ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 148อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 149อ่านอรรถกถา 20 / 150อ่านอรรถกถา 20 / 596
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี
วรรคที่ ๔

หน้าต่างที่ ๑๑ / ๑๒.

               อรรถกถาสูตรที่ ๑๑               
               ประวัติพระราธเถระ               
               ในสูตรที่ ๑๑ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               บทว่า ปฏิภาเณยฺยกานํ๑- ได้แก่ ผู้ให้ปฏิภาณเกิดขึ้นได้อันนับเป็นเหตุให้ท่านแสดงซ้ำซึ่งพระธรรมเทศนาของพระศาสดาได้ทันที
____________________________
๑- บางแห่งเป็น ปฏิภานกภิกขูนํ แปลว่า ภิกษุผู้มีปฏิภาณ.

               ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้
               ก็พระเถระรูปนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ บังเกิดในเรือนสกุล ในเมืองหงสวดี ภายหลังกำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มีปฏิภาณ จึงทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น. ท่านปรนนิบัติพระตถาคตจนตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์.
               ครั้งพุทธุปบาทกาลนี้ ก็ถือปฏิสนธิในสกุลพราหมณ์ กรุงราชคฤห์ บิดามารดาจึงขนานนามว่าราธมาณพ. เวลาแก่เฒ่า เขาคิดว่าเราเป็นผู้ที่บุตรภริยาของตน ไม่ต้องการจักบวชให้เวลาล่วงไปเสีย จึงไปพระวิหารขอบรรพชากะพระเถระทั้งหลาย.
               พระเถระบางพวกไม่ประสงค์ให้บวช ด้วยเห็นว่าเป็นคนแก่ เป็นพราหมณ์แก่เฒ่า.
               ต่อมาวันหนึ่ง พราหมณ์ไปสำนักของพระศาสดา ทำการปฏิสัณฐารแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง. พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสสยสมบัติความถึงพร้อมด้วยอุปนิสสัย ทรงมีพระประสงค์จะยกเรื่องขึ้นจึงตรัสถามว่า พราหมณ์ บุตรภริยายังปรนนิบัติอยู่หรือ. กราบทูลว่า ท่านพระโคดม ปรนนิบัติแต่ที่ไหนเล่า พวกบุตรภริยาให้ข้าพระองค์ออกไปจากบ้าน ด้วยเขาคิดว่าข้าพระองค์แก่แล้ว. ตรัสถามว่า ท่านบวชเสียไม่ควรหรือพราหมณ์. กราบทูลว่า ท่านพระโคดม ใครเล่าจะให้ข้าพระองค์บวช ใครๆ เขาไม่ต้องการข้าพระองค์ดอก เพราะเป็นคนแก่แล้ว.
               พระศาสดาได้ประทานสัญญานัดหมายแก่ท่านพระสารีบุตรเถระ. พระเถระรับพระพุทธดำรัสด้วยเศียรเกล้า ให้ราธพราหมณ์บวช. ท่านคิดว่า พระศาสดาทรงให้พราหมณ์ผู้นี้บวชด้วยความเอื้อเฟื้อ ไม่สมควรดูแลพราหมณ์ผู้นี้ด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ จึงพาพระราธเถระไปที่อยู่ใกล้บ้าน ณ ที่นั้น ท่านมีลาภที่ค่อนข้างหาได้ยาก เพราะยังบวชใหม่ พระเถระจึงให้ที่อยู่ที่ถึงแก่ตนแม้เป็นที่ดีเลิศ ให้บิณฑบาตอันประณีตที่ถึงแก่ตน แก่พระราธเถระนั้น เที่ยวไปบิณฑบาตเอง.
               ท่านพระราธเถระได้เสนาสนะอันสบายและโภชนะอันสบาย รับกรรมฐานในสำนักท่านพระสารีบุตรเถระ ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต.
               ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเถระก็พาท่านไปเฝ้าพระทศพล. พระศาสดาก็ทรงทราบ จึงตรัสถามว่า สารีบุตร นิสสิตที่เรามอบหมายแก่เธอไปเป็นเช่นไร ไม่อยากสึกหรือ. ท่านพระสารีบุตรเถระทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมดาภิกษุผู้อภิรมย์ยินดียิ่งในพระศาสนา พึงเป็นเช่นนี้พระเจ้าข้า.
               ครั้งนั้นเกิดพูดกันกลางสงฆ์ว่า ท่านพระสารีบุตรเถระเป็นผู้กตัญญูกตเวที.
               พระศาสดาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ทรงเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความที่สารีบุตรเป็นผู้กตัญญูกตเวทีในชาตินี้ยังไม่อัศจรรย์ ในชาติก่อนเธอแม้บังเกิดในปฏิสนธิของอเหตุกสัตว์ ก็ได้เป็นผู้กตัญญูกตเวทีแล้วเหมือนกัน.
               ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในกาลไหนพระเจ้าข้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล ช่างไม้ประมาณ ๕๐๐ คนเข้าไปป่าใหญ่เชิงเขา ตัดทัพพสัมภาระได้แล้วผูกแพใหญ่ล่องลงแม่น้ำ มีพระยาช้างเชือกหนึ่ง นัยว่า เอางวงจับกิ่งไม้ในที่ไม่เรียบร้อยแห่งหนึ่ง ไม่อาจจะธารกิ่งไม้หักได้ ก็เอาเท้าเหยียบลงตรงตอแหลม เท้าถูกตอแทง เกิดทุกขเวทนา ไม่สามารถออกไปเดินได้ ก็นอนลงที่นั้นนั่นแหละ.
               ล่วงไป ๒-๓ วัน พระยาช้างนั้นแลเห็นพวกช่างไม้ เดินมาใกล้ตัว ก็คิดว่า เราอาศัยช่างไม้เหล่านี้คงจักรอดชีวิตแน่ จึงได้เดินไปตามรอยช่างไม้เหล่านั้น พวกเขาเหลียวกลับมาเห็นช้าง ก็กลัวจึงหนีไป. พระยาช้างนั้นรู้ว่าเขาหนีก็หยุด ติดตามไปอีกเมื่อเวลาเขาหยุด. หัวหน้าช่างไม้คิดว่า ช้างเชือกนี้ เมื่อเราหยุดก็ตาม เมื่อเราหนีก็หยุด คงจักต้องมีเหตุในที่นั้นแน่ ทุกคนจึงพากันปีนขึ้นต้นไม้ นั่งคอยช้างมา.
               พระยาช้างนั้นเดินมาใกล้ช่างไม้เหล่านั้น ก็นอนกลิ้งแสดงเท้าของตน เวลานั้น ช่างไม้ก็เกิดความเข้าใจ โดยกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ช้างนั่นมาเพราะเจ็บป่วย ไม่ใช่มาเพราะเหตุอย่างอื่น จึงพากันเข้าไปใกล้พระยาช้างนั้น เห็นตอตำเข้าไปในเท้า ก็รู้ว่า เพราะเหตุนี้เอง มันจึงมาจึงเอามีดที่คม ขวั้นที่ปลายตอแล้วเอาเชือกผูกให้แน่น ช่วยกันดึงออกมาได้ บีบปากแผลของมันนำเอาหนองและเลือดออก ล้างด้วยน้ำฝาด ใส่ยาที่ตนรู้จัก ไม่นานนัก ก็ทำให้มันสบาย.
               ๑-พระยาช้างหายป่วยแล้วคิดว่า ช่างไม้เหล่านี้มีอุปการะแก่เรามาก เราอาศัยช่างไม้เหล่านี้จึงรอดชีวิต เราควรจะกตัญญูกตเวทีต่อพวกเขา จึงกลับไปที่อยู่ของตนแล้วนำเอาลูกช้างตระกูลคันธะมา. พวกช่างไม้เห็นลูกช้างก็ปลื้มใจอย่างยิ่งว่า ช้างของเราพาลูกมา. พระยาช้างคิดว่า เมื่อเรายืนอยู่ ทำไมหนอ ลูกช้างนี้จึงยังมา มันคงจักไม่รู้เหตุที่เรามา จึงผละออกไปจากที่ๆ ยืน. ลูกช้างก็ยังคงเดินตามต้อยๆ ไปข้างหลังพ่อ. พระยาช้างรู้ว่าลูกตามมา จึงส่งเสียงสัญญาให้กลับไป. ลูกช้างได้ยินเสียงพ่อ ก็กลับไปหาพวกช่างไม้.
____________________________
๑- ปาฐะว่า หตฺถินาโค จินฺเตสิ มยิ ติฏฺฐนฺเต กึนุโข อยํ อาคโตติ มม อาคตการณํ ชานิสฺสตีติ ฐิตฏฺฐานโต อปกฺกมิ.
    พม่าเป็น หตฺถินาโค จินฺเตสิ มยิ ติฏฐนฺเต “กึนุโข อยํ อาคโต” ติ มม อาคตการณํ ชานิสฺสนฺตี” ติ ฐิตฏฐานโต ปกฺกามิ. (แปลตามพม่า).

               พวกช่างไม้รู้ว่า ช้างนี่คงจักมาเพื่อให้ลูกช้างเชือกนี้แก่เรา จึงกล่าวว่า เราไม่มีกิจที่จะให้เจ้าทำในสำนักเราดอก จงไปหาพ่อของเจ้าเถิด แล้วก็ส่งลูกช้างกลับไป.
               พระยาช้างก็ส่งลูกซึ่งมาหาตนถึง ๓ ครั้งไปอยู่ใกล้พวกช่างไม้อีก ตั้งแต่นั้นมา พวกช่างไม้ก็ช่วยกันบำรุงเลี้ยงลูกช้างไว้ในสำนักของตน เวลากินต่างให้ก้อนข้าวคนละก้อน เพียงพอแก่ความต้องการของลูกช้างนั้น.
               ครั้งนั้น๒- ลูกช้างนั้นก็ขนทัพสัมภาระที่พวกช่างไม้ตัดไว้ในป่า มาทำเป็นกองไว้ที่ลาน ลูกช้างก็กระทำอุปการะแม้อย่างอื่น โดยทำนองนี้นี่แล.
____________________________
๒- ปาฐะว่า อถ โส วฑฺฒกีหิ อตฺตโน คณณโกฏียกํ ทพฺพสมฺภารํ…
    พม่าเป็น โส วฑฺฒกีหิ อพฺโตคณเณ โกฏฏิตํ ทพฺเพสมฺภารํ (แปลตามพม่า).

               พระศาสดาทรงชักเหตุนี่มาแสดง แม้ในชาติก่อน พระสารีบุตรก็เป็นผู้กตัญญูกตเวที. ครั้งนั้น พระสารีบุตรเถระได้เป็นช้างใหญ่. ภิกษุผู้หย่อนความเพียรที่มาในอัตถุปปัตติ (เหตุเกิดเรื่อง) ได้เป็นลูกช้าง.
               แต่ถึงคัมภีร์สังยุตตนิกายควรกล่าวราธสังยุตทั้งสิ้น และคาถาในพระธรรมบทว่า
                         นิธีนํว ปวตฺตารํ          ยํ ปสเส วชฺชทสฺสินํ
                         นิคฺคยฺหวาทึ เมธาวึ    ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช
                         ตาทิสํ ภชมานสฺส       เสยฺโย โหติ น ปาปิโย.
                         พึงเห็นบัณฑิตผู้กล่าวสอน ชี้โทษ พูดข่มไว้
                         มีปัญญากว้างขวาง เหมือนชี้บอกขุมทรัพย์ให้
                         พึงคบบัณฑิตเช่นนั้น เมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น
                         ก็มีแต่ดี ไม่เสียเลย ดังนี้

               ชื่อว่าธรรมเทศนาของพระเถระ แต่ต่อมา พระศาสดากำลังทรงสถาปนาพระเถระทั้งหลายไว้ในตำแหน่งทั้งหลายตามลำดับ จึงทรงสถาปนาท่านพระราธเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ประกอบด้วยปฏิภาณแล.

               จบอรรถกถาสูตรที่ ๑๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๔
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 148อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 149อ่านอรรถกถา 20 / 150อ่านอรรถกถา 20 / 596
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=675&Z=693
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=14&A=6083
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=14&A=6083
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :