บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] หน้าต่างที่ ๗ / ๑๐. ประวัติพระลกุณฎกภัททิยเถระ บทว่า มญฺชุสฺสรานํ แปลว่า มีเสียงหวาน. บทว่า ลกุณฺฏกภทฺทิโย ความว่า ท่านว่าโดยส่วนสูง เป็นคนเตี้ย โดยชื่อชื่อว่า ภัททิยะ. ในปัญหากรรม แม้ของพระภัททิยะนั้นมีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับต่อไปนี้ :- กล่าวโดยพิสดาร ท่านพระเถระแม้นี้บังเกิดในตระกูลที่มีโภคะมาก ในกรุงหงส สมัยนั้น ท่านเห็นพระภิกษุผู้มีเสียงไพเราะรูปหนึ่งที่พระศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เกิดจิตคิดว่า อัศจรรย์หนอ ต่อไปในอนาคต เราพึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีเสียงไพเราะในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เหมือนภิกษุนี้ จึงนิมนต์พระศาสดาถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ๗ วัน แล้วหมอบลงแทบพระบาทของพระศาสดา ตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยผลแห่งทานนี้ ข้าพระองค์มิได้หวังสมบัติอื่น แต่ในอนาคตกาล ขอข้าพระองค์พึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีเสียงไพเราะในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด. พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคตก็ทรงเห็นความสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์ว่า กรรมของท่านนี้จักสำเร็จในที่สุดแห่งแสนกัปแต่กัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมจักทรงอุบัติขึ้น ท่านจักเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีเสียงไพเราะในศาสนาของพระองค์ ดังนี้แล้วเสด็จกลับพระวิหาร. แม้ท่านได้พยากรณ์นั้นแล้ว กระทำกรรมดีงามอยู่ตลอดชีวิต ทำกาละใน ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี บังเกิดเป็นนกดุเหว่ามีขนปีกอันสวยงาม อยู่ในเขมมิคทายวัน. วันหนึ่งไปยังหิมวันตประเทศ เอาปากคาบผลมะม่วงหวานมา เห็นพระศาสดามีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ถวายบังคมแล้วคิดว่า ในวันอื่นๆ เรามีตัวเปล่าพบพระตถาคต แต่วันนี้เรานำมะม่วงสุกผลนี้มาเพื่อฝากบุตรของเรา แต่สำหรับบุตรนั้นเราไปเอาผลอื่นมาให้ก็ได้ แต่ผลนี้เราควรถวายพระทศพลดังนี้ จึงคงบินอยู่ในอากาศ. พระศาสดาทรงทราบใจของนกจึงแลดูพระอุปัฏฐากนามว่าอโสกเถระ. พระเถระจึงนำบาตรถวายพระศาสดา นกดุเหว่าจึงเอาผลมะม่วงสุกวางไว้ในบาตรของพระทศพล. พระศาสดาประทับนั่งเสวยในที่นั้นนั่นแหละ. นกดุเหว่ามีจิตเลื่อมใสนึกถึงพระคุณของพระทศพลเนืองๆ ถวายบังคมพระทศพลแล้วไปรังของตน ยับยั้งอยู่ด้วยสุขปีติ ๗ วัน. ในอัตภาพนั้น เธอทำกัลยาณกรรมไว้มีประมาณเท่านี้ด้วยกรรมนี้ เธอจึงมีเสียงไพเราะ. แต่ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป เมื่อชนทั้งหลายปรารภเริ่มสร้างเจดีย์ ต่างพูดกันว่า เราจะสร้างขนาดเท่าไร เราสร้างขนาด ๗ โยชน์ก็จะใหญ่เกินไป ถ้าอย่างนั้นก็สร้างขนาด ๖ โยชน์ แม้ ๖ โยชน์นี้ก็ใหญ่เกินไป เราจะสร้าง ๕ โยชน์ เราจะสร้าง ๔ โยชน์ ๓ โยชน์ ๒ โยชน์ ดังนี้. ท่านภัททิยะนี้ ครั้งนั้นเป็นนายช่างใหญ่พูดว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย การสร้างก็ควรนึกถึงการบำรุงได้ง่ายในอนาคตกาลบ้าง แล้วกล่าวว่า มุขแต่ละมุขขนาดคาวุตหนึ่ง เจดีย์ส่วนกลมโยชน์หนึ่ง ส่วนสูงโยชน์หนึ่ง ดังนี้ ชนเหล่านั้นก็เชื่อ. ท่านได้กระทำแต่พอประมาณแด่พระพุทธเจ้าผู้หาประมาณมิได้ ด้วยกรรมนั้นดังกล่าวมานี้ จึงเป็นผู้มีขนาดต่ำกว่าชนเหล่าอื่นในที่ที่ตนเกิดแล้ว ด้วยประการดังนี้. ครั้งพระศาสดาของเรา ท่านมาบังเกิดในตระกูลที่มีโภคะสมบัติมากในกรุงสาวัตถี พวกญาติขนานนามของท่านว่า ภัททิยะ. ท่านเจริญวัยแล้ว เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในเชตวันมหาวิหาร จึงไปพระวิหารฟังพระธรรมเทศนา ได้ศรัทธาแล้วรับกรรมฐานในสำนักของพระศาสดา เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. ต่อมาภายหลัง พระศาสดาประทับนั่งท่ามกลางพระอริยสงฆ์ ทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งผู้ยอดของเหล่าภิกษุผู้มีเสียงไพเราะ. จบอรรถกถาสูตรที่ ๗ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๑ |