ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 16 / 1อ่านอรรถกถา 16 / 670อรรถกถา เล่มที่ 16 ข้อ 672อ่านอรรถกถา 16 / 674อ่านอรรถกถา 16 / 725
อรรถกถา สังยุตตนิกาย นิทานวรรค โอปัมมสังยุตต์
อาณิสูตร

               อรรถกถาอาณีสูตรที่ ๗               
               ในอาณีสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               บทว่า ทสารหานํ ได้แก่ เหล่ากษัตริย์ผู้มีชื่ออย่างนี้.
               ได้ยินว่า กษัตริย์เหล่านั้นถือเอาสิบส่วนจากข้าวกล้า ฉะนั้นจึงปรากฏชื่อว่า ทสารหา
               บทว่า อานโก ได้แก่ กลองมีชื่ออย่างนี้.
               ได้ยินว่า ในป่าหิมวันต์มีสระปูใหญ่. ปูใหญ่กินช้างที่ลงไปในสระนั้น.
               ครั้งนั้น พวกช้างถูกปูเบียดเบียน มีความเห็นร่วมกันว่า เพราะอาศัยลูกของนางช้างนี้ พวกเราจึงจักมีความสวัสดีได้ จึงได้พากันสักการะนางช้างเชือกหนึ่ง. แม้นางช้างนั้นก็ได้ตกลูกเป็นช้างมเหศักดิ์. ช้างทั้งหลายพากันสักการะแม้ลูกช้างนั้น.
               ลูกช้างเจริญวัยแล้วถามแม่ว่า เหตุไร ช้างเหล่านี้จึงสักการะเรา. นางช้างจึงเล่าเรื่องให้ฟัง. ลูกช้างกล่าวว่า ก็ปูเป็นอะไรกะฉัน พวกเราไปที่นั่นกันเถิด แวดล้อมไปด้วยช้างเป็นอันมาก ไปที่นั้นแล้วลงสระก่อนทีเดียว. ปูมาหนีบลูกช้างไว้เพราะเสียงน้ำนั่นเอง. ปูมีก้ามใหญ่. ลูกช้างไม่อาจทำปูให้เคลื่อนไปข้างโน้นข้างนี้ได้ จึงสอดงวงเข้าปากร้องลั่น.
               ช้างทั้งหลายกล่าวว่า ลูกช้างที่พวกเราเข้าใจว่า ได้อาศัยแล้วจักมีความสวัสดีนั้น ถูกหนีบเสียก่อนเลย จึงพากันหนีกระจัดกระจายไป.
               ลำดับนั้น แม่ของลูกช้างยืนอยู่ไม่ไกล กล่าวกะปูด้วยคำที่น่ารักว่า พวกเราชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐบนบก พวกท่านชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐในน้ำ ผู้ประเสริฐไม่ควรเบียดเบียนผู้ประเสริฐ ดังนี้
               แล้วกล่าวคาถานี้ว่า
                                   เย กุฬีรา สมุทฺทสฺมึ คงฺคาย ยมุนาย จ
                                   เตสํ ตฺวํ วาริโช เสฏฺโฐ มุญฺจ โรทนฺติยา ปชํ

                         บรรดาปูทั้งหลาย ในทะเล ในแม่น้ำคงคาและแม่น้ำยมุนา
                         เหล่านั้น ท่านเป็นสัตว์น้ำที่ประเสริฐที่สุด ขอท่านจงปล่อย
                         ลูกของเราผู้ร้องไห้อยู่.

               ธรรมดาเสียงมาตุคาม ย่อมทำให้บุรุษปั่นป่วน ฉะนั้น ปูจึงได้คลายหนีบ ลูกช้างรีบยกเท้าทั้งสองขึ้นเหยียบหลังปู. พอถูกเหยียบ หลังปูแตกเหมือนภาชนะดิน. ลำดับนั้น ลูกช้างเอางาทั้งสองแทงปู ยกขึ้นทิ้งไปบนบก แล้วส่งเสียงร้องแสดงความยินดี ช้างทั้งหลายมาจากที่ต่างๆ เหยียบปูนั้น. ก้ามปูก้ามหนึ่งหักกระเด็น ท้าวสักกเทวราชทรงถือเอาก้ามปูนั้นไป.
               ส่วนก้ามปูอีกก้ามหนึ่งถูกลมและแดดเผาจนสุก มีสีเหมือนน้ำครั่งเคี่ยว.
               เมื่อฝนตก ก้ามปูนั้นถูกกระแสน้ำพัดลอยมาติดข่ายของพระราชาสิบพี่น้องผู้ขึงข่ายไว้เหนือน้ำ เล่นน้ำอยู่ที่แม่น้ำคงคา. เมื่อเล่นน้ำแล้วยกข่ายขึ้น พระราชาเหล่านั้นทรงเห็นก้ามปูนั้น ตรัสถามว่า นั่นอะไร. ก้ามปู พะย่ะค่ะ. พระราชาทั้งหลายตรัสว่า ก้ามปูนี้ไม่อาจนำไปเป็นเครื่องประดับได้ พวกเราจักให้หุ้มก้ามปูนี้ทำกลอง รับสั่งให้หุ้มแล้วทรงตี. เสียง (กลอง) ดังไปทั่วพระนคร ๑๒ โยชน์.
               ต่อแต่นั้น พระราชาทั้งหลายตรัสว่า ไม่อาจประโคมกลองนี้ประจำวัน จงเป็นมงคลเภรีสำหรับวันมหรสพเถิด จึงให้ทำเป็นมงคลเภรี. เมื่อประโคมกลองนั้น ประชาชนไม่ทันอาบน้ำ ไม่ทันแต่งตัว รีบขึ้นยานช้างเป็นต้นไปประชุม.
               กลองนั้นได้ชื่อว่า อานกะ เพราะเหมือนเรียกประชาชนมา ด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า อญฺญํ อาณึ โอทหึสุ ความว่า ตอกลิ่มอื่นที่สำเร็จด้วยทองและเงินเป็นต้น.
               บทว่า อาณิสงฺฆาโตว อวสิสฺสติ ความว่า เพียงการตอกลิ่มที่สำเร็จด้วยทองเป็นต้นเท่านั้นได้เหลืออยู่. ลำดับนั้น เสียงของกลองนั้นดังไปประมาณ ๑๒ โยชน์ แม้อยู่ภายในม่านก็ยากที่จะได้ยิน.
               บทว่า คมฺภีรา ความว่า ว่าโดยบาลี พระสูตรทั้งหลายที่ลึก เช่น สัลลสูตร.
               บทว่า คมฺภีรตฺถา ความว่า ว่าโดยอรรถ พระสูตรทั้งหลายที่ลึก เช่น มหาเวทัลลสูตร.
               บทว่า โลกุตฺตรา ได้แก่ แสดงอรรถอันเป็นโลกุตตระ.
               บทว่า สุญฺญตปฏิสญฺญุตฺตา ความว่า เหมือนประกอบข้อความที่ประกาศเพียงสุญญธรรมเท่านั้น.
               บทว่า อุคฺคเหตพฺพํ ปริยาปุณิตพฺพํ ความว่า ที่ควรเล่าเรียนและควรศึกษา
               บทว่า กวิกตา ความว่า อันกวี คือนักปราชญ์รจนาไว้. นอกนั้นเป็นไวพจน์ของบทว่า กวิกตา นั่นเอง.
               บทว่า จิตฺตกฺขรา ได้แก่ มีอักษรวิจิตร. นอกนั้นเป็นไวพจน์ของบทว่า จิตฺตกฺขรา นั่นเอง.
               บทว่า พาหิรกา ได้แก่ มีภายนอกพระศาสนา.
               บทว่า สาวกภาสิตา พระสูตรเหล่านั้นเป็นสาวกภาษิต.
               บทว่า สุสฺสูสิสฺสนฺติ ความว่า สามเณร ภิกษุหนุ่ม มาตุคามและมหาคหบดีเป็นต้น มีความพอใจ เพราะพระสูตรเหล่านั้นมีอักษรวิจิตรและสมบูรณ์ด้วยการฟัง จักเป็นผู้ปรารถนาประชุมฟังด้วยคิดว่า ผู้นี้เป็นธรรมกถึก.
               บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุนั้น พระสูตรทั้งหลายที่เป็นตถาคตภาษิต เมื่อพวกเราไม่ศึกษา ย่อมอันตรธานไป.

               จบอรรถกถาอาณีสูตรที่ ๗               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย นิทานวรรค โอปัมมสังยุตต์ อาณิสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 16 / 1อ่านอรรถกถา 16 / 670อรรถกถา เล่มที่ 16 ข้อ 672อ่านอรรถกถา 16 / 674อ่านอรรถกถา 16 / 725
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=16&A=7046&Z=7066
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=12&A=5542
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=12&A=5542
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๙  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :