ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 652อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 658อ่านอรรถกถา 15 / 667อ่านอรรถกถา 15 / 956
อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค พราหมณสังยุตต์ อรหันตวรรคที่ ๑
สุนทริกสูตรที่ ๙

               อรรถกถาสุนทริกสูตรที่ ๙               
               ในสุนทริกสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า สุนฺทริกภารทฺวาโช ได้แก่ ผู้มีชื่ออย่างนั้นเพราะบูชาไฟที่ฝั่งแม่น้ำ ชื่อว่า สุนทุริกา.
               บทว่า สุนฺทริกาย ได้แก่ แม่น้ำมีชื่ออย่างนั้น.
               บทว่า อคฺคึ ชุหติ ได้แก่ ให้ไฟโพลงขึ้นด้วยการใส่ของบูชา.
               บทว่า อคฺคิหุตฺตํ ได้แก่ เข้าไปยังโรงไฟด้วยการขัดสีฉาบทา และพลีกรรมเป็นต้น.
               บทว่า โก นุโข อิมํ หพฺยเสสํ ภุญฺเชยฺย ความว่า
               ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นเห็นข้าวปายาสที่เหลือจากการบูชาไฟแล้วคิดว่า ข้าวปายาสที่ใส่ลงในไฟอันมหาพรหมบริโภคก่อนแล้ว แต่ข้าวปายาสนี้ยังเหลืออยู่ ถ้าว่าเราพึงให้ข้าวปายาสนั้นแก่พราหมณ์ผู้เกิดแต่ปากพระพรหม เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้บุตรพร้อมทั้งบิดาก็เป็นผู้ที่เราเลี้ยงอิ่มหนำสำราญแล้ว และทางไปพรหมโลกก็เป็นอันเราทำให้บริสุทธิ์ดีแล้ว.
               สุนทริกภารทวาชพราหมณ์นั้นลุกจากอาสนะ เหลียวแลดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบเพื่อจะดูพราหมณ์ ด้วยคิดว่า ใครหนอควรบริโภคข้าวปายาสอันเหลือจากการบูชานี้.
               บทว่า รุกฺขมูเล ความว่า ที่โคนต้นไม้ใหญ่ในไพรสณฑ์นั้น.
               บทว่า สสีสํ ปารุตํ นิสินฺนํ ความว่า ประทับนั่งคลุมพระวรกายพร้อมทั้งพระเศียร.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงประทับนั่ง ณ ที่นั้น.
               ตอบว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลกในเวลาใกล้รุ่ง เห็นพราหมณ์นี้แล้วทรงพระดำริว่า พราหมณ์นี้ถือข้าวปายาสอันเลิศเห็นปานนี้เอาไปเผาไฟ ด้วยตั้งใจจะให้มหาพรหมบริโภค ชื่อว่าทำสิ่งที่ไร้ผล ฯลฯ เราจะให้มรรค ๔ ผล ๔.
               เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสด็จลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ทีเดียว ทรงชำระพระวรกายเสร็จแล้ว ทรงถือบาตรจีวร เสด็จไปประทับนั่ง ณ โคนต้นไม้นั่นโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไร พระองค์จึงทรงคลุมตลอดพระเศียร.
               ตอบว่า เพื่อป้องกันหิมะตกและลมหนาว.
               พระตถาคตทรงสามารถอดทนหิมะตกและลมหนาวนั้นได้ แต่ถ้ามิได้ทรงนั่งคลุมพระวรกาย พราหมณ์จำได้แต่ไกลก็จะกลับเสีย. เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะไม่ได้พูดจากัน ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระดำริว่า เมื่อพราหมณ์มา เราจักเปิดศีรษะ ทีนั้นพราหมณ์ก็จะเห็นเรา จักได้พูดจากัน เราจักแสดงธรรมตามแนวที่พูดจากันแก่พราหมณ์ดังนี้ จึงได้ทรงทำอย่างนั้นเพื่อจะได้พูดจากัน.
               บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า พราหมณ์คิดว่า ท่านผู้นี้คลุมตลอดศีรษะประกอบความเพียรคืนยังรุ่ง เราจักถวายทักษิโณทกแล้วถวายข้าวปายาสที่เหลือจากการบูชาไฟนี้แก่ท่านผู้นี้ ดังนี้ มีความสำคัญว่าท่านเป็นพราหมณ์ จึงเข้าไปหา.
               บทว่า มุณฺโฑ อยํ ภวํ มุณฺฑโก อยํ ภวํ ความว่า พอพระผู้มีพระภาคเจ้าเปิดพระเศียร พราหมณ์เห็นพระองค์มีผมสั้น จึงกล่าวว่า ผู้นี้เป็นสมณะโล้น. เมื่อตรวจดูตระหนักยิ่งกว่านั้น ก็มิได้เห็นแม้ปลายผมพอจะไหวได้ จึงกล่าวติว่า สมณะโล้น.
               บทว่า ตโตว ได้แก่ จากประเทศที่ตนยืนเห็นนั้นแหละ.
               บทว่า มุณฺฑาปิ หิ ความว่า ด้วยเหตุบางอย่าง พราหมณ์มีศีรษะโล้นก็มี.
               บทว่า มา ชาตึ ปุจฺฉ ความว่า ถ้าท่านหวังว่าทานมีผลมาก ก็อย่าถามถึงชาติเลย. เพราะชาติไม่ใช่เหตุแห่งความเป็นพระทักขิไณยบุคคล.
               บทว่า จรณญฺจ ปุจฺฉ ความว่า อีกอย่างหนึ่ง จงถามถึงความประพฤติ คือประเภทแห่งคุณมีศีลเป็นต้น เพราะข้อนั้นเป็นเหตุแห่งความเป็นพระทักขิไณยบุคคล.
               บัดนี้ เมื่อจะทรงทำความนั้นให้แจ่มแจ้งแก่พราหมณ์นั้น จึงตรัสว่า กฏฺฐา หเว ชายติ ชาตเวโท เป็นต้น.
               ในข้อนั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้
               ในที่นี้ไฟย่อมเกิดจากไม้ และไฟที่เกิดจากไม้มีศาลาเป็นต้นนั้น มิได้ทำหน้าที่ของไฟ ไฟที่เกิดจากไม้มีรางน้ำดื่มเป็นต้น มิได้ทำหน้าที่ของไฟ แต่ไฟซึ่งเกิดแต่ที่ใดที่หนึ่งก็ตาม ย่อมทำหน้าที่ของไฟแท้ด้วยคุณสมบัติมีเปลวของตนเป็นต้น. ด้วยประการฉะนี้ ผู้ที่เกิดในตระกูลพราหมณ์เป็นต้น ย่อมเป็นทักขิไณยบุคคล ผู้ที่เกิดในตระกูลจัณฑาลเป็นต้น เป็นทักขิไณยบุคคลไม่ได้.
               อีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่เกิดในตระกูลต่ำก็ตาม ผู้ที่เกิดในตระกูลสูงก็ตาม เป็นมุนีผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว มีความเพียร กำจัดโทษด้วยหิริ เป็นผู้รู้ทั่วถึงเหตุ ย่อมเป็นผู้มีชาติ คือเป็นทักขิไณยบุคคลสูงสุด ด้วยคุณสมบัติซึ่งมีความเพียรและหิริเป็นประธานนี้.
               ด้วยว่า เขาย่อมทรงไว้ซึ่งคุณทั้งหลายด้วยความเพียร ย่อมหักห้ามโทษทั้งหลายด้วยหิริ.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า มุนิ ในที่นี้ ได้แก่ผู้ประกอบด้วยโมนธรรม (ความเป็นผู้นิ่ง).
               บทว่า ธิติมา ได้แก่ มีความเพียร.
               บทว่า อาชานีโย ได้แก่ รู้ถึงเหตุ.
               บทว่า หิรินิเสโธ ได้แก่ ห้ามจากความชั่วด้วยหิริ.
               บทว่า สจฺเจน ทนฺโต ได้แก่ ฝึกตนด้วยปรมัตถสัจจะ.
               บทว่า ทมสา อุเปโต ได้แก่ เข้าถึงด้วยการฝึกอินทรีย์.
               บทว่า เวทนฺตคู ความว่า ถึงที่สุดแห่งเวท คือมรรค ๔ หรือถึงที่สุดแห่งกิเลสด้วยเวทคือมรรค ๔.
               บทว่า วุสิตพฺรหฺมจริโย ได้แก่ อยู่จบมรรคพรหมจรรย์.
               บทว่า ยญฺญูปนีโต ได้แก่ น้อมนำยัญหรือจัดแจงยัญ.
               บทว่า ตมุปวฺหเยถ ความว่า ผู้ที่จัดแจงยัญนั้น ชื่อว่าบูชาพราหมณ์นั้น คือพราหมณ์โดยปรมัตถ์.
               ก็คำว่า ข้าเรียกคือเรียกพระอินท์ เรียกพระโสมะ เรียกพระวรุณ เรียกพระอีสานะ เป็นคำเรียกร้องที่ไร้ประโยชน์.
               บทว่า กาเลน ความว่า พราหมณ์เมื่อแสดงการบูชา พึงบูชาพราหมณ์นั้นภายในเวลาเที่ยงเท่านั้น ด้วยคำว่า ถึงเวลาแล้วเจ้าข้า ภัตตาหารสำเร็จแล้ว.
               บทว่า โส ชุหติ ทกฺขิเณยฺเย ความว่า ผู้ใดนิมนต์พระขีณาสพมา ถวายทักขิณาคือปัจจัยสี่ในพระขีณาสพนั้น ผู้นั้นชื่อว่าบูชาพระทักขิไณยบุคคลในกาลด้วยประการฉะนี้ มิใช่ใส่เข้าในไฟซึ่งไม่มีจิตใจ.
               พราหมณ์ฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยประการฉะนี้ เลื่อมใสแล้ว บัดนี้ เมื่อจะทำความเลื่อมใสของตนให้แจ่มแจ้ง จึงกราบทูลว่า อทฺธา สุยิฏฺฐํ เป็นต้น.
               ข้อนั้นมีใจความดังต่อไปนี้
               การบูชาของข้าพระองค์นี้ บัดนี้ จักเป็นการบูชาด้วยดี เซ่นสรวงด้วยดีแน่แท้ แต่เมื่อก่อน ข้าพระองค์เอาเผาไฟเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์.
               บทว่า อญฺโญ ชโน ได้แก่ ปุถุชนผู้อันธพาลพูดอยู่ว่า เราเป็นพราหมณ์ เราเป็นพราหมณ์.
               บทว่า หพฺยเสสํ ได้แก่ เหลือจากการบูชา.
               คำว่า ภุญฺชตุ ภวํ เป็นต้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในสูตรก่อน.
               บทว่า น ขฺวาหํ ตัดเป็น น โข อหํ.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนั้น.
               ตอบว่า เล่ากันมาว่า พอพราหมณ์น้อมโภชนะนั้นเข้าไปเท่านั้น เทวดาในทวีปใหญ่ ๔ ทวีปน้อย ๒,๐๐๐ ถือเอาดอกไม้ผลไม้และเนยใสเนยข้นน้ำมันน้ำผึ้งน้ำอ้อยเป็นต้น ด้วยสำคัญว่าพระศาสดาจักเสวย จึงถือเอาโอชะที่ให้เกิดด้วยอานุภาพอันเป็นทิพย์ใส่เข้า เหมือนบีบรวงผึ้งถือเอาน้ำผึ้ง เพราะฉะนั้น โภชนะนั้นจึงถึงความเป็นของละเอียด. ก็โภชนะนั้นเป็นวัตถุหยาบสำหรับมนุษย์ ฉะนั้น จึงไม่ถึงความย่อยไปโดยชอบสำหรับมนุษย์เหล่านั้น เพราะเป็นวัตถุหยาบนั่นเอง.
               แต่ผสมพืช ๓ อย่างลงในนมโค โภชนะนั้นจึงกลายเป็นเจือด้วยของหยาบ.
               อนึ่ง โภชนะนั้นเป็นวัตถุละเอียดสำหรับหมู่เทพ เพราะฉะนั้น จึงไม่ถึงความย่อยไปโดยชอบสำหรับเทวดาเหล่านั้น เพราะเป็นวัตถุละเอียด. แม้ในท้องของพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสกก็ไม่ย่อยไป. แต่พระขีณาสพผู้ได้สมาบัติแปด พึงย่อยไปด้วยอำนาจสมาบัติ. แต่สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงย่อยไปด้วยเตโชธาตุเกิดแต่กรรมตามปกติอย่างเดียว.
               บทว่า อปฺปหริเต แปลว่า ปราศจากของเขียว.
               ก็ถ้าพึงใส่ลงในหญ้าเขียว หญ้าทั้งหลายก็จะพึงเน่าด้วยข้าวปายาสที่ละเอียด ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ล่วงละเมิดภูตคามสิกขาบท เพราะฉะนั้น จึงตรัสอย่างนี้. แต่ควรใส่เข้าในที่มีหญ้าต้นใหญ่ๆ สูงประมาณแค่คอ.
               บทว่า อปฺปาณเก ความว่า ด้วยว่าเมื่อใส่ลงในน้ำน้อยที่มีตัวสัตว์ สัตว์ก็จะตาย เพราะน้ำนั้น จึงตรัสอย่างนั้น แต่ที่ใดมีน้ำลึกมาก แม้เมื่อใส่ตั้ง ๑๐๐ ถาด ๑,๐๐๐ ถาด น้ำย่อมไม่เสีย ควรใส่ในน้ำเช่นนั้น.
               บทว่า โอปิลาเปสิ ความว่า ให้จมลงพร้อมกับถาดทอง.
               บทว่า วิจิฎายติ วิฏิจิฏายติ ความว่า ย่อมทำเสียงอย่างนั้น.
               ถามว่า ก็นั่นเป็นอานุภาพของข้าวปายาส หรือเป็นอานุภาพของพระตถาคต.
               ตอบว่า เป็นอานุภาพของพระตถาคต.
               ก็พราหมณ์นี้ให้ข้าวปายาสจมลงแล้ว ก็จะเดินนอกทาง ไม่มายังสำนักพระศาสดา เดินเลยไป. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระดำริว่า พราหมณ์เห็นข้ออัศจรรย์นี้แล้วจักมาสู่สำนักของเรา เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะทำลายการยึดถือมิจฉาทิฏฐิของเขาด้วยพระธรรมเทศนา ให้หยั่งลงในพระศาสนา ให้ดื่มน้ำอมฤตดังนี้ แล้วได้ทรงกระทำอย่างนั้นด้วยกำลังอธิษฐาน.
               บทว่า ทารุสมาทหาโน ได้แก่ เผาไม้.
               บทว่า พหิทฺธา หิ เอตํ ความว่า ชื่อว่าการเผาไม้นี้ มีภายนอกแต่อริยธรรม ถ้าความบริสุทธิ์พึงมีด้วยการเผาไม้นี้ พวกเผาป่าเป็นต้นเผาไม้เป็นอันมาก ก็จะพึงบริสุทธิ์ก่อนเขา.
               บทว่า กุสลา ได้แก่ ผู้ฉลาดในขันธ์เป็นต้น.
               บทว่า อชฺฌตฺตเมว ชลยามิ โชตึ ความว่า เราจะยังไฟคือญาณให้โพลงภายในตน คือในสันดานของตน.
               บทว่า นิจฺจคฺคินี ได้แก่ มีไฟโพลงเป็นนิตย์ ด้วยสัพพัญญุตญาณอันเนื่องด้วยอาวัชชนจิต.
               บทว่า นิจฺจสมาหิตตฺโต ได้แก่ ผู้มีจิตตั้งอยู่โดยชอบเป็นนิตย์.
               บทว่า พฺรหฺมจริยํ จรามิ ได้แก่ พระองค์ทรงยึดถือพรหมจรรย์ซึ่งทรงประพฤติที่โพธิมณฑลสถาน จึงตรัสอย่างนี้.
               บทว่า มาโน หิ เต พฺราหฺมณ ขาริภาโร ความว่า ภาระ คือหาบอันบุคคลนำไปด้วยคอแม้อยู่ข้างบน ก็ย่อมถูกต้องกับแผ่นดินในที่ที่เหยียบไปๆ ฉันใด มานะที่ยกขึ้นเพราะอาศัยสิ่งที่ถือกันมีชาติโคตรตระกูลเป็นต้นฉันนั้น เมื่อยังความริษยาให้เกิดขึ้นที่นั้นๆ ย่อมให้จมลงในอบาย ๔.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า พราหมณ์ ก็มานะของเธอเป็นดังภาระคือหาบ.
               บทว่า โกโธ ธูโม ความว่า ความโกรธ ชื่อว่าเป็นดังควันไฟ เพราะอรรถว่าเป็นความเศร้าหมองแห่งไฟคือญาณของเธอ. เพราะเหตุนั้นนั่นแล ไฟคือญาณอันเศร้าหมองของเธอ จึงไม่รุ่งเรือง.
               ด้วยบทว่า ภสฺมนิมฺโมสวชฺชํ ท่านแสดงว่า มุสาวาท ชื่อว่าขี้เถ้า เพราะอรรถว่าปราศจากโอชะ. ท่านอธิบายว่า เหมือนอย่างว่า ไฟที่ขี้เถ้าปิดไว้ ย่อมไม่โชติช่วงฉันใด ญาณของเธออันมุสาวาทปิดไว้ก็ฉันนั้น.
               ด้วยคำว่า ชิวฺหา สุชา ท่านกล่าวว่า ท่านมีทัพพีที่ทำด้วยทองเงินโลหะไม้และดินอย่างใดอย่างหนึ่งไว้เพื่อจะบูชายัญฉันใด เรามีลิ้นใหญ่เป็นดุจทัพพีเครื่องบูชาเพื่อประโยชน์แก่การบูชาธรรมฉันนั้น.
               บทว่า หทยํ โชติฏฺฐานํ ความว่า หทัยของสัตว์ทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งกองกูณฑ์ ด้วยอรรถว่าเป็นที่ตั้งแห่งการบูชาธรรมของเรา เหมือนหทัยของท่านเป็นที่ตั้งแห่งกองกูณฑ์ที่ฝั่งแห่งแม่น้ำ.
               บทว่า อตฺตา ได้แก่ จิต.
               บทว่า ธมฺโม รหโท ความว่า ท่านบำเรอไฟมีร่างกายเปื้อนด้วยควันขี้เถ้าและเหงื่อ ลงอาบน้ำในแม่น้ำสุนทริกาฉันใด เราไม่ต้องการด้วยห้วงน้ำภายนอกเช่นแม่น้ำสุนทริกา แต่เรามีธรรมคือมรรคมีองค์ ๘ เป็นห้วงน้ำ เราให้สัตว์ ๑๐๐ บ้าง ๑,๐๐๐ บ้าง ๘๔,๐๐๐ บ้าง ให้อาบในธรรมคือมรรคมีองค์ ๘ นั้นพร้อมๆ กัน ฉันนั้น.
               ด้วยบทว่า สีลติตฺโถ ท่านแสดงว่า ปาริสุทธิสีล ๔ เป็นท่าแห่งห้วงน้ำคือธรรมของเรานั้น.
               บทว่า อนาวิโล ความว่า แม่น้ำสุนทริกาของท่าน เมื่อคน ๔-๕ คนอาบพร้อมกันมีทรายทั้งข้างล่างข้างบนขุ่นมัวฉันใด ห้วงน้ำของเราหาเป็นเช่นนั้นไม่ แม้เมื่อสัตว์หลายพันลงไปอาบห้วงน้ำนั้นก็ไม่ขุ่นมัวคงใสอยู่.
