บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] หน้าต่างที่ ๓ / ๑๐. ประวัติพระโกณฑธานเถระ ด้วยบทว่า ปฐมสลากํ คณฺหนฺตานํ พระศาสดาทรงแสดงว่า พระโกณฑธานเถระเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้จับสลากได้ก่อนภิกษุอื่นทั้งหมด. ได้ยินมาว่า พระเถระนั้นเมื่อพระตถาคตเสด็จไปอุคคนคร ในวันที่นางมหาสุภัททานิมนต์ เมื่อภิกษุบอกกล่าวว่า วันนี้ พระศาสดาจักเสด็จภิกขาจารไกล ภิกษุปุถุชนอย่าจับสลาก พระขีณาสพ ๕๐๐ รูปจงจับ, ก็บันลือสีหนาทจับสลากได้ที่ ๑ ทีเดียว. เมื่อพระตถาคตเสด็จไปเมืองสาเกตในวันที่นางจุลลสุภัททานิมนต์ ก็จับสลากได้เป็นที่ ๑ เหมือนกัน ในระหว่างภิกษุ ๕๐๐ รูป. แม้ในคราวเสด็จไปยังชนบทสุนาปรันตปะก็เหมือนกัน ด้วยเหตุเหล่านี้ พระเถระจึงชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้จับสลากได้ที่ ๑. อนึ่ง คำว่า กุณฑธาน เป็นชื่อของท่าน ในปัญหากรรมของท่านมีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้:- ได้ยินว่า ครั้งพระปทุมุตตรพุทธเจ้า พระเถระนี้บังเกิดในเรือนของครอบครัวกรุงหงสวดี ไปวิหารฟังธรรมโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้จักสลากได้ที่ ๑ จึงกระทำกุศลกรรมแด่พระพุทธเจ้าปรารถนาตำแหน่งนั้น ผู้อันพระศาสดาทรงเห็นว่าหาอันตรายมิได้จึงพยากรณ์แล้วบำเพ็ญกุศลตลอดชีพ เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ก็บังเกิดเป็นภุมมเทวดา. ก็ธรรมดาว่าพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืน มิได้ทำอุโบสถทุกกึ่งเดือน. คือพระวิปัสสีทศพล ในระหว่าง ๖ ปีจึงมีอุโบสถครั้งหนึ่ง ส่วนพระกัสสปทศพลทรงให้สวดพระปาฏิโมกข์ทุกๆ ๖ เดือน. ในวันสวดปาฏิโมกข์นั้น ภิกษุ ๒ รูปผู้อยู่ในทิศมาด้วยตั้งใจว่าจะกระทำอุโบสถ. ภุมม ครั้งนั้น พระเถระรูปหนึ่งฝากบาตรและจีวรไว้กับพระเถระอีกรูปหนึ่ง ไปยังที่ๆ มีความผาสุกด้วยน้ำเพื่อชำระล้างสรีระ ครั้งล้างมือล้างเท้าแล้วก็ออกมาจากร่มไม้ที่ถูกใจ. ภุมมเทวดาแปลงเป็นหญิงมีรูปร่างงามอยู่ข้างหลังพระเถระนั้น จึงทำให้เสมือนผมยุ่งแล้วจัดผมเสียใหม่ ทำเป็นปัดฝุ่นข้างหลัง แล้วจัดผ้านุ่งเสียใหม่ เดินสะกดรอยพระเถระออกจากพุ่มไม้มายืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง. พระเถระผู้เป็นสหายเห็นเหตุการณ์นี้จึงเกิดความโทมนัสคิดว่า ความเยื่อใยที่ติดตามกันมาเป็นเวลานานภิกษุนี้ของเรามาฉิบหายเสียแล้วในบัดนี้ ถ้าหากเรารู้เช่นเห็นชาติอย่างนี้ เราจะไม่ทำความคุ้นเคยกับภิกษุนี้ให้เนิ่นนานถึงเพียงนี้. พอพระเถระนั้นมาถึงเท่านั้นก็พูดว่า เชิญเถอะอาวุโส นี่บาตรจีวรของท่าน เราไม่เดินทางเดียวกันกับสหายเช่นท่าน. ครั้นได้ฟังถ้อยคำนั้น หทัยของภิกษุผู้มีความละอายนั้น เหมือนกับถูกหอกคมทิ่มแทงเอาแล้วฉะนั้น แต่นั้นท่านจึงกล่าวกะพระเถระนั้นว่า อาวุโส ท่านพูดอะไรอย่างนี้ ผมไม่รู้อาบัติแม้เพียงทุกกฏมาตลอดกาลเพียงนี้ ก็ท่านพูดว่าข้าพเจ้าเป็นคนชั่วในวันนี้ ท่านเห็นอะไรหรือ? พระเถระนั้นกล่าวว่า จะประโยชน์อะไรด้วยกรรมอื่นที่เราเห็นแล้ว ท่านออกมาอยู่ในที่เดียวกับผู้หญิงที่แต่งตัวอย่างนี้ๆ เพราะเหตุไร. พระเถระนั้นจึงตอบว่า อาวุโส กรรมนั้น แต่นั้นเวลาภิกษุสงฆ์ลงอุโบสถ ภิกษุนั้นจำภิกษุนั้นได้ในโรงอุโบสถจึงกล่าวว่า ในโรงอุโบสถนี้มีภิกษุลามกชื่อนี้ เราไม่กระทำอุโบสถร่วมกับภิกษุนั้น จึงออกไปยืนอยู่ข้างนอก. ภุมมเทวดาคิดว่าเราทำกรรมหนักแล้ว จึงแปลงเป็นอุบาสกแก่ไปหาภิกษุนั้น กล่าวว่า เหตุไร ท่านจึงมายืนอยู่ในที่นี้. พระเถระกล่าวว่า อุบาสก ก็ภิกษุลามกเข้ามายังโรงอุโบสถนี้ อาตมาจะไม่ทำอุโบสถร่วมกับภิกษุลามกนั้นจึงออกมายืนอยู่ข้างนอก. อุบาสกแก่นั้นกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า อย่าถืออย่างนั้นเลย ภิกษุนี้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ผมคือผู้หญิงที่ท่านเห็นนั้น ผมแลเห็นความดีความละอายและความไม่ละอายกระทำกรรมแล้วด้วยคิดว่า ความไมตรีของพระเถระนี้มั่นคงหรือไม่มั่นคง ก็เพื่อทดลองท่านทั้งหลายดู. ภิกษุนั้นถามว่า สัปบุรุษ ก็ท่านเป็นใคร. อุบาสกแก่ตอบว่า ผมเป็นภุมมเทวดาเจ้าข้า. เทวบุตร ทั้งที่ยืนกล่าวอยู่ด้วยอานุภาพอันเป็นทิพย์หมอบลงแทบเท้าของพระเถระกล่าวว่า ขอจงอดโทษนั้นแก่ข้าพเจ้า พระเถระไม่รู้เรื่อง โปรดทำอุโบสถเถิด วิงวอนให้พระเถระเข้าไปสู่โรงอุโบสถแล้ว พระเถระนั้นกระทำอุโบสถในที่เดียวกันก่อน แล้วก็อยู่ในที่เดียวกันกับพระเถระนั้น ด้วยอำนาจแห่งการผูกไมตรีอีกด้วยแล. กรรมของพระเถระนี้ท่านมิได้กล่าวไว้ ส่วนภิกษุผู้ถูกโจทย์บำเพ็ญวิปัสสนาต่อๆ มาได้บรรลุพระอรหัตแล้ว. ภุมมเทวดาก็ไม่พ้นภัยในอบายตลอดพุทธันดรหนึ่ง เพราะผลของกรรมนั้น แต่ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ตามสมควรแต่กาล โทษที่คนอื่นจะเป็นผู้ใดก็ตามกระทำ ก็ตกอยู่แก่เขาเท่านั้น ท่านบังเกิดในครอบครัวพราหมณ์ในกรุงสาวัตถี ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา พวกของท่านตั้งชื่อท่านว่า ธานมาณพ. ธานมาณพนั้นเจริญวัยแล้วเรียนไตรเพท ในเวลาแก่ฟังธรรมของพระศาสดาได้ศรัทธาแล้วบวช ตั้งแต่วันที่ท่านบวชแล้ว หญิงผู้แต่งตัวคนหนึ่ง เมื่อท่านเข้าบ้านก็เข้าไปกับท่านด้วย เมื่อออกก็ออกด้วย แม้เมื่อเข้าวิหารก็เข้าด้วย แม้เมื่อยืนก็ยืนอยู่ด้วยดังนั้นย่อมปรากฏว่าติดพันอยู่เป็นนิตย์อย่างนี้. พระเถระก็ไม่เห็น แต่ด้วยผลของกรรมเก่าของพระเถระนั้น หญิงนั้นจึงปรากฏแก่คนอื่นๆ หญิงทั้งหลายที่ถวายข้าวยาคู และภิกษาในบ้านก็ทำการเย้ยหยันว่า ท่านเจ้าขา ข้าว ภายหลังท่านมีชื่อว่า โกณฑธานเถระ เพราะเหตุนั้นนั่นแล พระเถระพยายามแล้วพยายามเล่า เมื่อไม่อาจอดกลั้นความเย้ยหยันที่พวกสามเณรและภิกษุหนุ่มเหล่านั้นกระทำได้ ก็เกิดความบุ่มบ่ามขึ้นกล่าวว่า อุปัชฌาย์ของท่านซิชั่ว อาจารย์ของท่านซิชั่ว. ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระศาสดาว่า พระกุณฑธานะกล่าวหยาบอย่างนี้ๆ กับภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลาย. พระศาสดาให้เรียกภิกษุนั้นมา ตรัสถามว่า จริงหรือ ภิกษุ เมื่อทูลว่าจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เหตุไร ท่านจึงกล่าวอย่างนั้น พระเถระทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ก็ไม่อาจอดกลั้นการเสียดสีอยู่เป็นประจำ จึงกล่าวอย่างนั้น. พระศาสดาตรัสว่า ตัวท่านไม่อาจใช้กรรมที่ทำไว้ในปางก่อนให้หมดไปจนถึงทุกวันนี้ ต่อไปนี้ ท่านอย่ากล่าวคำหยาบ เห็นปานนั้นน่ะภิกษุ ดังนี้ แล้วตรัสว่า
แล้ว ก็จะโต้ตอบท่าน ด้วยว่า ถ้อยคำที่แข่งดีกันนำทุกข์ มาให้ ผู้ทำตอบก็พึงประสบทุกข์นั้น ท่านไม่ยังตนให้หวั่นไหว ดุจกังสดาลถูกเลาะ ขอบออกแล้ว ท่านนั้นก็จะเป็นผู้ถึงพระนิพพาน ความ แข่งดีก็จะไม่มีแก่ท่าน ดังนี้. ก็และบุคคลทั้งหลาย กราบทูลความที่พระเถระนั้นเที่ยวไปกับมาตุคามนี้แด่พระเจ้าโกศล. พระราชาส่งอำมาตย์ไปว่า พนาย จงไปสืบสวนดู แม้พระองค์เองก็เสด็จไปยังที่อยู่ของพระเถระนั้น พร้อมด้วยราชบริพารเป็นอันมาก ประทับยืนดูอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. ขณะนั้น พระเถระกำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ หญิงแม้นั้นก็ปรากฏเหมือนยืนอยู่ในที่ไม่ ทีแรกแม้มาถึงใกล้พระเถระ ก็ไม่ทรงไหว้พระเถระ ครั้นทรงทราบว่าเหตุนั้นไม่เป็นจริง จึงเสด็จมาไหว้พระเถระ ประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง ตรัสถามว่า พระคุณเจ้าไม่ลำบาก พระเถระทูลว่า เป็นไปได้ ขอถวายพระพร. พระราชาตรัสว่า ท่านผู้เจริญ โยมรู้เรื่องราวของพระคุณเจ้า เมื่อพระคุณเจ้าเที่ยวไปกับสิ่งที่ทำให้เศร้าหมองเห็นปานนี้ ชื่อว่าใครเล่าจักเลื่อมใส ตั้งแต่นี้ไป พระคุณเจ้าไม่จำต้องไปในที่ไหนๆ โยมจักบำรุงด้วยปัจจัย ๔ พระคุณเจ้าอย่าประมาทด้วยโยนิโสมนสิการเถิด. แล้วส่งภิกษาไปถวายเป็นประจำ พระเถระได้พระราชูปถัมภ์ เป็นผู้มีจิตมีอารมณ์เดียว เพราะมีโภชนะสบาย เจริญวิปัสสนาบรรลุ พระอรหัตตผลแล้ว ตั้งแต่นั้นไป หญิงนั้นก็หายไป. นางมหาสุภัททาอยู่ในครอบครัวมิจฉาทิฏฐิในอุคคนคร คิดว่าพระศาสดาจงทรง พระศาสดาทอดพระเนตรเห็น เพดานดอกมะลินั้น ทรงรับภิกษาของนางสุภัททาด้วยจิตนั้นแหละ. วันรุ่งขึ้นเมื่ออรุณขึ้น จึงตรัสสั่งพระอานนท์ว่า อานนท์ วันนี้เราจะไปภิกษาจาร ณ ที่ไกล จงอย่าให้สลากแก่พระปุถุชน จงให้แก่พระอริยะเท่านั้น. พระเถระบอกแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ผู้มีอายุ วันนี้พระศาสดาจักเสด็จภิกษาจาร ณ ที่ไกล พระภิกษุปุถุชนจงอย่าจับสลาก พระอริยะเท่านั้นจงจับ. พระโกณฑธานเถระกล่าวว่า ผู้มีอายุจงนำสลากมา แล้วเหยียดมือออกไปก่อน เมื่อพระอานนท์เถระกล่าวว่า ท่านพระศาสดาไม่ให้ประทานสลากแก่ภิกษุเช่นท่าน สั่งให้ประทานเฉพาะภิกษุผู้เป็นอริยะเท่านั้น เกิดความวิตกขึ้น จึงไปกราบทูลพระศาสดา. พระศาสดาตรัสว่า เธอจงไปให้สลากแก่ภิกษุผู้บอกให้นำสลากมาเถิด. พระเถระจึงคิดว่า ถ้าไม่ควรให้สลากแก่พระกุณฑธานะ พระศาสดาจะพึงห้ามเธอ จักมีเหตุอย่างหนึ่งเป็นแท้ จึงรีบนำมาด้วยคิดว่า จักให้สลากแก่พระกุณฑธานะ. พระกุณฑธานะเถระ ก่อนที่พระอานนท์เถระมา เข้าจตุตถฌานอันเป็นบาทแห่งอภิญญา ยืนอยู่ในอากาศด้วยฤทธิ์กล่าวว่า ท่านอานนท์จงนำสลากมา พระศาสดาทรงรู้จักเรา พระศาสดาไม่ตรัสห้ามภิกษุเช่นเราผู้จับสลากได้ก่อน แล้วเหยียดมือไปจับสลากแล้ว. พระศาสดาทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอรรถอุบัติเหตุเกิดเรื่อง จึงทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้จับสลากได้ที่ ๑ ในศาสนาแล. จบอรรถกถาสูตรที่ ๓ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๓ |