บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า อฏฺฐสตปริยายํ คือ เป็นเหตุ ๑๐๘. บทว่า ธมฺมปริยายํ คือ เหตุแห่งธรรม. ในบทว่า กายิกา จ เจตสิกา จ นี้ เวทนาทางกายย่อมได้ในกามาวจรเท่านั้น. เวทนาทางใจก็เป็นไปในภูมิ ๔. สุขเวทนาในบทเป็นอาทิว่า สุขา ย่อมไม่มีในอรูปาวจร แต่ย่อมได้ในภูมิ ๓ ที่เหลือ. ทุกขเวทนาจัดเป็นกามาวจร. เวทนานอกนี้ก็เป็นไปในภูมิ ๔. ในหมวด ๕ สุขินทรีย์ ทุกขินทรีย์ โทมนัสสินทรีย์ จัดเป็นกามาวจร. โสมนัสสินทรีย์เป็นไปในภูมิ ๓. อุเบกขินทรีย์เป็นไปในภูมิ ๔. ในหมวด ๖ เวทนาในทวาร ๕ จัดเป็นกามาวจร. เวทนาในมโนทวารเป็นไปในภูมิ ๔. ในหมวด ๑๘ ในอารมณ์อันน่าปรารถนา ๖ ชื่อว่า โสมนัสสุปวิจาร เพราะอรรถว่าย่อมเข้าไปไตร่ตรองกับด้วยโสมนัส. แม้ในสองบทที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. เทศนานี้มาแล้วด้วยสามารถแห่งวิจารด้วยประการดังนี้. แต่พึงทราบเวทนา ๑๘ ในที่นี้ ด้วยสามารถแห่งโสมนัสเป็นต้น อันสัมปยุตด้วยวิจารนั้น. พึงทราบในบทเป็นอาทิว่า ฉ เคหสิตานิ โสมนสฺสานิ ความว่า โสมนัสอาศัยกามคุณอันท่านกล่าวแล้วในทวาร ๖ อย่างนี้ว่า เมื่อระลึกถึงการได้ โดยการได้แห่งรูปอันพึงรู้ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารื่นรมย์แห่งใจ อันประกอบด้วยโลกามิส หรือเมื่อระลึกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ซึ่งตนเคยได้แล้วในอดีต โสมนัสก็ย่อมเกิดขึ้น. โสมนัสเห็นปานนี้ ท่านเรียกว่า เคหสิตโสมนัส โสมนัสอาศัยเรือน ชื่อว่าโสมนัสอาศัยเรือน ๖. เมื่อสามารถเพื่อให้ขวนขวายเริ่มวิปัสสนาด้วยสามารถความไม่เที่ยงเป็นต้น เกิดโสมนัสว่า วิปัสสนาอันเราขวนขวายแล้วดังนี้ โสมนัสเกิดขึ้นแล้ว เมื่ออารมณ์ อันน่าปรารถนาไปปรากฏในทวาร ๖ อย่างนี้ว่า ก็แล เมื่อรู้แจ้งว่ารูปทั้งหลายไม่เที่ยง ก็พิจารณาเห็นอยู่ซึ่งความแปรปรวน คลายกำหนัดและดับเสียได้ ด้วยปัญญาอันเห็นชอบตามเป็นจริงนั้นอย่างนี้ว่า รูปทั้งหลายในอดีตก็ดี ในปัจจุบันก็ดี รูปเหล่านั้นทั้งปวงก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาดังนี้ โสมนัสก็ย่อมเกิดขึ้น. โสมนัสเห็นปานนี้ ท่านเรียกว่า เนกขัมมสิตโสมนัส โสมนัสอาศัยการออกจากกาม ชื่อว่าโสมนัสอาศัยการออกจากกาม ๖. โทมนัสอาศัยกามคุณ อันเกิดขึ้นแล้วแก่ผู้ตรึกอยู่ว่า เราจักไม่เสวย จะไม่เสวยอารมณ์อันน่าปรารถนาดังนี้ ในทวาร ๖ อย่างนี้ว่า เมื่อพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งการไม่ได้ โดยการไม่ได้แห่งรูปทั้งหลายพึงรู้ด้วยจักษุอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่า ส่วนภิกษุผู้รู้แจ้งว่ารูปทั้งหลายไม่เที่ยง เห็นซึ่งความแปรปรวน คลายกำหนัดและดับเสียได้ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงนั้นอย่างนี้ว่า รูปทั้งหลายในอดีตก็ดี ในปัจจุบันก็ดี รูปเหล่านั้นทั้งปวงก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดาดังนี้ ย่อมยังความพยายามให้เข้าไปตั้งอยู่ ในวิโมกข์อันยอดเยี่ยมว่า เมื่อไรเราจักเข้าตทายตนะ (เหตุให้จิตหลุดพ้นอยู่). พระอริยะทั้งหลายย่อมเข้าอายตนะอยู่ดังนี้. ด้วยอาการอย่างนี้ เมื่อเธอยังความพยายามให้เข้าไปตั้งอยู่ในวิโมกข์อันยอดเยี่ยม โทมนัสก็ย่อมเกิดขึ้น เพราะความพยายามเป็นปัจจัย. โทมนัสเห็นปานนี้ ท่านเรียกว่า เนก เมื่ออารมณ์อันน่าปรารถนาไปปรากฏในทวาร ๖ อย่างนี้ โทมนัสอันเกิดขึ้นแล้วแก่เธอผู้ยังความพยายามให้เข้าไปตั้งไว้ในธรรมคืออริยผล กล่าวคืออนุตตรวิโมกข์ แต่ไม่สามารถเพื่อให้ขวนขวายเริ่มวิปัสสนาด้วยอำนาจแห่งความไม่เที่ยงเป็นต้น เพื่อบรรลุอริยผลธรรมนั้นได้ จึงเสียดายอยู่ว่า เราไม่สามารถเพื่อจะขวนขวายถึงวิปัสสนาแล้ว บรรลุอริยภูมิได้ทั้งปักษ์นี้ ทั้งเดือนนี้ ทั้งปีนี้ ชื่อว่า เนกขัมมสิตโทมนัส โทมนัสอาศัยการออกจากกาม ๖. เมื่ออารมณ์อันน่าปรารถนาไปปรากฏในทวาร ๖ อย่างนี้ว่า พาลปุถุชนคนลุ่มหลงคือคนหนา อันยังไม่เกิดวิบาก ไม่เห็นโทษ ไม่ได้สดับ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว อุเบก อุเบกขาอาศัยกามคุณเกิดขึ้นแล้ว เมื่อล่วงรูปเป็นต้นไปไม่ได้ เหมือนแมลงวันหัวเขียวล่วงเลยน้ำอ้อยไปไม่ได้ฉะนั้น ก็ต้องข้องอยู่ในรูปนั้นนั่นเอง. ชื่อว่า เคหสิต อุเบกขาสัมปยุตด้วยญาณ อันเป็นวิปัสสนาเกิดขึ้นแล้วแก่ผู้ไม่กำหนัดในอารมณ์อันน่าปรารถนา ไม่ขัดเคืองในอารมณ์อันไม่น่าปรารถนา ไม่หลงในการเพ่งดูอารมณ์อันไม่สม่ำเสมอ. เมื่ออารมณ์อันน่าปรารถนาไปปรากฏในทวาร ๖ อย่างนี้ว่า ก็แล เมื่อรู้แจ้งว่า รูปทั้งหลายไม่เที่ยง พิจารณาเห็นอยู่ซึ่งความแปรปรวน คลายกำหนัดและดับเสียได้ด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงนั้นอย่างนี้ว่า รูปทั้งหลายในอดีตก็ดี ในปัจจุบันก็ดี รูปเหล่านั้นทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดาดังนี้ อุเบกขาก็ย่อมเกิดขึ้น. อุเบกขาเห็นปานนี้ใด อุเบกขานั้น ย่อมล่วงรูปไปได้ เพราะฉะนั้น อุเบกขานั้น ท่านเรียกว่า เนกขัมมสิตอุเบกขา อุเบกขาอาศัยการออกจากกาม ๖ ดังนี้ ชื่อว่าอุเบกขาอาศัยการออกจากกาม ๖. ในพระสูตรนี้ พระองค์ตรัสการกำหนดธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๔ อันรวบรวมธรรมไว้ทั้งหมด. สูตรที่ ๓ เป็นต้นไปมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น. จบอรรถกถาอัฏฐสตปริยายสูตรที่ ๒ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เวทนาสังยุตต์ อัฏฐสตปริยายวรรคที่ ๓ ๒. อัฏฐสตปริยายสูตร จบ. |