               บทว่า สพฺภิ สตํ ปสฏฺโฐ ความว่า ธรรมของบัณฑิตทั้งหลายอันพวกบัณฑิตสรรเสริญ.
               อีกอย่างหนึ่ง ธรรมนั้นของสัตบุรุษทั้งหลาย ท่านเรียกว่าสัพภิ เพราะอรรถว่าสูงสุด. ท่านเรียกว่าปสัฏฐะ เพราะบัณฑิตสรรเสริญ.
               บทว่า ตรนฺติปารํ ได้แก่ ถึงฝั่ง คือพระนิพพาน.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงยกองค์แห่งห้วงน้ำคืออริยมรรคขึ้นแสดง จึงตรัสคำว่า สจฺจํ ธมฺโม ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สจฺจํ ได้แก่ วจีสัจ. ด้วยบทว่า ธรรม นี้ทรงแสดงสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ด้วยบทว่า สํยโม นี้ ทรงหมายเอาสัมมากัมมันตะและสัมมาอาชีวะ.
               อีกอย่างหนึ่ง ด้วยบทว่า สจฺจํ นี้ ทรงหมายเอามรรคสัจ ธรรมคือมรรคสัจนั้น โดยอรรถได้แก่สัมมาทิฏฐิ.
               สมจริงดังคำที่ตรัสไว้ว่า สัมมาทิฏฐิเป็นทั้งตัวมรรค เป็นทั้งตัวเหตุ.
               แต่เมื่อหมายเอาสัมมาทิฏฐิ ก็ทรงหมายเอาสัมมาสังกัปปะเหมือนกัน เพราะมีคติเหมือนสัมมาทิฏฐินั้น. ด้วยบทว่า ธมฺโม นี้ ทรงหมายเอาสัมมาวายามะ สัมมาสติและสัมมาสมาธิ. ด้วยบทว่า สํยโม นี้ ทรงหมายเอาสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะและสัมมาอาชีวะ รวมความว่า ทรงแสดงมรรคมีองค์ ๘ ด้วยประการฉะนี้.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สจฺจํ ได้แก่ ปรมัตถสัจ. ปรมัตถสัจนั้นโดยความได้แก่พระนิพพาน. ด้วยบทว่า ธมฺโม ท่านหมายเอาองค์ ๕ คือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ด้วยบทว่า สํยโม หมายเอาองค์ ๓ คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ย่อมเป็นอันท่านแสดงมรรคมีองค์ ๘ แม้ด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า พฺรหฺมจริยํ นี้ก็คือ ชื่อว่าพรหมจรรย์.
               บทว่า มชฺเฌ สิตา ได้แก่ เว้นสัสสตทิฏฐิและอุทเฉททิฏฐิ อาศัยอยู่ตรงกลาง.
               บทว่า พฺรหฺมปตฺติ ได้แก่ ถึงความเป็นผู้ประเสริฐ.
                อักษรในคำว่า สตุชฺชุภูเตสุ นโม กโรหิ นี้ กระทำบทสนธิ. อธิบายว่า ท่านนั้นจงกระทำความนอบน้อมในพระขีณาสพทั้งหลายผู้ตรง.
               บทว่า ตมหํ นรํ ธมฺมสารีติ พฺรูมิ ความว่า เราเรียกบุคคลผู้ปฏิบัติอย่างนี้นั้นว่า ผู้นี้เป็นธรรมสารี และว่าผู้นี้ปฏิบัติเพื่อธรรมสารี หรือว่าผู้นี้ละอกุศลธรรมด้วยกุศลธรรมตั้งอยู่ ดังนี้.

               จบอรรถกถาสุนทริกสูตรที่ ๙               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค พราหมณสังยุตต์ อรหันตวรรคที่ ๑ สุนทริกสูตรที่ ๙ จบ.
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 652อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 658อ่านอรรถกถา 15 / 667อ่านอรรถกถา 15 / 956
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=5411&Z=5492
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=11&A=5735
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=11&A=5735
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๘  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :