ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 19 / 1อ่านอรรถกถา 19 / 1327อรรถกถา เล่มที่ 19 ข้อ 1348อ่านอรรถกถา 19 / 1355อ่านอรรถกถา 19 / 1786
อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อานาปานสังยุตต์ เอกธรรมวรรคที่ ๑
๙. เวสาลีสูตร

               อรรถกถาเวสาลีสูตรที่ ๙               
               เวสาลีสูตรที่ ๙. คำว่า ใกล้กรุงเวสาลี คือ ใกล้กรุงที่มีโวหารอันเป็นไปด้วยอำนาจเพศหญิง ซึ่งมีชื่ออย่างนั้น.
               จริงอย่างนั้น กรุงนั้นเรียกว่าเวสาลี เพราะเป็นนครที่กว้างขวาง ด้วยการขยายกำแพงล้อมรอบถึง ๓ ครั้ง. และกรุงแม้นี้ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุความเป็นพระสัพพัญญูนั่นเอง ก็พึงทราบว่า ได้บรรลุความไพบูลย์ด้วยอาการทั้งปวง เมื่อท่านพระอานนท์ได้ระบุโคจรคามอย่างนี้เสร็จแล้ว ก็ได้กล่าวถึงที่สำหรับอยู่ว่า ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน.
               ในคำเหล่านั้น ป่าอย่างใหญ่มีเขตกำหนด ไม่มีใครปลูกไว้ เกิดขึ้นเอง ชื่อมหาวัน (ป่าใหญ่). ส่วนป่าใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงกบิลพัสุด์ เป็นป่าที่มีเขตกำหนดติดเป็นพืดเดียวกันกับป่าหิมพานต์ ไปจนติดทะเลหลวง. ป่าใหญ่นี้หาเป็นเช่นนั้นไม่ เป็นป่าใหญ่ที่ยังมีของเขต ฉะนั้นจึงเรียกว่ามหาวัน.
               ส่วนศาลาเรือนยอด คือศาลาที่ได้สร้างเป็นเรือนมียอดไว้ภายในสวนที่อาศัยป่าใหญ่สร้างไว้ ด้วยหลังคากลมดุจหงส์ สมบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่าง พึงทราบว่าเป็นพระคันธกุฎีของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               คำว่า ทรงแสดงอสุภกถาโดยอเนกปริยาย คือ ทรงแสดงถ้อยคำที่ทำให้หมดความพอใจในกาย๑- เป็นไปเพื่อชี้ให้เห็นชัดถึงอาการที่ไม่งาม ด้วยเหตุมิใช่น้อย เช่น มีในร่างกายนี้ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน ฯลฯ น้ำมูตร ดังนี้.
____________________________
๑- กัมพุช ที่เป็นเหตุให้ติดกายได้เด็ดขาด.

               คำนี้ทรงอธิบายไว้อย่างไร.
               (ทรงอธิบายไว้ว่า) ภิกษุทั้งหลาย ในซากศพขนาดวาหนึ่งนี้ ใครๆ เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว ย่อมไม่เห็นของสะอาดอะไรๆ แม้แต่น้อยหนึ่งที่จะเป็นมุกดา มณี ไพฑูรย์ กฤษณา จันทน์ หญ้าฝรั่น การบูรหรือผงเครื่องอบเป็นต้นเลย ที่แท้จะเห็นแต่ของที่สกปรกมีประการต่างๆ เช่น ผม ขน เล็บเป็นต้นซึ่งแสนจะเหม็น มองดูน่าเกลียดและเสียศักดิ์ศรีทั้งนั้น ฉะนั้น อย่าไปทำความพอใจหรือความรักใคร่ในร่างกายนี้เลย. ชื่อว่าผมทั้งหลายที่เกิดบนศีรษะ ซึ่งเป็นส่วนที่สูงสุดแล้ว ก็ยังไม่งามเป็นของสกปรกและน่าสะอิดสะเอียนอยู่นั่นเอง. และความไม่สวยไม่สะอาดน่าสะอิดสะเอียนของผมทั้งหลายนั้น พึงทราบโดยอาการ ๕ อย่าง คือ โดยสี โดยสัณฐาน โดยกลิ่น โดยอาศัยและโดยโอกาส.
