษุทั้งหลายในที่เป็นที่อยู่ของตน คือว่า อุบาสกคนหนึ่งไปในที่อื่นเข้าไปสู่วิหารไหว้โดยเคารพแล้ว ทำการทักทายปราศรัยกับภิกษุด้วยถ้อยคำอันไพเราะว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายย่อมไม่มาสู่ที่เป็นที่อยู่ของพวกกระผม ที่นั้นเป็นประเทศอันสมบูรณ์ พวกกระผมสามารถเพื่อทำการบำรุงพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายด้วยยาคูและภัตเป็นต้น. ภิกษุคิดว่า อุบาสกนี้มีศรัทธาจะสงเคราะห์พวกเราด้วยข้าวยาคูเป็นต้น. ลำดับนั้น พระเถระรูปหนึ่งเข้าไปบ้านนั้น เพื่อเที่ยวไปบิณฑบาต. ฝ่ายอุบาสกนั้นเห็นพระเถระนั้นแล้ว ย่อมเลี่ยงไปทางอื่น หรือเข้าไปสู่เรือน คิดว่า ถ้าพระเถระมาประจัญหน้า เราก็ต้องยกมือไหว้ แล้วก็ต้องถวายภิกษาแก่พระผู้เป็นเจ้า อย่ากระนั้นเลย เราจะไปด้วยการงานอะไรสักอย่างหนึ่ง ดังนี้แล้วหลบหลีกไป พระเถระเที่ยวไปสู่บ้านทั้งสิ้น เป็นผู้มีบาตรเปล่าเทียวออกมาแล้ว. ข้อนี้ชื่อว่า ความตระหนี่อย่างอ่อน (มุทุมัจฉริยะ). บุคคลแม้มิใช่ทายก ย่อมทำราวกะว่าเป็นทายก คือเป็นผู้ประกอบด้วยเหตุอันใดนั้น ในที่นี้ บทว่า กทริยา ความเหนียวแน่น นี้เป็นไวพจน์ของความตระหนี่นั่นแหละ เพราะว่า ความตระหนี่อย่างอ่อน ท่านเรียกว่ามัจฉริยะ. ส่วนความตระหนี่จัด ท่านเรียกว่า กัทริยะ. คำว่า ปริภาสกา ดีแต่ว่าเขา. คือเห็นภิกษุทั้งหลายยืนอยู่ที่ประตูบ้าน ก็จะคุกคามด้วยคำว่า พวกท่านไถนามาหรือ หรือหว่านข้าวมา จึงมาเร็วนัก แม้พวกเราก็ยังไม่ได้เพื่อตน จักได้อาหารเพื่อท่านแต่ที่ไหน ดังนี้เป็นต้น. คำว่า อนฺตรายกรา แปลว่า ทำการกีดขวาง คือเป็นผู้ทำอันตรายทั้งหลายของชนเหล่านี้ คือทำอันตรายสวรรค์ของทายก ทำอันตรายลาภของปฏิคาหก และทำลายตัวเอง. คำว่า สมฺปราโย ได้แก่ ปรโลก. คำว่า รติ ได้แก่ ความร่าเริงในกามคุณ ๕. คำว่า ขิฑฺฑา ได้แก่ ความสนุกสนาน ๓ อย่างมีความสนุกสนานทางกายเป็นต้น. คำว่า ทิฏฺเฐ ธมฺเม ส วิปาโก ได้แก่ นั่นเป็นวิบากในภพปัจจุบันซึ่งเป็นที่ๆ ตนเกิดแล้วๆ. คำว่า สมฺปราโย จ ทุคฺคติ ได้แก่ บุคคลเหล่านั้นย่อมเข้าถึงยมโลก เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภพหน้าก็เป็นทุคติ. คำว่า วทญฺญู รู้ถ้อยคำ. ความว่า ภิกษุทั้งหลายยืนอยู่ที่ประตูบ้าน ถึงจะเป็นผู้นิ่งแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ชื่อว่าย่อมกล่าวว่า ขอพวกท่านจงให้ภิกษาเพื่อประโยชน์ ดังนี้ คือว่า ชนเหล่าใดย่อมแบ่งไทยธรรมโดยกล่าวว่า พวกเราจะหุงภัต ชนพวกนี้ย่อมไม่หุง เมื่อเราไม่หุงอยู่ พวกภิกษุจักได้ภัตแต่ที่ไหน ดังนี้ เพราะเหตุนั้น ชนเหล่านั้นจึงชื่อว่าวทัญญู แปลว่า รู้ถ้อยคำ. คำว่า ปกาเสนฺติ ย่อมปรากฏ คือย่อมรุ่งโรจน์ด้วยรัศมีแห่งวิมาน. คำว่า ปรสมฺภเตสุ แปลว่า โภคทรัพย์ที่ผู้อื่นหาสะสมไว้ ได้แก่ที่ผู้อื่นรวบรวมไว้. คำว่า ทั้งภพหน้าก็เป็นสุคติ ความว่า สัมปรายภพที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วอย่างนี้ว่า เอเต มคฺคา ดังนี้ ชื่อว่าสุคติ. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า เมื่อชนเหล่านั้นแม้ทั้งสองพวกเคลื่อนแล้วจากที่นั้น ภพหน้าอีก ย่อมเป็นทุคติและสุคติ ดังนี้แล. จบอรรถกถามัจฉริสูตรที่ ๙ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต อาทิตตวรรคที่ ๕ มัจฉริสูตรที่ ๙ จบ. |