ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 454อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 455อ่านอรรถกถา 20 / 456อ่านอรรถกถา 20 / 596
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ รถการวรรคที่ ๒
๖. อปัณณกสูตร

               อรรถกถาอปัณณกสูตรที่ ๖               
               พึงทราบวินิจฉัยในอปัณณกสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า อปณฺณกปฏิปทํ ความว่า พระอริยบุคคลเป็นผู้ปฏิบัติข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดพลาด คือข้อปฏิบัติที่ดีโดยส่วนเดียว ข้อปฏิบัติที่นำสัตว์ออกจากกาม ข้อปฏิบัติที่ประกอบด้วยเหตุ ข้อปฏิบัติที่มีสาระ ข้อปฏิบัติที่เป็นหลัก (มัณฑปฏิปทา) ข้อปฏิบัติที่ไม่เป็นข้าศึก ข้อปฏิบัติที่เหมาะสม ข้อปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติโดยการคาดคะเน (ตักกวิทยา) หรือโดยถือเอาตามนัย.
               เพราะว่า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกาผู้ถือปฏิบัติอย่างนี้ (ถือโดยตักกะ ถือโดยนัย) จะเสื่อมจากมนุษยสมบัติ เทวสมบัติและนิพพานสมบัติ. ส่วนผู้ปฏิบัติอปัณณกปฏิปทา จะไม่เสื่อมจากสมบัติเหล่านั้น

               นายกองเกวียน ๒ พวก               
               เหมือนในอดีตสมัย เมื่อนายกองเกวียน ๒ พวกเดินทางไปสู่ที่กันดาร นายกองเกวียนผู้โง่เขลา เชื่อคำของยักษ์ ถึงความฉิบหายพร้อมกับพวกพ่อค้า (ส่วน) นายกองเกวียนผู้ฉลาด ไม่เชื่อฟังคำของยักษ์ คิดว่าเราจักทิ้งน้ำในที่ที่เราได้พบน้ำ ดังนี้แล้ว ให้สัญญาณกับพวกพ่อค้า๑- แล้วจึงเดินทางไป ซึ่งท่านหมายเอา กล่าวคาถานี้ว่า
                         คนพวกหนึ่งได้กล่าวฐานะที่ไม่ผิด
                         นักคาดคะเนกล่าวฐานะที่สอง (ผิด)
                         นักปราชญ์รู้ฐานะถูกผิดนี้แล้ว ควร
                         ถือเอาแต่ฐานะที่ไม่ผิด.

____________________________
๑- ปาฐะว่า สตฺถวาเหน สทฺธิ สตเถ อนยพยสนํ ปตฺเต ฉบับพม่าเป็น พาลสตฺถวาโห สทฺธิ สตฺเถน อพฺยสนํ ปตฺโต แปลตามฉบับพม่า.

               บทว่า โยนิ ในคำว่า โยนิ จสฺส อารทฺธา โหติ นี้ เป็นชื่อของส่วนแห่งขันธ์บ้าง เหตุบ้าง ปัสสาวมรรคบ้าง.
               จริงอยู่ ส่วนแห่งขันธ์ชื่อว่าโยนิ มีมาในคำมีอาทิว่า จตสฺโส โข สาริปุตฺต โยนิโย แปลว่า ดูก่อนสารีบุตร กำเนิดเหล่านี้มี ๔ อย่างแล.
               เหตุ ชื่อว่าโยนิ ในบทเป็นต้นว่า โยนิ เหสา ภูมิช ผลสฺส อธิคมาย แปลว่า ดูก่อนภูมิชะ ก็นั้นเป็นเหตุ เพื่อบรรลุผล.
               ปัสสาวมรรค ชื่อว่าโยนิ มีมาในคำมีอาทิว่า น จาหํ พฺราหฺมณํ พฺรูมิ โยนิชํ มตฺติสมฺภวํ แปลว่า เราตถาคตไม่กล่าวผู้ที่เกิดจากช่องคลอด (คือ) เกิดจากมารดา ว่าเป็นพราหมณ์เลย
               และในคำมีอาทิว่า ตเมนํ กมฺมชวาตา นิวตฺติตฺวา อุทฺธํปาทํ อโธสิรํ สมฺปริวตฺเตตฺวา มาตุ โยนิมุเข สมฺปฏิปาเทนฺติ แปลว่า ลมกัมมชวาตพัดสัตว์นี้นั้นให้มีเท้าขึ้นข้างศีรษะกลับลงข้างล่าง แล้วไปจดอยู่ที่ปากช่องคลอดของมารดา.
               แต่ในที่นี้ ทรงประสงค์เอาเหตุว่าเป็นโยนิ.
               บทว่า อารทฺธา ได้แก่ ประคองไว้ คือทำให้บริบูรณ์.
               พึงทราบวินิจฉัย ในบทว่า อาสวานํ ขยาย ดังต่อไปนี้
               กิเลสชื่อว่าอาสวะ เพราะอรรถว่าไหลมา. มีอธิบายว่า ไหลมาจากตาบ้าง ฯลฯ จากใจบ้าง.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอาสวะ เพราะไหลมาจากธรรม จนถึงโคตรภู จากโอกาสโลกจนถึงภวัคคพรหม. อธิบายว่า ทำธรรมเหล่านี้และโอกาสโลกนั้นไว้ในภายใน เป็นไป.
               แท้จริง ความหมายว่า ทำไว้ในภายในนี้ เป็นอาการ (ของอาสวะ). ชื่อว่าอาสวะ เพราะเป็นเหมือนเครื่องหมักดองทั้งหลายมีเหล้าดองเป็นต้น โดยความหมายว่าหมักไว้นานบ้าง ด้วยว่า แม้ในทางโลก เขาก็เรียกของที่หมักไว้นานมีเหล้าดองเป็นต้นว่าอาสวะ. ก็ถ้าเครื่องหมักดองทั้งหลายมีเหล้าดองเป็นต้น ชื่อว่าอาสวะ เพราะอรรถว่าหมักไว้นานแล้วไซร้ กิเลสเหล่านั้นก็ควรเป็นอาสวะเหมือนกัน.
               สมจริงดังพระพุทธดำรัส ที่ตรัสไว้มีอาทิว่า ปุริมา ภิกฺขเว โกฏิ น ปญฺญายติ อวิชฺชาย อิโต ปุพฺเพ อวิชฺชา นาโหสิ แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นของอวิชชา ไม่ปรากฏ ก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี.
               อีกอย่างหนึ่ง กิเลสชื่อว่าอาสวะ เพราะไหลไป คือประสบสังสารทุกข์ต่อไปดังนี้บ้าง. ก็ในจำนวนวิเคราะห์ทั้ง ๔ นี้ วิเคราะห์ต้นๆ (วิเคราะห์ ๓ อย่างใช้ได้) ในที่ที่กิเลสทั้งหลายมา (โดยชื่อว่า) อาสวะ แต่วิเคราะห์หลังใช้ได้เฉพาะในกรรม.
               ก็กรรมกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น เป็นอาสวะก็หามิได้ โดยที่แท้แล้ว ถึงอุปัทวนานัปการก็เป็นอาสวะได้. เพราะในพระสูตรทั้งหลาย กิเลสที่มีการวิวาทเป็นมูล มาแล้ว (โดยชื่อว่า) อาสวะ เช่นในประโยคนี้ว่า นาหํ จุนฺท ทิฏฺฐธมฺมิกานํเอว อาสวานํ สํวราย ธมฺมํ เทเสมิ แปลว่า แน่ะจุนทะ เราตถาคตจะไม่แสดงธรรมเพื่อปิดกั้นอาสวะทั้งหลายในปัจจุบันเท่านั้น.
               ธรรมที่เป็นหตุให้เกิดในภูมิ ๓ และอกุศลธรรมที่เหลือมาแล้ว (โดยชื่อว่า) อาสวะ เช่นในประโยคนี้ว่า
                         อาสวะทั้งหลายที่เป็นเหตุให้เข้าถึงความ
                         เป็นเทวดา หรือเป็นเหตุให้เป็นคนความ
                         เป็นธรรพ์ เหาะไปในอากาศ เป็นเหตุให้
                         ถึงความเป็นยักษ์ เป็นมนุษย์และเป็นสัตว์
                         เกิดในน้ำ ของเราสิ้นแล้ว อาสวะเหล่านั้น
                         เรากำจัดแล้ว ทำให้รากขาดแล้ว.

               อุปัทวนานัปการมีการว่าร้ายผู้อื่น ก่อความวิปฏิสาร การฆ่า การจองจำเป็นต้นก็ดี เป็นเหตุให้ได้รับทุกข์ในอบายก็ดี มาแล้วโดยชื่อว่าอาสวะ เช่นในประโยคนี้ว่า ทิฏฺฐมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฏิฆาตาย แปลว่า เราตถาคตแสดงธรรมเพื่อปิดกั้นอาสวะทั้งหลายในปัจจุบัน เพื่อขจัดอาสวะทั้งหลายในภายหน้า.
               ก็อาสวะทั้งหลายเหล่านี้นั้น ในที่ใดมาแล้วอย่างใด ในที่นั้นพึงทราบอย่างนั้น. เพราะว่า อาสวะเหล่านี้ ในพระวินัยมีมา ๒ อย่างว่า เพื่อปิดกั้นอาสวะในปัจจุบัน ๑ เพื่อขจัดอาสวะในภายหน้า ๑. ในสฬายตนวรรคมีมา ๓ อย่างว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อาสวะมี ๓ อย่างเหล่านี้ คือ กามาสวะ ๑ ภวาสวะ ๑ อวิชชาสวะ ๑. แต่ในพระสูตรอื่นๆ และในอภิธรรมมีมา ๔ อย่างพร้อมกับทิฏฐาสวะ.
               โดยบรรยายที่แยกออกไป อาสวะทั้งหลายมี ๕ อย่างดังนี้ มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย อาสวะเป็นเหตุให้ไปสู่นรก ๑ อาสวะเป็นเหตุให้ไปสู่กำเนิดเดียรัจฉาน ๑ อาสวะเป็นเหตุให้ไปสู่ปิตติวิสัย ๑ อาสวะเป็นเหตุให้ไปสู่มนุษยโลก ๑ อาสวะเป็นเหตุให้ไปสู่เทวโลก ๑.
               แต่ในที่นี้ กรรมนั่นเอง ตรัสว่าเป็นอาสวะ.
               ในฉักกนิบาต อาสวะทั้งหลายมาแล้ว ๖ อย่าง โดยนัยมีอาทิว่า มีอยู่ภิกษุทั้งหลาย อาสวะที่จะพึงละด้วยสังวร. ในสัพพาสวปริยายสูตร อาสวะ ๖ อย่างเหล่านั้นแหละ มีมาเป็น ๗ อย่างพร้อมด้วยอาสวะทั้งหลายที่จะพึงละด้วยทัสสนะ. แต่ในที่นี้ พึงเข้าใจว่าทรงประสงค์เอาอาสวะทั้ง ๔ ตามนัยแห่งพระอภิธรรม.
               การทำลายอาสวะได้ชั่วขณะก็ดี อาการที่อาสวะสิ้นไปโดยไม่เหลือก็ดี มรรคผล พระนิพพานก็ดี ตรัสเรียกว่าอาสวักขยะ ในบทว่า ขยาย นี้.
               จริงอยู่ การทำลายอาสวะได้ชั่วขณะ ตรัสเรียกว่าอาสวักขยะ ดังในประโยคนี้ว่า โย อาสวานํ ขโย วโย เภโท อนิจฺจตา อนฺตรธานํ แปลว่า ความสิ้นไป ความเสื่อมไป การทำลาย ความไม่เที่ยง ความอันตรธานแห่งอาสวะทั้งหลาย (ชื่อว่าอาสวักขยะ).
               การละอาสวะ ความสิ้นไปแห่งอาสวะโดยส่วนเดียว การไม่เกิดขึ้นแห่งอาสวะ อาการที่อาสวะสิ้นไป ความไม่มีแห่งอาสวะทั้งหลาย ตรัสเรียกว่าอาสวักขยะ ดังในประโยคนี้ว่า ชานโต อหํ ภิกฺขเว ปสฺสโต อาสวานํ ขยํ วทามิ แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายไว้ สำหรับภิกษุผู้รู้อยู่ เห็นอยู่.
               มรรค ตรัสเรียกว่าอาสวักขยะ ดังในคาถานี้ว่า
                         เสกฺขสฺส สิกฺขมานสฺส    อุชุมคฺคานุสาริโน
                         ขยสฺมํ ปฐมํ ญาณํ        ตโต อญฺญา อนนฺตรา
                         เมื่อเราผู้ศึกษาอยู่ ดำเนินไปตามทางอันตรง
                         ในขณะสิ้นอาสวะ ญาณจะเกิดขึ้นก่อน ต่อจาก
                         นั้น อรหัตผลจึงจะเกิด.

               ผล ตรัสเรียกว่าอาสวักขยะ ดังในประโยคนี้ว่า ชื่อว่าเป็นสมณะ เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย.
               นิพพาน เรียกว่าอาสวักขยะ ในคาถานี้ว่า
                         ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส         นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน
                         อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ    อารา โส อาสวกฺขยา.
                         อาสวะทั้งหลาย ย่อมเจริญแก่ผู้เพ่งเล็งโทษผู้อื่น
                         ชอบยกโทษอยู่เป็นนิตย์ เขาย่อมอยู่ไกลจาก
                         พระนิพพาน.

               แต่ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อาสวานํ ขยาย โดยทรงหมายถึงผล. อธิบายว่า เพื่อประโยชน์แก่อรหัตผล.
               บทว่า อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร ความว่า มีทวารอันปิดแล้วในอินทรีย์ทั้งหลายมีใจเป็นที่ ๖.
               บทว่า โภชเน มตฺตญฺญู ความว่า รู้ประมาณในโภชนะ. อธิบายว่า รู้ประมาณในการรับ การฉันและการพิจารณา.
               บทว่า ชาคริยํ อนุยุตฺโต ความว่า เป็นผู้แบ่งกลางคืนกลางวันออกเป็น ๖ ส่วน แล้วประกอบเนืองๆ ซึ่งความเป็นผู้ตื่นใน ๕ ส่วน. อธิบายว่า ขะมักเขม้นในการตื่นอยู่นั่นเอง.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงวางมาติกาไว้อย่างนี้แล้ว เมื่อจะแจกมาติกานั่นแหละ ตามลำดับที่ทรงวางไว้แล้ว จึงตรัสคำมีอาทิว่า กตญฺจ ภิกฺขเว ภิกฺขุ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น เนื้อความของบทว่า จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา เป็นต้น ได้ให้พิสดารแล้วในปกรณ์พิเศษชื่อว่าวิสุทธิมรรค.
               เนื้อความแห่งบททั้งหลายมีอาทิว่า ปฏิสงฺขา โยนิโส อาหารํ อาหาเรติ เนว ทวาย (ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้ว จึงจะนำอาหารมา (ฉัน) มิใช่เพื่อจะเล่น) ได้ให้พิสดารแล้วในปกรณ์พิเศษ ชื่อว่าวิสุทธิมรรคนั้นเหมือนกัน.
               บทว่า อาวรณิเยหิ ธมฺเมหิ ความว่า จากนิวรณ์ธรรม ๕ ประการ เพราะนิวรณ์จะกางกั้นจิตใจไว้ เพราะฉะนั้น นิวรณ์เหล่านั้น จึงตรัสเรียกว่าอาวรณิยธรรม.
               บทว่า สีหเสยฺยํ กปฺเปติ ความว่า สำเร็จการนอนเหมือนราชสีห์.
               บทว่า ปาเทน ปาทํ อจฺจาธาย ได้แก่ วางเท้าซ้ายเหลื่อมเท้าขวา. เพราะว่าเมื่อวางเท้าไว้เสมอกัน เข่าจะกระทบเข่า ข้อเท้าก็จะกระทบข้อเท้า ทุกขเวทนาจะเกิดเพราะการกระทบกันนั้น เพราะฉะนั้น เพื่อจะเว้นโทษนั้น เธอจะวางเท้าให้เหลื่อมกันหน่อยหนึ่ง. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ปาเทน ปาทํ อจฺจาธาย ดังนี้.
               บทว่า สโต สมฺปชาโน ความว่า ประกอบด้วยสติและสัมปชัญญะ.
               ถามว่า ภิกษุนั้น เมื่อหลับจะชื่อว่า มีสติสัมปชัญญะได้อย่างไร.
               ตอบว่า ด้วยสามารถแห่งความเป็นไป (ของกัมมัฏฐานก่อนหลับ). เพราะว่า ภิกษุนี้ เมื่อจงกรมในที่จงกรม รู้ตัวว่าง่วงนอน จึงพักกัมมัฏฐานที่กำลังบำเพ็ญอยู่ แล้วนั่งบนเตียง หรือบนแผ่นกระดานหลับไป เมื่อตื่นก็ตื่นมาบำเพ็ญกัมมัฏฐานในที่ที่พักไว้นั่นแหละอีก เพราะฉะนั้น ถึงเธอจะหลับ ก็ยังชื่อว่ามีสติสัมปชัญญะอยู่.
               นี้เป็นนัยในมูลกัมมัฏฐานก่อน.
               ส่วนภิกษุนี้ชื่อว่ามีสติสัมปชัญญะ แม้ด้วยกัมมัฏฐานตามที่กำหนด ถือเอาข้อนี้อย่างไร.
               อธิบายว่า ภิกษุนี้เมื่อจงกรม รู้ตัวว่าง่วงนอน ก็นอนตะแคงขวาบนแผ่นหินหรือบนเตียง พิจารณาว่ากายไม่มีใจนอนอยู่บนเตียงที่ไม่มีใจ เตียงที่ไม่มีใจก็วางอยู่บนปฐพีที่ไม่มีใจ ปฐพีที่ไม่มีใจก็อยู่เหนือน้ำที่ไม่มีใจ น้ำที่ไม่มีใจก็อยู่เหนือลมที่ไม่มีใจ ลมที่ไม่มีใจก็อยู่บนอากาศที่ไม่มีใจ บรรดาสิ่งเหล่านั้น แม้อากาศก็ไม่รู้ว่าเราอุ้มลมไว้ ถึงลมก็ไม่รู้ว่าเราสถิตอยู่บนอากาศ ถึงลมก็เช่นนั้นไม่รู้ว่าเราอุ้มน้ำไว้ ฯลฯ เตียงก็ไม่รู้ว่าเรายกกายไว้ กายก็ไม่รู้ว่าเราอยู่บนเตียง เป็นอันว่าสิ่งเหล่านั้นต่างฝ่ายต่างไม่มีการคำนึงถึงกัน ไม่มีการสนใจกัน ไม่มีการใส่ใจกัน ไม่มีเจตนา หรือไม่มีความปรารถนาต่อกันเลย ดังนี้
               เมื่อภิกษุนั้นพิจารณาอยู่อย่างนี้ ปัจจเวกขณจิตนั้น ย่อมหยั่งลงสู่ภวังค์. เธอแม้เมื่อหลับอยู่อย่างนี้ ก็ย่อมชื่อว่ามีสติสัมปชัญญะอยู่.
               บทว่า อุฏฺฐานสญฺญํ มนสิกริตฺวา ความว่า ใส่ใจถึงสัญญาที่กำหนดเวลาลุกขึ้นว่า เมื่อดวงจันทร์หรือดวงดาวขึ้นถึงตรงนี้ เราจักลุกขึ้น. อธิบายว่า วางสัญญาไว้ในใจ. เพราะว่า เมื่อภิกษุนั้นปฏิบัติอย่างนี้แล้วนอนก็จะลุกขึ้นได้ตรง ในเวลาตามที่กำหนดไว้แล้วนั่นแล.

               จบอรรถกถาอปัณณกสูตรที่ ๖               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ รถการวรรคที่ ๒ ๖. อปัณณกสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 454อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 455อ่านอรรถกถา 20 / 456อ่านอรรถกถา 20 / 596
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=2982&Z=3014
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=15&A=2002
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=15&A=2002
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๖  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :