ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 19 / 1อ่านอรรถกถา 19 / 1175อรรถกถา เล่มที่ 19 ข้อ 1179อ่านอรรถกถา 19 / 1205อ่านอรรถกถา 19 / 1786
อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อิทธิปาทสังยุตต์ ปาสาทกัมปนวรรคที่ ๒
๑๐. วิภังคสูตร

               อรรถกถาวิภังคสูตรที่ ๑๐               
               วิภังคสูตรที่ ๑๐. ในคำว่า ประกอบด้วยความเกียจคร้าน นี้ ภิกษุเมื่อปลูกความพอใจให้เกิดขึ้นแล้วนั่งเอาใจใส่กัมมัฏฐานอยู่.
               ทีนั้น เธอมีอาการย่อท้อหยั่งลงในจิต เธอรู้ว่า อาการย่อท้อหยั่งลงในจิตเรา ก็เอาภัยในอบายมาข่มจิต ทำให้เกิดความพอใจขึ้นมาอีก แล้วตั้งจิตตั้งใจทำกัมมัฏฐาน.
               ทีนั้น เธอเกิดมีอาการย่อท้อหยั่งลงในใจอีก เธอก็ยกเอาภัยในอบายมาข่มจิตอีก ปลูกความพอใจให้เกิดขึ้นแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำกัมมัฏฐานดังว่ามานี้ ความพอใจของเธอชื่อว่าย่อมประกอบด้วยความเกียจคร้าน เพราะความที่เธอถูกความเกียจคร้านครอบงำ ด้วยประการฉะนี้.
               คำว่า สัมปยุตด้วยความเกียจคร้าน เป็นคำที่ใช้แทนคำว่า ประกอบด้วยความเกียจคร้าน นั้นเอง.
               ในคำว่า ประกอบด้วยอุทธัจจะ นี้ ภิกษุเมื่อทำความพอใจให้เกิดขึ้นแล้ว ก็นั่งตั้งใจทำกัมมัฏฐานอยู่. ทีนั้น จิตเธอตกไปในความฟุ้งซ่าน เธอก็มารำพึงถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ ทำใจให้ร่าเริงให้ยินดี ทำให้ควรแก่การงาน แล้วยังความพอใจให้เกิดขึ้นใหม่อีก แล้วก็พิจารณากัมมัฏฐาน. คราวนี้จิตของเธอก็ตกไปในความฟุ้งซ่านอีก เธอก็มารำพึงถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์อีก ทำใจให้ร่าเริงให้ยินดี ปลูกฝังความพอใจให้เกิดขึ้นใหม่ แล้วก็พิจารณากัมมัฏฐาน เพราะเหตุนี้ ความพอใจของเธอก็ย่อมชื่อว่าประกอบด้วยความฟุ้งซ่าน เพราะถูกความฟุ้งซ่านครอบงำด้วยประการฉะนี้.
               ในคำว่า ประกอบด้วยถีนมิทธะ นี้ ภิกษุทำความพอใจให้เกิดขึ้นแล้ว ก็นั่งตั้งใจทำกัมมัฏฐานอยู่. ทีนั้น ความง่วงเหงาหาวนอนก็เกิดขึ้นแก่เธอ เธอทราบได้ว่าถีนมิทธะเกิดขึ้นแก่เราแล้ว ก็เอาน้ำมาล้างหน้า ดึงใบหูท่องธรรมที่คล่อง (ด้วยเสียงดัง) หรือสนใจความสำคัญว่าแสงสว่างที่ถือเอาไว้ เมื่อตอนกลางวัน บรรเทาถีนมิทธะออกไป แล้วยังความพอใจให้เกิดขึ้นอีก พิจารณากัมมัฏฐานอยู่.
               ทีนั้น ถีนมิทธะเกิดขึ้นแก่เธออีก เธอก็บรรเทาถีนมิทธะออกไปอีกตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ ทำความพอใจให้เกิดขึ้นใหม่ แล้วพิจารณากัมมัฏฐานอยู่ เพราะเหตุนี้ ความพอใจของเธอจึงชื่อว่าประกอบด้วยถีนมิทธะ เพราะถีนมิทธะครอบงำด้วยประการฉะนี้.
               ในคำว่า ฟุ้งซ่าน นี้ ภิกษุเมื่อทำความพอใจให้เกิดขึ้นแล้ว ก็นั่งพิจารณากัมมัฏฐานอยู่. ทีนั้น จิตของเธอก็ซัดส่ายไปในอารมณ์คือกามคุณ. เธอรู้ได้ว่าจิตเราซัดส่ายไปข้างนอกแล้ว ก็มาคำนึงถึงอนมตัคคสูตร เทวทูตสูตร เวลามสูตรและอนาคตภยสูตรเป็นต้น เอาพระสูตรมาเป็นเครื่องข่มจิต ทำให้ควรแก่การงาน ปลูกความพอใจให้เกิดขึ้นมาอีกแล้ว ก็เอาใส่กัมมัฏฐานอยู่.
               ทีนั้นจิตของเธอก็ซัดส่ายไปอีก เธอก็ข่มจิตด้วยอาชญา คือพระสูตรทำให้แก่การงาน ปลูกความพอใจให้เกิดขึ้นมาอีก แล้วก็พิจารณากัมมัฏฐานอยู่ เพราะเหตุนี้ ความพอใจของเธอจึงย่อมชื่อว่า ปรารภกามคุณ ๕ อย่างในภายนอก แล้วเป็นของซัดส่ายไปตาม ซ่านไปตาม เพราะระคนปนเจือไปด้วยความตรึกไปในกาม ด้วยประการฉะนี้.
               ในคำว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น พึงทราบเบื้องหน้าและเบื้องหลังด้วยอำนาจกัมมัฏฐานบ้าง ด้วยอำนาจเทศนาบ้าง.
               อย่างไร
               ในเรื่องกัมมัฏฐานก่อน การตั้งมั่นแห่งกัมมัฏฐานชื่อว่าเบื้องหน้า อรหัตชื่อว่าเบื้องหลัง.
               ในเรื่องนั้น ภิกษุใดยึดเอามูลกัมมัฏฐานไว้มั่นแล้วเกียดกันความย่อหย่อนของจิต ในฐานะทั้ง ๔ อย่างมีความย่อหย่อนเกินไปเป็นต้น ไม่ติดขัดในฐานะทั้ง ๔ แม้แต่แห่งเดียว เหมือนเทียมโคพยศใช้งานจนได้ หรือเหมือนดอกไม้ ๔ เหลี่ยมแทรกเข้าไป พิจารณาสังขารทั้งหลายย่อมบรรลุพระอรหัต. ภิกษุแม้นี้ก็ย่อมชื่อว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น.
               นี้เป็นเบื้องหน้าและเบื้องหลังด้วยอำนาจกัมมัฏฐาน.
               ส่วนที่ว่าด้วยอำนาจเทศนาผมชื่อว่าเบื้องหน้า มันสมองชื่อว่าเบื้องหลัง.
               ในเรื่องเกี่ยวกับเทศนา (การแสดง) นั้น ภิกษุใดยึดมั่นในผมทั้งหลายแล้ว กำหนดผมเป็นต้นด้วยอำนาจสีและสัณฐานเป็นต้น ไม่ติดขัดในฐานะทั้ง ๔ อย่าง ยังภาวนาให้ถึงจนถึงมันสมอง. แม้ภิกษุนี้ก็ย่อมชื่อว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้นอยู่. พึงทราบความเป็นเบื้องหน้าและเบื้องหลังด้วยอำนาจเทศนาดังที่ว่ามานี้.
               คำว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น นี้เป็นคำที่ใช้แทนกันของนัยก่อนนั่นเอง.
               คำว่า เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนก็ฉันนั้น นี้พึงทราบด้วยอำนาจสรีระ. เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ข้างบนแต่ฝ่าเท้าขึ้นมา ข้างล่างแต่ปลายผมลงไป ดังนี้.
               ในกรณีนั้น ภิกษุใดยังภาวนาให้ถึงด้วยอำนาจอาการ ๓๒ ประการ ตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นไปจนถึงปลายผม หรือด้วยอำนาจกระดูก แต่กระดูกข้อต่ออันปลายสุดของนิ้วเท้าขึ้นไปจนถึงกะโหลกศีรษะ แต่กระดูกกะโหลกศีรษะลงไปจนถึงกระดูกข้อต่ออันปลายสุดของนิ้วเท้า ไม่มีข้องขัดในฐานะทั้ง ๔ แม้แต่แห่งเดียว ภิกษุนี้ย่อมชื่อว่าเบื้องบนฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้น เบื้องล่างก็ฉันใด เบื้องบนก็ฉันนั้นอยู่.
               คำว่า ด้วยอาการเหล่าใด คือ ด้วยส่วนเหล่าใด.
               คำว่า ด้วยเพศเหล่าใด คือ ด้วยทรวดทรงเหล่าใด.
               คำว่า ด้วยนิมิตเหล่าใด คือ ด้วยลักษณะที่ปรากฏเหล่าใด.
               คำว่า อาโลกสญฺญา สุคคฺหิตา โหติ ความว่า ภิกษุใดนั่งที่ลานแล้วมาเอาใจใส่ต่ออาโลกสัญญา หลับตาลงเป็นบางครั้ง บางครั้งก็ลืมตาขึ้น ขณะที่เธอแม้จะหลับตาอยู่ รูปก็ย่อมปรากฏเป็นอย่างเดียวกันทีเดียว เหมือนเมื่อเธอกำลังลืมตาแลดูอยู่ นั้นชื่อว่าความสำคัญว่าแสงสว่างย่อมเป็นอันได้เกิดแล้ว.
               แม้คำว่า ทิวาสญฺญา ก็เป็นชื่อของความสำคัญว่าแสงสว่างนั้นเหมือนกัน. ก็แต่ว่า ความสำคัญว่าแสงสว่างที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนกลางคืน ย่อมชื่อว่าเป็นถือเอาดีแล้ว. แม้คำว่า เป็นอันตั้งมั่นดีแล้ว ก็เป็นชื่อสำหรับใช้แทนบทนั้นเหมือนกัน.
               คำว่า อันตั้งมั่นดีแล้ว ได้แก่ ตั้งมั่นได้เป็นอย่างดีคือ เรียกว่าชื่อตั้งไว้โดยดี.
               ความสำคัญว่าแสงสว่างนั้น โดยเนื้อความก็คือความสำคัญชนิดที่ถือเอาไว้แล้วอย่างดีนั่นเอง.
               อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุใดบรรเทาถีนมิทธะได้ด้วยแสงสว่าง สร้างความพอใจให้เกิดขึ้นแล้ว เอาใจใส่ทำกัมมัฏฐานอยู่ ความสำคัญว่าแสงสว่างแม้ในกลางวันของภิกษุนั้น ก็ชื่อว่าเป็นอันถือเอาไว้ดีแล้ว เป็นอันตั้งมั่นไว้ดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลางคืนหรือกลางวันก็ตาม ภิกษุใช้แสงสว่างบรรเทาถีนมิทธะได้แล้วมาตั้งอกตั้งใจทำกัมมัฏฐานอยู่ ความสำคัญที่เกิดขึ้นในแสงสว่างซึ่งใช้เป็นเครื่องบรรเทาถีนมิทธะนั้น ก็ชื่อว่าเป็นอันถือเอาไว้ดีแล้วโดยแท้.
               แม้ในอิทธิบาทมีวิริยะเป็นต้น ก็ทำนองนี้แล.
               ในสูตรนี้ ทรงแสดงฤทธิ์สำหรับเป็นบาทอภิญญาทั้ง ๖ ประการ.

               จบอรรถกถาวิภังคสูตรที่ ๑๐               
               จบอรรถกถาปาสาทกัมปนวรรคที่ ๒               
               -----------------------------------------------------               

               รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
                         ๑. ปุพพสูตร
                         ๒. มหัปผลสูตร
                         ๓. ฉันทสูตร
                         ๔. โมคคัลลานสูตร
                         ๕. พราหมณสูตร
                         ๖. สมณพราหมณสูตรที่ ๑
                         ๗. สมณพราหมณสูตรที่ ๒
                         ๘. อภิญญาสูตร
                         ๙. เทสนาสูตร
                         ๑๐. วิภังคสูตร.

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อิทธิปาทสังยุตต์ ปาสาทกัมปนวรรคที่ ๒ ๑๐. วิภังคสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 19 / 1อ่านอรรถกถา 19 / 1175อรรถกถา เล่มที่ 19 ข้อ 1179อ่านอรรถกถา 19 / 1205อ่านอรรถกถา 19 / 1786
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=19&A=6907&Z=7002
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=13&A=7334
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=13&A=7334
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๕  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :