บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] อรรถกถาสูตรที่ ๑ ประวัติพระอานนทเถระ พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า พหุสฺสุตานํ เป็นต้นดังนี้. แม้พระเถระรูปอื่นๆ ที่เป็นพหูสูต มีธิติทรงจำและเป็นอุปัฏฐากก็มีอยู่. ส่วนท่านพระอานนท์นี้เล่าเรียนพระพุทธวจนะ ก็ยึดยืนหยัดอยู่ในปริยัติดุจผู้รักษาเรือนคลัง ในศาสนาของพระทศพล เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้เป็นพหูสูต. อนึ่ง สติที่เล่าเรียนพระพุทธวจนะแล้ว ทรงจำไว้ของพระเถระนี้เท่านั้นก็มีกำลังกว่าพระเถระรูปอื่นๆ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มีสติทรงจำ. อนึ่ง ท่านพระอานนท์นี้นี่แลยืนหยัดยึดอยู่ บทเดียวก็ถือเนื้อความได้ถึงหกหมื่นบท จำได้ทุกบทโดยทำนองที่พระศาสดาตรัสไว้นั่นแล เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มีคติ. อนึ่ง ความเพียรเล่าเรียน ความเพียรท่องบ่น ความเพียรทรงจำและความเพียรอุปัฏฐากพระศาสดาของท่านพระอานนท์รูปนั้นเท่านั้น ที่ภิกษุอื่นๆ เทียบไม่ได้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มีธิติ. อนึ่ง ท่านพระอานนท์รูปนี้ เมื่ออุปัฏฐากพระตถาคต ก็ไม่อุปัฏฐากด้วย ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังนี้ ได้ยินว่า ในกัปสุดท้ายแสนกัปแต่กัปนี้ไป พระศาสดาพระนามว่าปทุมุตตระ อุบัติในโลก พระองค์มีพระนครชื่อว่าหงสวดี มีพระราชบิดาพระนามว่านันทะ พระราชมารดาผู้เป็นพระเทวี พระนามว่าสุเมธา มีพระโพธิสัตว์พระนามว่าอุตตรกุมาร. พระ ครั้งนั้น ดอกปทุมมีขนาดที่กล่าวไว้แล้วแต่หนหลัง ชำแรกแผ่นดินชูขึ้นรองรับ เพราะหมายถึงดอกปทุมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงปรากฏพระนามว่าปทุมุตตระ นั่น พระองค์มีพระอัครสาวกนามว่าเทวิละองค์หนึ่ง จุลชาตะองค์หนึ่ง มีหมู่พระอัครสาวิกานามว่าอมิตาองค์หนึ่ง อสมาองค์หนึ่ง ทรงมีพระอุปัฏฐากนามว่าสุมนะ. พระปทุมุตตรผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงสงเคราะห์พระพุทธบิดา มีภิกษุแสนรูปเป็นบริวาร ประทับอยู่ ณ กรุงหงสวดีราชธานี. ส่วนพระกนิษฐภาดาของพระองค์พระนามว่าสุมนกุมาร. พระราชาพระราชทานบ้านส่วนสองพันโยชน์นับแต่กรุงหงสวดีแด่สุมนราชกุมารนั้น. สุมนราชกุมารนั้นเสด็จมาเฝ้าพระราชบิดาและพระศาสดา เป็นครั้งคราว. ต่อมาวันหนึ่ง ชนบทชายแดนก่อกบฏ สุมนราชกุมารจึงส่งข่าวถวายพระราชา พระราชา สุมนราชกุมารนั้นปราบกบฏสงบแล้ว ส่งข่าว ลำดับนั้น อมาตย์บางพวกทูลพระราชกุมารว่า โปรดรับช้าง รับม้า รับชนบท รับรตนะ ๗. อีกพวกหนึ่งทูลว่า พระองค์เป็นราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน ทรัพย์พระองค์ได้ไม่ยาก แต่ทรัพย์นั้นแม้ได้แล้วก็จำต้องละไปทั้งหมด บุญต่างหากที่พระองค์จะพาไปได้ เพราะฉะนั้น เมื่อสมมติเทพพระราชทานพร ขอพระองค์โปรดรับพร คือการอุปัฏฐากพระปทุมุตตรผู้มีพระภาคเจ้า ตลอดไตรมาสเถิด พระเจ้าข้า. พระราชกุมารนั้นรับสั่งว่า พวกท่านเป็นกัลยาณมิตรของเรา พวกท่านทำจิตคิดอย่างนี้ให้เกิดแก่เรา เราจักทำอย่างนั้น. แล้วเสด็จไปถวายบังคมพระราชบิดา ถูกพระราชบิดาสวมกอดจุมพิตที่กระหม่อม แล้วตรัสว่า ลูกเอ๋ย พ่อจะให้พรแก่เจ้าดังนี้ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า กระหม่อมฉันปรารถนาจะเป็นผู้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยปัจจัย ๔ ตลอดไตรมาส เพื่อทำชีวิตไม่ให้เป็นหมัน. พระพุทธบิดาตรัสว่า พ่อไม่อาจให้พรข้อนี้แก่ลูกได้ดอก พ่อจะให้พรอย่างอื่น นะลูก. พระราชกุมารกราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ธรรมดาว่ากษัตริย์ไม่ตรัสคำสองนะ พระเจ้าข้า ขอโปรดพระราชทานพรนี้แก่กระหม่อมฉันเถิด พรอย่างอื่นกระหม่อมฉันไม่ต้องการ พระเจ้าข้า. พระพุทธบิดาตรัสว่า ธรรมดาว่าพระหฤทัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย รู้กันได้ยาก หากพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงประสงค์ เมื่อพ่อให้พรเจ้าแล้วจักมีอะไร. พระราชกุมารกราบทูลว่า ดีละ เทวะ กระหม่อมฉันจักทราบพระหฤทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้แล้วเสด็จไปยังพระวิหาร. สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จแล้วเสด็จเข้าพระคันธกุฎี พระราชกุมารจึงเสด็จไปยังสำนักภิกษุทั้งหลายที่ประชุมกัน ณ ศาลาทรงกลม. ภิกษุเหล่านั้นทูลถามพระราชกุมารว่า ถวายพระพร พระราชบุตร พระองค์เสด็จมาเพราะเหตุอะไร. พระราชกุมารตรัสว่า เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดชี้บอกพระผู้มีพระภาคเจ้าแก่ เมื่อพระราชกุมารกำลังทอดพระเนตรเห็นอยู่นั่นแล พระเถระก็เข้า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะพระสุมนเถระว่า สุมนะ เหตุไร เธอจึงมา. ท่านทูลว่า พระราชบุตรเสด็จมาประสงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระเจ้าข้า. ตรัสว่า แน่ะภิกษุ ถ้าอย่างนั้น เธอจงจัดอาสนะ. เมื่อพระราชกุมารกำลังทอดพระเนตรเห็นอยู่นั่นแล พระเถระก็ถือเอาพุทธอาสนะ ดำลงในพระคันธกุฎี ไปปรากฏนอกบริเวณ จัดอาสนะไว้ที่บริเวณ พระราช แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จออกจากพระคันธกุฎีแล้วประทับนั่งเหนือ พระราชกุมารทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์เสด็จเข้าพระ ตรัสว่า ใช่แล้ว พระราชกุมาร ภิกษุรูปนี้เป็นที่สนิทสนมในศาสนาของเรา. ทูลว่า ภิกษุรูปนี้ทำอะไร จึงเป็นที่สนิทสนมในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถวายทาน รักษาศีล ทำอุโปสถกรรม พระราชกุมาร. พระราชกุมารทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ประสงค์จะเป็นผู้สนิทสนมในพระพุทธศาสนาเหมือนพระเถระ พรุ่งนี้ ขอพระองค์โปรดทรงรับภิกษา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับโดยดุษณีภาพ. พระราชกุมารเสด็จไปยังที่ประทับของพระองค์ จัดสักการะอย่างใหญ่ตลอดคืนยังรุ่ง ได้ถวายขันธวารภัตร (อาหารที่ถวายพระระหว่างตั้งค่ายพักแรม) วันที่ ๗ ถวายบังคมพระศาสดาทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้รับพร คือการ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูว่าอรรถประโยชน์ด้วยข้อนั้นมีไหมหนอ ก็ทรงเห็นว่ามีอยู่ จึงตรัสว่า ดูก่อนราชกุมาร พระตถาคตทั้งหลายย่อมอภิรมย์ยินดีในเรือนว่างแล. พระราชกุมารตรัสว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์รู้แล้ว ข้าแต่ ถวายบังคมพระราชบิดาแล้วเสด็จออกไป ทรงสร้างวิหารทุกระยะทางโยชน์หนึ่ง เสด็จไปสิ้นทางไกลสองพันโยชน์ ครั้นเสด็จถึงแล้ว ทรงเลือกที่ตั้งพระวิหารใน พระราชบิดาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยแล้วทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า กิจของสุมนสำเร็จแล้ว เขาหวังการเสด็จไป พระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุแสนรูปแวดล้อม ประทับอยู่ ณ วิหารทั้งหลาย ทุกระยะโยชน์หนึ่งได้เสด็จไป พระราชกุมารทรงทราบว่าพระศาสดากำลังเสด็จมา ก็เสด็จออกไปต้อนรับสิ้นระยะทางโยชน์หนึ่ง ทรงบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ส่งเสด็จเข้าไปยังพระวิหาร ทรงมอบถวายพระวิหารว่า
ชื่อ โสภนะ ซึ่งข้าพระองค์ซื้อมาด้วยทรัพย์แสนหนึ่ง สร้างวิหารด้วยทรัพย์แสนหนึ่ง ด้วยเถิด. พระราชกุมารนั้น ในวันเข้าพรรษา ถวายทานแล้วเรียกบุตรภริยาของตนและเหล่าอมาตย์มาแล้วสั่งว่า พระศาสดาเสด็จมายังสำนักของพวกเราเป็นทางไกล ก็พระพุทธเจ้าทั้งหลายของเรา ทรงหนักในธรรม ไม่เห็นแก่อามิส เพราะฉะนั้น เราจักนุ่งผ้าสองผืนตลอดไตรมาสนี้ สมาทานศีลสิบ อยู่เสียในที่นี่นี้แหละ พวกท่านพึงถวายทานตลอดไตรมาสโดยทำนองนี้แด่พระขีณาสพแสนรูป สุมนราชกุมารนั้นประทับอยู่ในฐานะที่ถูกกันกับสถานที่อู่ของพระสุมนเถระ เห็นกิจกรรมทุกอย่างที่พระเถระกระทำวัตรแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ดำริว่า พระเถระนี้เป็นที่สนิทสนมในพระตถาคต เราควรปรารถนาตำแหน่งของพระเถระนั้น เมื่อใกล้วันปวารณาออกพรรษา จึงเสด็จเข้าไปยังหมู่บ้าน ถวายมหาทาน ๗ วัน วันที่ครบ ๗ วัน ทรงวางไตรจีวรแทบเท้าภิกษุแสนรูป ถวายบังคมพระศาสดา แล้วหมอบบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุญนั้นใดที่ข้าพระองค์กระทำมาตั้งแต่ถวายทานระหว่างที่พักกลางทางมา ๗ วัน บุญอันนั้น ข้าพระองค์มิได้ประสงค์สวรรคสมบัติ มิได้ประสงค์พรหมสมบัติ แต่ข้าพระองค์ปรารถนาเป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าจึงกระทำ. อนึ่งเล่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ข้าพระองค์ก็จะเป็นอุปัฏฐากเหมือนพระสุมนเถระในอนาคตกาล. พระศาสดาทรงเห็นไม่มีอันตรายสำหรับพระราชกุมารนั้น จึงทรงพยากรณ์แล้วเสด็จกลับไป. พระราชกุมารทรงสดับแล้วทรงดำริว่า ก็ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้ง พระราชกุมารนั้น ในพุทธุปบาทกาลนั้น ถวายทานแล้วบังเกิดในสวรรค์ ลำดับนั้น ท่านเกิดแล้วทำพระญาติทั้งมวลของท่านให้ร่าเริงบันเทิงใจ เพราะฉะนั้น พระประยูรญาติจึงขนานพระนามแก่ท่านว่าอานันทะ. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จ ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีอุปัฏฐากไม่ประจำถึง ๒๐ ปีในปฐมโพธิกาล บางคราวท่านพระนาคสมาล ถือบาตรจีวรตามเสด็จ บางคราวท่านพระนาคิตะ บางคราวท่านพระอุปวานะ บางคราวท่านพระสุนักขัตตะ บางคราวท่านจุนทะสมณุทเทส บางคราวท่านพระสาคตะ บางคราวท่านพระราธะ บางคราวท่านพระเมฆิยะ. บรรดาพระอุปัฏฐากไม่ประจำเหล่านั้น ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเดินทางไกลกับพระนาคสมาลเถระ ถึงทางสองแพร่ง พระเถระลงจากทางทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จะไปทางนี้ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านว่า มาเถิดภิกษุ เราจะไปกันทางนี้. พระเถระทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ทรงถือทางพระองค์เถิด ข้า อนึ่ง ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังบ้านชันตุคาม ใกล้ปาจีนวังส ณ กรุงสาวัตถีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์อัน ภิกษุทั้งหลายเกิดธรรมสังเวช. ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลว่า ข้าแต่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามท่านว่า อย่าเลย สารีบุตร ท่านอยู่ทิศใด ทิศนั้นก็ไม่ว่างเลย โอวาทของท่านก็เหมือนโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย กิจที่ท่านจะ ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ท่านอานนท์ ภิกษุสงฆ์ทูลขอตำแหน่งอุปัฏฐากกัน แม้ท่านก็จงทูลขอสิ. ท่านพระอานนทเถระกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ ธรรมดาว่าตำแหน่งที่ทูลขอได้แล้ว เป็นเช่นไรเล่า พระศาสดาไม่ทรงเห็นกระผมหรือ ถ้าพระศาสดาจักทรงชอบพระทัย ก็จักตรัสว่า อานนท์จงอุปัฏฐากเราดังนี้. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไม่ต้องมีผู้อื่นชวนให้อุตสาหะดอก จักรู้ตัวเองแหละแล้วอุปัฏฐากเรา. ต่อนั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ลุกขึ้นเถิดท่านพระอานนท์ ทูลขอตำแหน่งอุปัฏฐากกะ พระเถระลุกขึ้นแล้วทูลขอพร ๘ ประการ คือ ส่วนที่ขอห้าม ๔ ส่วนที่ขอร้อง ๔. พระเถระทูลว่า ชื่อว่าพรส่วนที่ขอห้าม ๔ คือ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจักไม่ประทานจีวร จักไม่ประทานบิณฑบาตอันประณีตที่พระองค์ทรงได้มาแล้วแก่ข้าพระองค์ จักไม่ประทานให้ข้าพระองค์อยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระองค์ จักไม่ทรงพาข้าพระองค์ไปในที่นิมนต์ อย่างนี้ ข้าพระองค์จักอุปัฏฐาก. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อตรัสถามว่า อานนท์ เธอเห็นโทษอะไรในข้อนี้. จึงทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์จักได้วัตถุประสงค์เหล่านี้ไซร้ จักมีผู้กล่าวได้ว่า อานนท์บริโภคจีวร บริโภคบิณฑบาตอันประณีต อยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกัน ไปสู่ที่นิมนต์เดียวกันกับพระทศพล เมื่อได้ลาภนี้จึงอุปัฏฐากพระตถาคต หน้าที่ของผู้อุปัฏฐากอย่างนี้จะมีอะไร เพราะฉะนั้น ท่านจึงทูลขอพรส่วนที่ขอห้าม ๔ ประการเหล่านี้. พระเถระทูลว่า พรส่วนที่ขอร้อง ๔ คือ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าจักเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้ ถ้าข้าพระองค์จะพาคนที่มาแต่รัฐภายนอก ชนบทภายนอก เข้าเฝ้าได้ในขณะที่เขามาแล้ว ขณะใด ข้าพระองค์เกิดความสงสัย ขณะนั้น ข้าพระองค์เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมใดลับหลังข้าพระองค์ จักเสด็จมาตรัสธรรมนั้นแก่ข้าพระองค์ อย่างนี้ ข้าพระองค์จึงจักอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า. เมื่อตรัสถามว่า อานนท์ ในข้อนี้ เธอเห็นอานิสงส์อะไร. จึงทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหล่ากุลบุตรผู้มีศรัทธาในโลกนี้ เมื่อไม่ได้โอกาสของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกล่าวกะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ท่านอานนท์ พรุ่งนี้ ขอท่านกับพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดรับภิกษาในเรือนของกระผม ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เสด็จไปในที่นั้น ข้าพระองค์ไม่ได้โอกาสหาคนเข้าเฝ้าในขณะที่เขาประสงค์ และ เพราะฉะนั้น ท่านจึงทูลขอพรส่วนที่ขอร้อง ๔ ประการเหล่านี้ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ประทานพรแก่ท่าน. ท่านรับพร ๘ ประการอย่างนี้จึงได้เป็นพุทธ ผลแห่งบารมีทั้งหลายที่บำเพ็ญมาตลอดแสนกัป ก็มาถึงท่านผู้ปรารถนาตำแหน่งพุทธ อนึ่ง ท่านมีความดำริอย่างนี้ว่า ถ้าเราจะพึงง่วงนอนไซร้ เราก็ไม่อาจขานรับเมื่อพระทศพลตรัสเรียก. เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่ปล่อยประทีปด้ามหลุดจากมือตลอดคืนยังรุ่ง. ในข้อนี้ มีวัตถุนิทานดังกล่าวนี้. ต่อมาภายหลัง พระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงสรรเสริญ จบอรรถกถาสูตรที่ ๑ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๔ |