               แม้ขนเป็นต้นก็เป็นอย่างนี้.
               นี้เป็นความสังเขปในสูตรนี้ ส่วนความพิสดาร พึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้วในวิสุทธิมรรค. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอสุภกถาโดยอเนกปริยาย จำแนกเป็นส่วนละ ๕ อย่าง.
               คำว่า ตรัสสรรเสริญคุณแห่งอสุภะ คือ เมื่อทรงถามแม่บทแห่งอสุภะด้วยอำนาจศพที่ขึ้นอืดเป็นต้นแล้ว ก็ทรงจำแนกแจกขยายศพนั้นด้วยรายละเอียด (บทภาชนีย์) ตรัสถึงคุณของอสุภะ.
               คำว่า ตรัสสรรเสริญคุณของการเจริญอสุภะ คือ การอบรม การเจริญจิตที่ถือเอาอาการอันไม่งามในผมเป็นต้น หรือในวัตถุทั้งภายในและภายนอกมีศพที่ขึ้นอืดเป็นต้นแล้วเป็นไปนี้.
               เมื่อจะทรงชี้ถึงอานิสงส์แห่งการเจริญอสุภะนั้น จึงตรัสถึงคุณ คือระบุถึงคุณ. คือตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่ประกอบอย่างยิ่งในการเจริญอสุภะ ในผมเป็นต้น หรือในวัตถุมีศพที่ขึ้นอืดเป็นต้น ย่อมได้เฉพาะซึ่งปฐมฌานที่ละองค์ ๕ ประกอบด้วยองค์ ๕ มีความงาม ๓ อย่าง สมบูรณ์ด้วยลักษณะ ๑๐ อย่าง เธออาศัยหีบคือจิต กล่าวคือปฐมฌานนั้น เจริญวิปัสสนาแล้ว ย่อมสำเร็จความเป็นอรหันต์เป็นประโยชน์ที่สูงสุด ดังนี้.
               คำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีกเร้นอยู่สักกึ่งเดือน ความว่า ภิกษุทั้งหลาย เราต้องการพักผ่อน คือหลีกเร้น ได้แก่อยู่เพียงคนเดียวตลอดกึ่งเดือนหนึ่ง.
               คำว่า ใครๆ ไม่พึงเข้ามาหาเรา เว้น แต่ภิกษุผู้นำบิณฑบาตรูปเดียว คือ ภิกษุใดไม่กระทำคำพูดที่ควรแก่ตนนำบิณฑบาตที่เขาจัดไว้ในตระกูลที่มีศรัทธามาเพื่อประโยชน์แก่เราแล้วน้อมเข้าไปให้ นอกจากภิกษุผู้นำเอาบิณฑบาตมาให้รูปเดียวแล้ว ใครอื่น ไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรือคฤหัสถ์ไม่พึงเข้าไปหาเรา.
               ทำไมจึงตรัสอย่างนั้นเล่า.
               มีเรื่องเล่าว่า ในอดีตกาล พวกพรานเนื้อ ๕๐๐ คนเอาท่อนไม้และบ่วง๒- ต่างดีอกดีใจ เลี้ยงชีวิตด้วยทำการฆ่าเนื้อและนกตลอดชีวิตมาด้วยกันทีเดียว (ตายแล้ว) ก็เกิดในนรก. พวกเขาไหม้ในนรกนั้นแล้ว ด้วยกุศลกรรมบางอย่างที่ทำไว้เมื่อก่อนนั่นแหละ ก็มาเกิดในหมู่มนุษย์ ด้วยอำนาจอุปนิสัยอันงาม ทุกคนก็ได้บรรพชาและอุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า. เพราะอกุศลกรรมเดิมนั้นของท่านเหล่านั้น อปราปรเจตนาที่ให้ผลยังไม่เสร็จ ก็ได้ทำโอกาสเพื่อเข้าไปตัดชีวิต ด้วยความพยายามของตัวเอง และด้วยความพยายามของคนอื่น ในภายในกึ่งเดือนนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นเหตุการณ์นั้น.
____________________________
๒- กัมพุช ก้อนดิน....เป็นต้น.

               อนึ่ง ขึ้นชื่อว่าวิบากของกรรมแล้ว ไม่มีใครจะสามารถป้องกันได้ ก็ในภิกษุเหล่านั้น ปุถุชนก็มี พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระขีณาสพก็มี. ในท่านเหล่านั้นที่เป็นพระขีณาสพ ไม่มีการสืบต่อภพชาติ อริยสาวกนอกนี้มีคติที่แน่นอนเป็นที่ไปในเบื้องหน้า๓- คติของพวกปุถุชนไม่แน่นอน.
____________________________
๓- พม่า มีคติที่แน่นอน มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

               อย่างไร.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า ภิกษุเหล่านี้ เพราะความพอใจรักใคร่ในอัตภาพ กลัวมรณภัยแล้ว จะไม่ศึกษาเพื่อชำระคติ เอาเถิด เราจะแสดงอสุภกถาเพื่อให้ภิกษุเหล่านั้นละความพอใจรักใคร่ พวกเธอ เมื่อได้ฟังอสุภกถานั้นแล้ว เพราะความที่ปราศจากความพอใจรักใคร่ในอัตภาพแล้วจะทำการชำระคติแล้วจะถือเอาปฏิสนธิในสวรรค์ เมื่อเป็นอย่างนี้ การบวชในสำนักของพวกเธอก็จะมีประโยชน์ เพราะเหตุนั้น เพื่ออนุเคราะห์พวกเธอ จึงทรงแสดงอสุภกถา ด้วยทรงมุ่งกัมมัฏฐานเป็นสำคัญ มิใช่ทรงพระดำริอย่างนี้ว่า หากกึ่งเดือนนี้ พวกภิกษุจะเห็นเรา ก็จะพากันบอกว่า วันนี้มีภิกษุ ๑ รูปมรณภาพแล้ว วันนี้ ๒ รูป ฯลฯ วันนี้ ๑๐ รูปมรณภาพแล้ว ก็ผลของกรรมนี้ จะเป็นเราหรือคนอื่นก็ตาม ไม่สามารถจะห้ามได้ เรานั้นถึงได้ยินกรรมวิบากนั้น ก็จะทำอะไรได้. ประโยชน์อะไรของเราด้วยการฟังเรื่องฉิบหายเรื่องพินาศด้วยเล่า เอาล่ะ เราจะหลบไม่ให้ภิกษุทั้งหลายเห็น เพราะฉะนั้น จึงได้ตรัสอย่างนั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีกเร้นอยู่สักกึ่งเดือน ใครๆ ไม่พึงเข้ามาหาเรา เว้นแต่ภิกษุผู้นำบิณฑบาตไปให้เพียงรูปเดียว.
               แต่ท่านเหล่าอื่นอีกกล่าวว่า หลีกเร้น (พักผ่อน) อย่างนั้น ก็เพื่อเว้นจากการติเตียนของคนอื่น. เขาว่า คนเหล่าอื่นจะพากันติเตียนพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ผู้นี้ปฏิญาณอยู่ว่า เราเป็นสัพพัญญู เป็นผู้ยังพระธรรมจักรอันประเสริฐ คือพระสัทธรรมให้เป็นไป ไม่สามารถแม้แต่ห้ามปรามพวกสาวกของตนที่กำลังฆ่าตัวเองได้ จะสามารถห้ามปรามคนอื่นได้หรือ. ในกลุ่มนั้นที่เป็นบัณฑิตจะกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จตามประกอบการหลีกเร้น (พักผ่อน) ย่อมไม่ทรงทราบความเป็นไปนี้ แม้ใครๆ ที่เป็นผู้กราบทูลให้ทรงทราบก็ไม่มี หากทรงทราบจะพึงทรงห้ามปรามเป็นแน่ แต่นี้ แค่เป็นความต้องการเท่านั้น เป็นเหตุการณ์ครั้งแรกเท่านั้นในเรื่องนี้.
               คำว่า อสฺสุธา ในบทว่า นาสฺสุธา นี้เป็นคำลงแทรกเข้ามาในอรรถเพียงทำให้เต็มบท หรือในอรรถห้ามข้อความอย่างอื่น ความก็คือ ไม่มีใครๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย.
               ที่ชื่อว่า เกลื่อนกล่นด้วยอาการเป็นอเนก ก็เพราะการขวนขวายประกอบการพิจารณาอสุภะนั้นเกลื่อนกล่นด้วยเหตุเป็นอเนกมีสีและสัณฐานเป็นต้น. มีคำอธิบายว่า ระคนปนเปไปด้วยอาการเป็นอเนก คือ เจือคละไปด้วยการณ์เป็นอเนก.
               นั้นคืออะไร คือ การขวนขวายประกอบการเจริญอสุภะ.
               คำว่า ขวนขวายประกอบการเจริญอสุภะอันเกลื่อนกล่นด้วยอาการเป็นอเนกนั้นอยู่ คือ เป็นผู้ประกอบแล้วประกอบเล่าอยู่.
               คำว่า อึดอัด คือ เป็นทุกข์ เพราะกายนั้น.
               คำว่า ระอา คือ รู้สึกละอายอยู่.
               คำว่า เกลียด คือ ยังความเกลียดชังให้เกิดขึ้นอยู่.
               คำว่า แสวงหาศาสตราสำหรับปลงชีวิต คือ แสวงหาศัสตราเครื่องนำเอาชีวิตไป ภิกษุเหล่านั้นไม่ใช่แต่แสวงหาศัสตรามาอย่างเดียวเท่านั้น แต่ปลงตนจากชีวิตด้วย ก็แลพวกภิกษุได้เข้าไปหา แม้นายมิคลัณฑิกผู้แต่งตัวคล้ายสมณะแล้วพูดว่า คุณ! ดีละขอคุณช่วยปลงชีวิตพวกอาตมาทีเถิด. ก็ในที่นี้ พวกอริยะไม่ได้ทำปาณาติบาตเลย ไม่ได้ชักชวน ไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปตามด้วย. แต่ปุถุชนได้ทำทุกอย่าง.
               คำว่า เสด็จออกจากการหลีกเร้น (พักผ่อน) คือ เมื่อได้ทรงทราบความที่พวกภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปเหล่านั้นถึงความสิ้นชีวิตแล้ว ก็ทรงออกจากความอยู่ผู้เดียวนั้น แม้ทรงทราบอยู่ก็เหมือนไม่ทรงทราบ เพื่อให้ถ้อยคำตั้งขึ้นพร้อม จึงตรัสเรียกท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เพราะเหตุไรหนอ ภิกษุสงฆ์ จึงดูเหมือนเบาบางไป.
               ความว่า อานนท์ ก่อนแต่นี้ พวกภิกษุเป็นอันมากพากันมาสู่ที่บำรุงด้วยกัน ถือเอาอุเทศและการสอบถาม อารามดูคล้ายกะว่าโชติช่วงเป็นอันเดียวกัน แต่บัดนี้ โดยล่วงไปแห่งเวลา แค่ครึ่งเดือน ภิกษุสงฆ์คล้ายกับมีน้อยลง คือเกิดเป็นเหมือนเบาบาง อ่อนน้อย ประปรายไป เหตุอะไรหรือหนอแล หรือว่าพวกภิกษุต่างพากันหลีกไปในทิศทั้งหลาย
               ทีนั้น ท่านพระอานนท์ เมื่อไม่เข้าใจถึงความสิ้นชีวิตของภิกษุเหล่านั้น เพราะผลกรรม แต่เข้าใจว่าเพราะการตามประกอบในอสุภกัมมัฏฐานเป็นปัจจัย จึงกราบทูลคำว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นต้น เมื่อจะทูลขอกัมมัฏฐานอย่างอื่น เพื่อให้ภิกษุทั้งหลายได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จึงกราบทูลคำเป็นต้นว่า ขอประทานพระวโรกาส พระผู้มีพระภาคเจ้า.
               ใจความของคำกราบทูลขอนั้น (พึงทราบดังต่อไปนี้)
               ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังข้าพระองค์ขอพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงโปรดตรัสบอกการณ์อย่างอื่น ซึ่งเป็นเหตุให้ภิกษุสงฆ์พึงดำรงอยู่ในพระอรหัตเถิด.
               มีอธิบายว่า กัมมัฏฐานที่ลงสู่พระนิพพานได้ยังมีมาก ได้แก่ ประเภทอนุสสติ ๑๐ กสิณ ๑๐ จตุธาตุววัตถานะ พรหมวิหารและอานาปานสติแม้เหล่าอื่น เหมือนท่านสำหรับลงสู่ทะเลหลวง ในบรรดากัมมัฏฐานเหล่านั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปลอบโยนพวกภิกษุแล้ว โปรดตรัสบอกกัมมัฏฐานข้อใดข้อหนึ่งเถิด.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระประสงค์จะทรงทำอย่างนั้น เมื่อจะทรงส่งพระเถระไป จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ถ้าอย่างนั้น อานนท์.
               ในคำเหล่านั้น คำว่า อาศัยกรุงเวสาลี ความว่า พวกภิกษุมีประมาณเท่าใดที่เข้าไปอาศัย๔- กรุงเวสาลี อยู่ห่างออกไปหนึ่งคาวุตบ้าง กึ่งโยชน์บ้างโดยรอบ เธอจงให้พวกภิกษุทั้งหมดนั้นประชุมกัน.
____________________________
๔- สี. นิสฺสาย อาศัย.

               คำว่า ให้ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา คือ ที่ซึ่งพอจะไปด้วยตนเองก็ไปเอง ส่งภิกษุหนุ่มๆ ไปในที่อื่น ครู่เดียวเท่านั้นก็ทำพวกภิกษุมาไม่เหลือให้ประชุมกันที่อุปัฏฐานศาลา.
               ต่อไปนี้ เป็นคำอธิบายในคำว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทราบกาลอันสมควรในบัดนี้เถิด นี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว นี่เป็นเวลาแห่งเทศนา๕- เพื่อทรงกระทำธรรมกถา บัดนี้ ของพระองค์ทรงทราบเวลาเพื่อสิ่งใด พึงทรงกระทำสิ่งนั้นเถิด.
____________________________
๕- พม่า ไม่มีแห่งเทศนา.

               ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสตินี้แล ครั้นตรัสเรียกมาแล้ว เมื่อจะทรงบอกปริยายอื่นจากอสุภกัมมัฏฐานที่ได้ทรงบอกมาแล้วเมื่อก่อน เพื่อการบรรลุพระอรหัตของพวกภิกษุ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า อานาปานสติสมาธิ.
               ในคำเหล่านั้น คำว่า อานาปานสฺสติสมาธิ ได้แก่ การตั้งมั่นที่ประกอบพร้อมกับความระลึกที่กำหนดถือเอาลมหายใจออกและหายใจเข้า หรือความตั้งใจมั่นในการละลึกถึงลมหายใจออกและหายใจเข้า เป็นสมาธิที่มีการระลึกถึงลมหายใจออกและหายใจเข้าเป็นอารมณ์.
               คำว่า เจริญแล้ว ได้แก่ อันให้เกิดขึ้นแล้วบ่อยๆ.
               คำว่า สนฺโต เจว ปณีโต จ แปลว่า สงบและประณีตนั่นเทียว.
               พึงทราบความแน่นอนด้วยเอวศัพท์ทั้งสองแห่ง.
               ท่านอธิบายไว้อย่างไร.
               อธิบายว่า ก็แลอสุภกัมมัฏฐานสงบและประณีตด้วยอำนาจการแทงตลอดอย่างเดียว แต่เพราะมีอารมณ์หยาบ และเพราะเป็นอารมณ์ในขณะเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งอารมณ์ จึงไม่สงบ ไม่ประณีต ฉันใด อานาปานสติสมาธินี้หาเป็นฉันนั้นไม่ บางปริยายอาจไม่สงบหรือไม่ประณีตก็ได้ แต่ว่าชื่อว่าสงบ ระงับดับแล้วเพราะความที่อารมณ์สงบบ้าง ชื่อว่าประณีต ทำให้ไม่รู้สึกอิ่ม เพราะความที่องค์สงบกล่าวคือความแทงตลอดบ้าง เพราะความที่อารมณ์ประณีตบ้าง เพราะความที่ธรรมประณีตบ้าง. เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สนฺโต เจว ปณีโต จ ดังนี้.
               ก็ในคำว่า ชื่นใจ (ละเมียดละไม) เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข นี้ ชื่อว่าชื่นใจ เพราะอานาปานสติสมาธินั้นไม่หยาบ ไม่เปรอะ ไม่ปน แยกเป็นหนึ่งได้จำเพาะตัว หมายความว่าในอานาปานสติสมาธินี้ บริกรรมหรือความสงบด้วยอุปจารไม่มี อานาปานสติสมาธินั้นสงบและประณีตตามธรรมชาติของตัวเอง เริ่มแต่การรวบรวมจิตในเบื้องต้นมาทีเดียว.
               บางท่านว่า คำว่า ชื่นใจ คือ ไม่ต้องใส่โอชะลงไปก็มีรสเอร็ดอร่อยได้ หวานตามธรรมชาติโดยแท้. พึงทราบว่า อานาปานสติสมาธินี้ ชื่อว่าชื่นใจ และชื่อว่าเป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข เพราะเป็นไปเพื่อได้รับความสุขทั้งทางกายและทางใจในขณะที่จิตใจแนบแน่นแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
               คำว่า ที่บังเกิดขึ้นแล้วๆ คือ ที่ยังไม่ได้ข่มไว้แล้ว.
               คำว่า ปาปเก คือ ลามก.
               คำว่า อกุศลธรรม คือ ธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมเพราะความไม่ฉลาด.
               คำว่า ให้อันตรธานสงบโดยพลัน คือ ให้หายไปได้แก่ข่มไว้ได้โดยทันทีทันใดทีเดียว.
               คำว่า วูปสเมติ คือ ทำให้สงบได้โดยดี.
               มีคำที่ท่านอธิบายไว้ว่า อานาปานสติสมาธิที่ถึงความเจริญแห่งอริยมรรคแล้ว ชื่อว่าย่อมตัดขาด คือทำให้สงบระงับได้โดยลำดับ เพราะเป็นไปในฝ่ายแทงตลอด.
               คำว่า ในเดือนท้ายฤดูร้อน คือ ในเดือนอาสาฬหะ.
               คำว่า ธุลีและละอองที่ฟุ้งขึ้น คือ ในกึ่งเดือน๖- ฝุ่นละอองบนแผ่นดินที่แห้งเพราะลมและแดด แตกแยกเพราะเท้าวัวและควายเป็นต้นเหยียบย่างไป ก็ฟุ้งไปเบื้องบน กลบขึ้นคือตั้งขึ้นพร้อมในอากาศ.
____________________________
๖- พม่า เพราะความที่อารมณ์เป็นของปฏิกูล.

               คำว่า ฝนใหญ่มิใช่กาล คือ ฝนที่ตั้งขึ้นปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าแล้วก็ตกลงมาหมดทั้งกึ่งเดือนในข้างขึ้นเดือนอาสาฬหะ. ก็ฝนนั้น ท่านประสงค์เอาในที่นี้ว่า ฝนมิใช่กาล เพราะเกิดขึ้นเมื่อยังไม่ถึงเวลาฝน.
               คำว่า ให้อันตรธานสงบไปโดยพลัน คือ นำไปสู่ความไม่เห็น ได้แก่ให้ชำแรกแทรกจมไปในแผ่นดินโดยทันทีทันใดทีเดียว.
               คำว่า ฉันนั้นเหมือนกัน นี้เป็นคำแสดงข้อเปรียบเทียบ.
               คำต่อจากนั้นไปก็มีนัยอย่างที่กล่าวแล้วแล.

               จบอรรถกถาเวสาลีสูตรที่ ๙               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อานาปานสังยุตต์ เอกธรรมวรรคที่ ๑ ๙. เวสาลีสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 19 / 1อ่านอรรถกถา 19 / 1327อรรถกถา เล่มที่ 19 ข้อ 1348อ่านอรรถกถา 19 / 1355อ่านอรรถกถา 19 / 1786
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=19&A=7794&Z=7840
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=13&A=7505
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=13&A=7505
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๕  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :