ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 819อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 822อ่านอรรถกถา 15 / 826อ่านอรรถกถา 15 / 956
อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ยักขสังยุต
ปุนัพสุสูตรที่ ๗

               อรรถกถาปุนัพพสุสูตรที่ ๗               
               พึงทราบวินิจฉัยในปุนัพพสุสูตรที่ ๗ ต่อไปนี้ .
               บทว่า เตน โข ปน สมเยน ได้แก่ สมัยไหน. สมัยดวงอาทิตย์ตก.
               ได้ยินว่า ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่มหาชน ภายหลังเสวยพระกระยาหาร ทรงส่งมหาชนแล้ว สรงสนานในซุ้มลงสรง ประทับนั่ง. ตรวจดูโลกธาตุทางทิศตะวันออก บนบวรพุทธาสนะที่เขาจัดไว้ในบริเวณพระคันธกุฎี.
               ครั้งนั้น พวกภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุลและบิณฑบาตเป็นวัตร จาริกไปรูปเดียวหรือสองรูปเป็นต้น ออกจากที่พักกลางวันและที่อยู่ของตนๆ แล้ว มาถวายบังคมพระทศพล นั่งประหนึ่งวงอยู่ด้วยม่านแดง.
               ครั้งนั้น พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของภิกษุเหล่านั้น จึงตรัสธรรมีกถาประกอบด้วยนิพพาน.
               บทว่า เอวํ โตเสสิ ความว่า ได้ยินว่า นางยักษิณีมารดาปุนัพพสุนั้น อุ้มธิดา จูงบุตร กำลังแสวงหาอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำลายและน้ำมูกเป็นต้นที่ริมกำแพงและริมคูหลังพระเชตวัน ไปถึงซุ้มประตูพระเชตวันโดยลำดับ.
               ก็พระสุรเสียงของพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่ว่า อานนท์ เธอนำบาตรมาเถิด นำจีวรมาเถิด จงให้ทานแก่คนกินเดนเถิดดังนี้ แผ่ไปโดยรอบได้ประมาณ ๑๒ ศอกเท่านั้น. ถ้าบริษัทนั่งอยู่ถึงที่สุดจักรวาล พระสุรเสียงของพระองค์ผู้ทรงแสดงธรรมอยู่ ย่อมไปถึงบริษัท ย่อมไม่เลยออกไปภายนอกบริษัท แม้เพียงองคุลีหนึ่งด้วยพระดำริว่า พระสุรเสียงอันไพเราะอย่าเสียไปโดยไม่ใช่เหตุเลย.
               นางยักษิณีนี้ยืนอยู่ภายนอกบริษัท จึงไม่ได้ยินเสียงในที่นั้น. เมื่อนางยืนที่ซุ้มพระทวาร ยืนเฉพาะพระพักตร์โดยพุทธวิถีอันใหญ่ พระคันธกุฎีย่อมปรากฏ. นางเห็นบริษัทไม่ไหวติง เว้นการคะนองมือเป็นต้นด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า เหมือนเปลวประทีปในที่ไม่มีลม แล้วคิดว่า ก็ในที่นี้จักมีสิ่งของบางสิ่งแจกแน่ เราจักได้ซึ่งเนยใส น้ำมัน น้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ ที่ไหลออกอยู่จากบาตรบ้าง จากมือบ้าง ก็หรือที่ตกแล้วบนพื้น ดังนี้ จึงเข้าไปภายในวิหาร.
               อารักขเทวดาสิงอยู่ที่ซุ้มประตูเพื่อห้ามอวรุทธกยักษ์ เห็นอุปนิสัยของนางยักษิณีแล้วจึงไม่ห้าม. พระสุรเสียงอันไพเราะตัดผิวเป็นต้นไปจดเยื่อในกระดูกของนางพร้อมกับการไปโดยความเป็นอันเดียวของบริษัทตั้งอยู่.
               บุตรน้อยทั้งหลายเตือนนางยักษิณีนั้นผู้ยืนไม่ไหวติงเพื่อฟังธรรม โดยนัยก่อนนั่นแล.
               นางยักษิณีนั้นคิดว่า บุตรน้อยทั้งหลายจะทำอันตรายแก่การฟังธรรมของเรา ดังนี้ จึงปลอบบุตรน้อยทั้งหลายอย่างนี้ว่า นิ่งเสียเถิด ลูกอุตรา ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ยาว ความว่า ขอลูกจงนิ่งตลอดเวลาที่แม่ฟังธรรมเถิด.
               บทว่า สพฺพคนฺถปฺปโมจนํ ความว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวงย่อมพ้นไป เพราะถึงนิพพาน เพราะฉะนั้น นิพพานนั้น ท่านกล่าวว่าเป็นที่พ้นไปจากกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวง.
               บทว่า อติเวลา ความว่า ล่วงเวลา คือเกินประมาณ.
               บทว่า ปิยายนา ได้แก่ ความแสวงหา คือปรารถนา.
               บทว่า ตโต ปิยตรํ ความว่า ความแสวงหา ความปรารถนาธรรมนี้ใด ข้อนี้เป็นที่รักของเรากว่าลูกและผัวนั้น.
               อนึ่ง พระบาลีว่า ปิยตรา ดังนี้ก็มี.
               บทว่า ปาณินํ ความว่า เหมือนการฟังพระสัทธรรม ย่อมเปลื้องเหล่าสัตว์จากทุกข์ได้. ย่อมเปลื้องเหล่าสัตว์อะไร. ควรนำบทว่า ปาณินํ มากล่าว.
               บทว่า ยํ ธมฺมํ อภิสมฺพุธํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ธรรมใด.
               บทว่า ตุณฺหีภูตายมุตฺตรา ความว่า ปุนัพพสุกล่าวว่า ฉันจักไม่พูดเลย แม้อุตตราน้องสาวนี้ของฉันก็จักเป็นผู้นิ่ง.
               บทว่า สทฺธมฺมสฺส อนญฺญาย ความว่า แม่ เราไม่รู้พระสัทธรรมนี้แล แม้ในกาลก่อน บัดนี้จึงเสวยทุกข์ มีความหิวกระหายเป็นต้นนี้ เที่ยวไปลำบาก คืออยู่ลำบาก.
               บทว่า จกฺขุมา ได้แก่ มีพระจักษุด้วยพระจักษุ ๕.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงธรรม ทรงกำหนดบริษัท ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของนางยักษิณีนั้นและยักขทารก เปลี่ยนเทศนาแล้ว จึงมาแสดงเรื่องสัจจะ ๔.
               นางยักษิณีนั้นยืนฟังธรรมอยู่ในประเทศนั้นแล กับบุตรตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. ส่วนธิดาของนางยักษิณีนั้นก็มีอุปนิสัย. แต่ไม่อาจจะรับเทศนาได้ เพราะเป็นเด็กเกินไป.
               บัดนี้ นางยักษิณีนั้น เมื่อจะทำอนุโมทนาแก่บุตร จึงกล่าวคำว่า ดีหนอ ลูกชื่อว่าเป็นบัณฑิตดังนี้เป็นต้น.
               บทว่า อชฺชาหมฺหิ สมุคฺคตา ความว่า แม่เป็นผู้ขึ้นพร้อมแล้ว แต่วันนี้. อีกอย่างหนึ่ง เป็นผู้ย่างพร้อมแล้วในพระศาสนา แม้เจ้าจงมีความสุขเถิด.
               บทว่า ทิฏฺฐานิ ความว่า แม่และเจ้าเห็นอริยสัจ ๔.
               บทว่า อุตฺตราปิ สุณาตุ เม นางยักษิณีกล่าวว่า ขอแม่อุตตราจงยืนฟังสัจจะ ๔ ที่แม่แทงตลอดเถิด.
               นางยักษิณีนั้นละภาวะมีฝีและหิดเป็นต้นทั้งหมด เหมือนสูจิโลมยักษ์ พร้อมด้วยการแทงตลอดสัจจะนั่นแล จึงกลับได้ทิพยสมบัติพร้อมด้วยบุตร. เมื่อมารดาและบิดาได้ความเป็นใหญ่ในโลก ความเป็นใหญ่นั้นก็มีแก่บุตรทั้งหลายด้วยชื่อฉันใด ส่วนธิดาของนางได้สมบัติแล้วด้วยอานุภาพของมารดาฉันนั้น. จำเดิมแต่นั้น นางกับด้วยบุตรน้อยทั้งหลายได้ต้นไม้เป็นที่อยู่ ณ ต้นไม้ใกล้พระคันธกุฎีแล้ว ได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ฟังธรรมทั้งเช้าเย็น อยู่จำเพาะในที่นั้นแล ตลอดกาลนาน.

               จบอรรถกถาปุนัพพสุสูตรที่ ๗               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ยักขสังยุต ปุนัพสุสูตรที่ ๗ จบ.
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 819อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 822อ่านอรรถกถา 15 / 826อ่านอรรถกถา 15 / 956
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=6754&Z=6786
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=11&A=7570
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=11&A=7570
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๘  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :