ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 148อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 149อ่านอรรถกถา 20 / 150อ่านอรรถกถา 20 / 596
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี
วรรคที่ ๔

หน้าต่างที่ ๑๒ / ๑๒.

               อรรถกถาสูตรที่ ๑๒               
               ประวัติพระโมฆราชเถระ               
               ในสูตรที่ ๑๒ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               ด้วยบทว่า ลูขจีวรธรานํ ท่านแสดงว่า ท่านพระโมฆราชเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ทรงจีวรปอน.
               จริงอยู่ พระเถระองค์นี้ทรงผ้าบังสุกุลจีวรที่ประกอบด้วยความปอน ๓ อย่าง คือ ปอนด้วยผ้า ปอนด้วยด้าย ปอนด้วยเครื่องย้อม เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ทรงจีวรปอน.
               ปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้
               ก็ท่านพระโมฆราชนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ถือปฏิสนธิบังเกิดในครอบครัว กรุงหงสวดี หลังจากนั้น กำลังฟังธรรมกถาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ทรงจีวรปอน ก็ทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น.
               ท่านทำกุศลจนตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ถือปฏิสนธิในเรือนอำมาตย์ ในนครกัฏฐวาหนะ ก่อนแต่พระทศพลพระนามว่ากัสสปเสด็จอุบัติขึ้น ต่อมาเจริญวัย เฝ้าบำรุงพระเจ้ากัฏฐวาหนะ ก็ได้ตำแหน่งอำมาตย์.
               สมัยนั้น พระกัสสปทศพลเสด็จอุบัติในโลกแล้ว พระเจ้ากัฏฐวาหนะทรงสดับว่าพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก รับสั่งเรียกอำมาตย์นั้นมาตรัสว่า พ่อเอ๋ย พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ใครๆ ไม่อาจทำนครปัจจันตประเทศนี้ให้ว่างจากเราทั้งสองพร้อมๆ กันได้ ก่อนอื่นท่านจงไปยังมัชฌิมประเทศ รู้ว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว จงพาพระทศพลนำมายังนครปัจจันตประเทศนี้ แล้วทรงส่งไปพร้อมด้วยบุรุษ ๑,๐๐๐ คน.
               อำมาตย์นั้นไปยังสำนักพระศาสดา ฟังธรรมกถาได้ศรัทธาแล้วก็บวชในที่นั้นตามลำดับ ได้กระทำสมณธรรมอยู่ถึง ๒๐,๐๐๐ ปี. ส่วนบุรุษที่ไปกับอำมาตย์นั้นกลับมาสำนักพระราชาหมด.
               พระเถระนี้มีศีลบริบูรณ์กระทำกาละ (มรณะ) แล้วเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์พุทธันดรหนึ่ง ถือปฏิสนธิในครอบครัวพราหมณ์ในกรุงสาวัตถี ก่อนพระทศพลของเราบังเกิด บิดามารดาได้ตั้งชื่อว่า โมฆราชมาณพ.
               แม้พระเจ้ากัฏฐวาหนะก็ทรงทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไปแด่พระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ พร้อมด้วยบริวารเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ พุทธันดรหนึ่ง ถือปฏิสนธิในครอบครัวปุโรหิต กรุงสาวัตถีก่อนพระทศพลของเราเสด็จอุบัติขึ้น บิดามารดาตั้งชื่อว่า พาวรีมาณพ.
               สมัยต่อมา พาวรีมาณพเรียนไตรเพทแล้วเที่ยวสอนศิลปแก่พวกมาณพ ๑๖,๐๐๐ คน. ครั้งนั้น พาวรีมาณพก็ได้รับตำแหน่งปุโรหิตแทน เมื่อบิดาล่วงลับไป ในสมัยที่พระเจ้าปเสนทิโกศลประสูติ. แม้โมฆราชมาณพนี้ก็เรียนศิลปะในสำนักพาวรีพราหมณ์
               อยู่มาวันหนึ่ง พาวรีพราหมณ์อยู่ในที่ลับก็สำรวจดูสาระในศิลปะ ก็ไม่เห็นสาระที่เป็นไปในภายหน้า คิดว่า เราจักบวชอย่างหนึ่ง เสาะหาสาระที่เป็นไปในภายหน้า แล้วก็เข้าเฝ้าพระเจ้าโกศล (มหาโกศล) ให้ทรงอนุญาตการบวชแก่ตน. พาวรีพราหมณ์นั้นได้รับราชานุญาตแล้วมีมาณพ ๑๖,๐๐๐ คนแวดล้อม ก็ออกไปเพื่อต้องการบวช.
               แม้พระเจ้าโกศลก็ทรงส่งพระราชทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะไปพร้อมกับพาวรีพราหมณ์นั้น ด้วยดำรัสสั่งว่า อาจารย์บวชอยู่ในที่ใด พวกท่านจงไปที่อยู่ของอาจารย์แล้วให้ทรัพย์ในที่นั้น.
               พาวรีพราหมณ์ประสงค์จะสำรวจสถานที่อันผาสุก ก็ออกไปจากมัชฌิมประเทศ ให้สร้างสถานที่อยู่ของตน ตรงคุ้งแม่น้ำโคธาวรี ระหว่างเขตแดนของพระเจ้าอัสสกะและเจ้ามัลละ.
               ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่งเดินไปเพื่อต้องการจะดูชฎิลทั้งหลาย ๑-เมื่อชฎิลเหล่านั้นอนุญาตแล้ว ก็สร้างสถานที่อยู่ของตน บนที่ดินที่เป็นของชฎิลเหล่านั้น. เขาเห็นกิจกรรมที่พาวรีพราหมณ์ทำแล้ว ก็ให้สร้างครอบครัว ๑๐๐ ครอบครัว เรือน ๑๐๐ หลังอีก.
               คนทั้งหมดประชุมกัน ปรึกษากันว่า ๒-พวกเราจะอยู่ในที่ดินอันเป็นของผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย การอยู่เปล่าๆ หาใช่เหตุอันควรไม่ พวกเราจักให้พวกท่านอยู่เป็นสุข. แต่ละคนจึงวางกหาปณะคนละกหาปณะไว้ในสถานที่อยู่ของพาวรีพราหมณ์ ๓-กหาปณะที่พวกเขาแม้ทั้งหมดนำมาวางไว้ ก็ตกประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ. พาวรีพราหมณ์ถามว่า ๔-กหาปณะเหล่านี้พวกท่านนำมาเพื่อต้องการอะไร. พวกเขาตอบว่า เพื่อต้องการให้พวกท่านอยู่กันเป็นสุขเจ้าข้า.
____________________________
๑- ปาฐะว่า เตสํ สนฺติเก ภูมิฏฐาเน เตหิ อนุญฺญาเต อตฺตโน วสนฏฐานํ อกาสิ
    พม่าเป็น เตสํ สนฺตเก ภูมิฏฺฐาเน เตหิ อนุญฺญาโต อตฺตโน วสนฏฐานํ อกาสิ. (แปลตามพม่า).
๒- ปาฐะว่า มยํ อยฺยานํ สนฺติเก ภูมิภาเค วสนฺตา สุขํ วสิตุํ น สกฺโกม กหาปณํ สุขสํวาสํ เต ทสฺสามาติ
    พม่าเป็น มยํ อฺยานํ สนฺตเก ภูมิภาเค วสาม, มุธา วสิตํ น การณํ, สุขวาสํ โว ทสฺสามาติ (แปลตามพม่า).
๓- ปาฐะว่า สพฺเพปิ อาคตกหาปณา พม่าเป็น สพฺเพหิปิ อาภตกหาปณา (แปลตามพม่า).
๔- ปาฐะว่า กิมตฺกํ เอเต อาคตาติ อาหฯ สุขวาสนตฺถาย ภนฺเตติฯ
    พม่าเป็น กิมตฺถํ เอเต อาภตาติ อาห. สุขวาสทานตฺถาย ภนฺเตติ. (แปลตามพม่า).

               พาวรีพราหมณ์กล่าวว่า ถ้าเราต้องการเงินทอง ก็ไม่พึงละกองทรัพย์ขนาดใหญ่ออกบวช พวกท่านรับเอากหาปณะของพวกท่านไปเสีย. พวกเขาบอกว่า พวกเราจะไม่ยอมรับทรัพย์ที่พวกเราบริจาคแล้วอีก แต่พวกเราจักนำมาทำนองนี้ทุกๆ ปี ขอพระเป็นเจ้าจงรับกหาปณะเหล่านี้ไว้ให้ทานก็แล้วกัน. พราหมณ์จึงยอมรับ มอบไว้ในงบให้ทานแก่ผู้กำพร้า คนเดินทางไกล วณิพกและยาจก. ภาวะที่พาวรีพราหมณ์นั้นเป็นทายกสืบๆ กันมา ปรากฏไปทั่วชมพูทวีป.
               ครั้งนั้น พราหมณี (ภริยา) ของพราหมณ์ผู้เกิดมาในวงศ์ของชูชกพราหมณ์ ในหมู่บ้านทุนนวิตถะ ในแคว้นกลิงคะ ลุกขึ้นเตือนพราหมณ์ (สามี) ว่า เขาว่าพาวรีกำลังให้ทาน ท่านจงไปนำเงินทองมาจากที่นั้น. พราหมณ์นั้นถูกพราหมณีเตือนก็ไม่อาจทนอยู่ได้ เมื่อจะไปยังสำนักพาวรี ก็ไปเมื่อพาวรีให้ทานวันวานแล้วเข้าบรรณศาลา กำลังนอนนึกถึงทาน และครั้งเข้าไปถึงก็พูดว่า ท่านพราหมณ์โปรดให้ทานแก่ข้าเถิด ท่านพราหมณ์โปรดให้ทานแก่ข้าเถิด.
               พาวรีพราหมณ์กล่าวว่า ท่านพราหมณ์ ท่านมาไม่ถูกเวลา เราให้ทานแก่พวกยาจกที่มาถึงไปแล้ว บัดนี้ไม่มีกหาปณะดอก. พราหมณ์พูดว่า ท่านพราหมณ์ ข้าไม่ต้องการกหาปณะมากมายเลย เมื่อท่านให้ทานถึงเท่านี้ ข้าก็ไม่อาจงดเว้นกหาปณะได้ ๕๐๐ กหาปณะก็ไม่มี ถึงเวลาให้ทานแล้ว ท่านจึงจักได้อีก. พราหมณ์ ท่านพราหมณ์ ๕๐๐ กหาปณะก็ไม่มี ถึงเวลาแล้วจึงจักได้อีก. พราหมณ์พูดว่า ก็เวลาท่านให้ทาน ข้าจักมาได้อย่างไร แล้วจึงก่อทรายเป็นสถูปใกล้ประตูบรรณศาลา โรยดอกไม้สีแดงไปรอบๆ ทำปากขมุบขมิบเหมือนบ่นมนต์แล้วพูดว่า ศีรษะจงแตก ๗ เสี่ยง.
               พาวรีพราหมณ์คิดว่า พราหมณ์ผู้นี้มีเดชมาก ถือการประพฤติตปะเป็นจรณกพราหมณ์ พูดว่า ท้าย ๗ วัน ศีรษะของเราจงแตก ๗ เสี่ยง ๕๐๐ กหาปณะที่เราจะพึงให้แก่พราหมณ์ผู้นี้ก็ไม่มี พราหมณ์ผู้นี้จักฆ่าเราถ่ายเดียว.
               เมื่อพาวรีพราหมณ์นั้นนอนเต็มแปร้ด้วยความเหี่ยวแห้งอย่างนั้น ในตอนราตรี มารดาของพาวรีพราหมณ์ในอัตตภาพติดต่อกันมา บังเกิดเป็นเทวดา. นางเห็นบุตรเต็มแปร้ด้วยความเหี่ยวแห้งใจ จึงมากล่าวว่า ลูกเอ๋ย ตาพราหมณ์นั่นก็ไม่รู้ว่าศีรษะจะแตกหรือไม่แตก เจ้าไม่รู้หรือว่าพระพุทธะทั้งหลายอุบัติขึ้นแล้วในโลก ถ้าเจ้ายังมีความสงสัย ก็จงไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลถาม พระศาสดาจักตรัสบอกเหตุนั้นแก่เจ้าก็ได้นะ.
               พาวรีพราหมณ์ ตั้งแต่ได้ยินเสียงเทวดากล่าว ก็โล่งใจ รุ่งขึ้นพอได้อรุณก็เรียกศิษย์ทุกคนมาแล้ว กล่าวว่า พ่อเอ๋ย เขาว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ถึงพวกท่านก็จงรีบไป รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ใช่ แล้วจงกลับมาบอกเรา เราก็จักไปเฝ้าพระศาสดา ก็แต่ว่าอันตรายแห่งชีวิตรู้กันยาก เพราะเราแก่เฒ่าแล้ว พวกท่านไปเฝ้าพระศาสดา จงทูลถามปัญหาโดยทำนองอย่างนี้อย่างนี้กะพระองค์ จึงแต่งปัญหาชื่อสมองแตกให้ไป.
               ต่อนั้น พาวรีพราหมณ์คิดว่า พวกมาณพเหล่านี้ทุกคนเป็นบัณฑิต ฟังธรรมกถาของพระศาสดาแล้ว เมื่อกิจของตนถึงที่สุดแล้ว จะพึงกลับมาหาเราหรือไม่หนอ ทีนี้จึงให้สัญญาแก่อชิตมาณพ๕- หลานชายของตนว่า เจ้าควรกลับมาถ่ายเดียว มาบอกคุณที่ตนได้แก่เรา.
____________________________
๕- กตฺถจิ. ปิงฺคิยมาณวสฺส

               ลำดับนั้น เหล่าชฎิล ๑๖,๐๐๐ ยกอชิตมาณพเป็นหัวหน้า จึงออกจาริกไปพร้อมกับอันเตวาสิกหัวหน้า ๑๖ คน ด้วยหมายใจว่า จักทูลถามปัญหากะพระศาสดา ในที่ๆ ไปๆ ถูกถามว่าพระผู้เป็นเจ้าจะไปไหน ก็ตอบว่า พวกเราจะไปเฝ้าพระทศพลถามปัญหา เมื่อจะชักตั้งแต่ปลายมาตลอดบริษัทก็เดินทางได้หลายร้อยโยชน์.
               พระศาสดาทรงดำริว่า ในวันที่มาณพเหล่านั้นๆ มา โอกาสจักไม่มีแก่ผู้อื่น ที่นี่จึงเป็นที่ไม่ควรสำหรับบริษัทนี้ จึงเสด็จไปประทับนั่ง ณ หลังแผ่นหินที่ปาสาณเจดีย์ แม้อชิตมาณพนั้นกับบริษัทก็ขึ้นหลังแผ่นหินนั้น เห็นสมบัติแห่งพระสรีระของพระศาสดา ก็คิดว่า บุรุษผู้นี้คงจักเป็นพระพุทธเจ้าผู้มีหลังคาอันเปิดแล้วในโลกนี้ จึงไปเอาใจถามปัญหาที่อาจารย์ส่งมอบแก่ตนมา.
               วันนั้น บริษัทที่มาถึงที่นั้นประมาณ ๑๒ โยชน์.
               ในระหว่างศิษย์ ๑๖ คนนั้น โมฆราชมาณพถือตัวว่าเป็นบัณฑิตกว่าทุกคน เขาจึงดำริว่า อชิตมาณพนี้เป็นหัวหน้าของศิษย์ทุกคน ไม่ควรถามปัญหาก่อน เขาละอายต่ออชิตมาณพนั้น จึงไม่ถามก่อน. เมื่ออชิตมาณพนั้นถามปัญหาแล้ว จึงถามปัญหากะพระศาสดาเป็นคนที่สอง.
               พระศาสดาทรงดำริว่า โมฆราชมาณพเป็นคนถือตัว ทั้งญาณของเขาก็ยังไม่แก่เต็มที่ ควรจะนำความถือตัวของเขาออกไป จึงตรัสว่า โมฆราชเธอจงพักไว้ คนอื่นๆ ถามปัญหาก่อน.
               โมฆราชมาณพนั้นได้ความรุกรานจากสำนักพระศาสดา คิดว่า เราเที่ยวไปตลอดกาลเท่านี้ด้วยเข้าใจว่า ไม่มีคนที่จะเป็นบัณฑิตเกินกว่าเรา ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทรงทราบความในใจ ย่อมไม่ตรัส พระศาสดาคงจักทรงเห็นโทษในการถามของเรา จึงนิ่งเสีย.
               โมฆราชมาณพนั้น เมื่อมาณพคนที่ ๘ ถามปัญหาไปตามลำดับ ก็อดกลั้นไว้ไม่ได้ ลุกขึ้นอีกเป็นคนที่ ๙. พระศาสดาก็ทรงรุกรานเขาอีก. โมฆราชมาณพนั้นก็ต้องนิ่ง คิดว่า บัดนี้เราไม่อาจจะเป็นนวกะผู้ใหม่ในสงฆ์ได้แล้ว จึงทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๕.
               ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบว่า ญาณของท่านแก่เต็มที่แล้ว จึงทรงตอบปัญหา. จบเทศนา ท่านก็บรรลุพระอรหัตพร้อมกับชฎิล ๑,๐๐๐ คนบริวารของตน.
               โดยทำนองนี้นี่แล ชฎิล ๑๕,๐๐๐ คนที่เหลือก็บรรลุพระอรหัต แม้ทั้งหมดก็ได้เป็นเอหิภิกขุ ทรงบาตรจีวรสำเร็จมาแต่ฤทธิ์. แต่ชนที่เหลือ ท่านไม่กล่าวถึง. ท่านพระโมฆราชเถระนี้ก็ทรงจีวรประกอบด้วยความปอน ๓ อย่างมาตั้งแต่นั้น.
               ก็เรื่องตั้งขึ้นในปารายนวรรคอย่างนี้.
               แต่ภายหลัง พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวัน กำลังทรงสถาปนาพระเถระทั้งหลายไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะตามลำดับ เมื่อจะทรงสถาปนาท่านพระโมฆราชเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ทรงจีวรปอน จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมฆราชเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกของเราผู้ทรงจีวรปอน.

               จบอรรถกถาสูตรที่ ๑๒               
               จบอรรถกถาวรรคที่ ๔               
               จบอรรถกถาเถรบาลีมีประมาณ ๔๑ สูตร               
               จบประวัติพระภิกษุสาวกเอตทัคคะ (รวม ๔๑ ท่าน)               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๔ จบ.
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 148อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 149อ่านอรรถกถา 20 / 150อ่านอรรถกถา 20 / 596
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=675&Z=693
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=14&A=6083
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=14&A=6083
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :