ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒]อ่านอรรถกถา 21 / 1อ่านอรรถกถา 21 / 181อรรถกถา เล่มที่ 21 ข้อ 191อ่านอรรถกถา 21 / 201อ่านอรรถกถา 21 / 274
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต จตุตถปัณณาสก์
๕. มหาวรรค

หน้าต่างที่ ๒ / ๒.

               มหาวรรควรรณนาที่ ๕               
               อรรถกถาสาตถสูตรที่ ๖               
               พึงทราบวินิจฉัยในสาตถสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า ทฺวเยน คือ เพราะส่วนสอง.
               บทว่า โอฆสฺส นิตฺถรณํ ได้แก่ การรื้อถอนโอฆะ ๔.
               บทว่า ตโปชิคุจฺฉาเหตุ ได้แก่ เพราะเหตุเกลียดบาปด้วยตบะ กล่าวคือการทำทุกรกิริยา.
               บทว่า อญฺญตรํ สามญฺญงฺคํ ได้แก่ ส่วนแห่งสมณธรรมอย่างหนึ่ง.
               ในบทมีอาทิว่า อปริสุทฺธกายสมาจารา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงศีล ความประพฤติทางกาย วาจาและใจไม่บริสุทธิ์ด้วยสามบทต้น แล้วจึงทรงแสดงถึงความเป็นผู้มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์ด้วยบทหลัง.
               บทว่า ญาณทสฺสนาย ได้แก่ ทัสสนะอันได้แก่มรรคญาณ.
               บทว่า อนุตฺตราย สมฺโพธาย ได้แก่ พระอรหัต. ท่านอธิบายว่า ไม่ควรเพื่อสัมผัสด้วยญาณผัสสะ คืออรหัต.
               บทว่า สาลลฏฺฐึ ได้แก่ ต้นสาละ. บทว่า นวํ คือ หนุ่ม.
               บทว่า อกุกฺกุจฺจกชาตํ คือ ไม่เกิดความรังเกียจว่า ควรหรือไม่ควร.
               บทว่า เลขณิยา ลิเขยฺย ได้แก่ ขีดพอเป็นรอย.
               บทว่า โธเปยฺย ได้แก่ ขัด.
               บทว่า อนฺโตอวิสุทฺธา ได้แก่ ไม่เรียบในภายใน คือไม่เอาแก่นออก.
               ในบทว่า เอวเมว โข นี้ เทียบด้วยอุปมาดังนี้.
               จริงอยู่ อัตภาพพึงเห็นเหมือนต้นสาละ กระแสสงสารเหมือนกระแสน้ำ คนยึดถือทิฏฐิ ๖๒ เหมือนคนที่ต้องการจะไปฝั่งโน้น เวลาที่ยึดมั่นในอารมณ์ภายนอก เหมือนเวลาที่ทำต้นสาละให้เรียบดีในภายนอก เวลาที่ศีลในภายในไม่บริสุทธิ์ เหมือนเวลาที่ไม่ทำข้างในของต้นสาละให้เรียบ การที่คนถือทิฏฐิจมลงไปในกระแสสงสารวัฏ พึงทราบเหมือนการที่ต้นสาละจมลงไปข้างล่าง.
               บทว่า ชิยาริตฺตํ พนฺเธยฺย ได้แก่ ติดกรรเชียงและหางเสือ.
               บทว่า เอวเมว โข เทียบด้วยอุปมาดังนี้
               อัตภาพเหมือนต้นสาละหนุ่ม. กระแสสงสารวัฏเหมือนกระแสน้ำ พระโยคาวจรเหมือนคนผู้ประสงค์จะไปฝั่งโน้น เวลาที่ความสำรวมตั้งมั่นในทวาร ๖ เหมือนเวลาที่ทำภายนอกให้เรียบ ศีลอาจารบริสุทธิ์ในภายใน เหมือนความที่ทำภายในให้เรียบ การทำความเพียรทางกายและใจ เหมือนการติดกรรเชียงและหางเสือ การบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญาโดยลำดับแล้วถึงนิพพาน พึงเห็นเหมือนการไปถึงฝั่งโน้นได้โดยสวัสดี.
               บทว่า กณฺฑจิตฺตกานิ ได้แก่ กระบวนการที่ควรทำด้วยลูกศรมีไม่น้อย เป็นต้นว่าคันศร เชือกศร รางศร ฉากศร สายศร ดอกศร.
               บทว่า อถโข โส ตีหิ ฐาเนหิ ความว่า เขาแม้รู้กระบวนการลูกศรมากอย่างนี้ ก็ไม่คู่ควรแก่พระราชา แต่จะคู่ควรโดยฐานะ ๓ เท่านั้น.
               บทว่า สมฺมาสมาธิ โหติ ในบทนี้มีความว่า เป็นผู้ตั้งมั่นแล้วด้วยมรรคสมาธิและผลสมาธิ.
               บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิ ได้แก่ ประกอบแล้วด้วยมรรคสัมมาทิฏฐิ.
               ท่านกล่าวมรรค ๔ ผล ๓ ด้วยสัจจะ ๔ มีอาทิว่า อิทํ ทุกฺขํ ดังนี้. พึงทราบความว่า ก็ผู้ประกอบด้วยสัมมาทิฏฐินี้ พึงทราบว่า ชื่อว่ายิงไม่พลาดด้วยมรรคเท่านั้น.
               บทว่า สมฺมาวิมุตฺติ ได้แก่ ประกอบแล้วด้วยวิมุตติ คืออรหัตผล.
               บทว่า อวิชฺชากฺขนฺธํ ปทาเลติความว่า ผู้ประกอบด้วยสัมมาวิมุตติ ท่านกล่าวว่า ชื่อว่าทำลายกองอวิชชาด้วยอรหัตมรรค.
               จริงอยู่ กองอวิชชาถูกทำลายด้วยอรหัตมรรคนี้ในภายหลัง แต่ในที่นี้ควรกล่าวว่า ย่อมทำลายอาศัยกองอวิชชาที่ถูกทำลายแล้ว.
               จบอรรถกถาสาตถสูตรที่ ๖               

               อรรถกถามัลลิกสูตรที่ ๗               
               พึงทราบวินิจฉัยในมัลลิกสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า มลฺลิกา เทวี ได้แก่ พระเทวีของพระเจ้าปเสนทิโกศล.
               บทว่า เยน มิเธกจฺโจ มาตุคามโม ได้แก่ หญิงบางคนในโลกนี้.
               บทว่า ทุพฺพณฺโณ ได้แก่ มีผิวน่าเกลียด. บทว่า ทุรูโป ได้แก่ มีทรวดทรงไม่ดี.
               บทว่า สุปาปิโก ได้แก่ แสนชั่ว แสนทราม. บทว่า ทสฺสนาย แปลว่า เพื่อเห็น.
               บทว่า ทลิทฺโท ได้แก่ จนทรัพย์. บทว่า อปฺปโภโค ได้แก่ เว้นจากเครื่องใช้สอย.
               บทว่า อปฺเปสกฺโข ได้แก่ มีบริวารน้อย.
               บทว่า อุทฺโธ ได้แก่ เป็นอิสระ. บทว่า มหทฺธโน ได้แก่ มีทรัพย์มาก โดยทรัพย์สำหรับใช้สอย.
               บทว่า มหาโภโค คือ มีโภคะมาก ด้วยโภคะเครื่องอุปโภคบริโภค (ของใช้ ของกิน).
               บทว่า มเหสกฺโข คือ มีบริวารมาก.
               บทว่า อภิรูโป คือ มีรูปงาม. บทว่า ทสฺสนีโย คือ ควรดู.
               บทว่า ปาสาทิโก คือ มีใจเลื่อมใสด้วยการชม.
               บทว่า วณฺณโปกฺขรตาย คือ ด้วยผิวพรรณและทรวดทรงแห่งเรือนร่าง.
               บทว่า อภิสชฺชติ แปลว่า ขัดข้อง. บทว่า พฺยาปชฺชติ ได้แก่ ละปกติ.
               บทว่า ปฏิติถียติ ได้แก่ ถึงความเป็นผู้หดหู่และกระด้างด้วยความโกรธ.
               บทว่า น ทาตา โหติ คือ เป็นหญิงไม่ให้.
               ในบทว่า เสยฺยาวสถปทีเปยฺยํ นี้
               ที่นอน คือเตียงและแผ่นกระดานเป็นต้น ชื่อว่าที่นอน. เรือน ที่อยู่อาศัย ชื่อว่าที่อยู่. เครื่องประกอบประทีปมีไส้และน้ำมันเป็นต้น ท่านเรียกว่า ปทีเปยฺยํ.
               บทว่า อิสฺสามนิโก ได้แก่ มีจิตประกอบด้วยความริษยา.
               พึงทราบความในบททั้งหมดโดยนัยนี้.
               บทว่า โกธนา อโหสึ คือ เป็นหญิงมักโกรธ.
               บทว่า อนิสฺสามนิกา อโหสึ คือ ได้เป็นหญิงมีจิตเว้นจากความริษยา.
               คำที่เหลือในสูตรนี้มีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.
               จบอรรถกถามัลลิกสูตรที่ ๗               

               อรรถกถาอัตตันตปสูตรที่ ๘               
               พึงทราบวินิจฉัยในอัตตันตปสูตรที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :-
               บรรดาบทว่า อตฺตนฺตโป เป็นต้น ชื่อว่าทำตนให้เดือดร้อน เพราะเผาตน คือทำตนให้ถึงทุกข์. การประกอบความเพียรทำตนเองให้เดือดร้อน ชื่อว่าความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ชื่อว่าทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เพราะเผาผู้อื่น. การประกอบความเพียรทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ชื่อว่าความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน.
               บทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม ได้แก่ ในอัตภาพนี้แหละ.
               ในบทว่า นิจฺฉาโต ตัณหา ท่านเรียกว่าฉาตะ ชื่อว่านิจฉาตะ เพราะไม่มีตัณหา. ชื่อว่านิพพุตะ เพราะกิเลสทั้งหมดดับ. ชื่อว่าสีติภูตะ เพราะเป็นผู้เย็น เหตุที่ไม่มีกิเลสเผาในภายใน. ชื่อว่า สุขปฏิสํเวที เพราะเสวยสุขในฌาน มรรคผลและนิพพาน.
               บทว่า พฺรหฺมภูเตน อตฺตนา ได้แก่ มีตนประเสริฐ.
               บทมีอาทิว่า อเจลโก มีเนื้อความดังกล่าวไว้แล้ว.
               ในบทมี การฆ่าแพะเป็นต้น แพะ ท่านเรียก อุรพฺภา ชื่อว่าโอรัพภิกะ เพราะฆ่าแพะ. แม้ในคำว่า สูกริกะ คนฆ่าสุกรเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
               บทว่า ลุทฺโท คือ ทารุณ หยาบช้า. บทว่า มจฺฉฆาตโก ได้แก่ คนล่าปลาคือจับปลา ชาวประมง.
               บทว่า พนฺธนาคาริโก ได้แก่ ผู้คุมเรือนจำ.
               บทว่า กูรูรกมฺมนฺตา ได้แก่ ผู้มีการงานหยาบช้า.
               บทว่า มุทฺธาภิสิตฺโต ได้แก่ พระราชาผู้อันเขารดน้ำบนพระเศียรโดยอภิเษกเป็นกษัตริย์.
               บทว่า ปุรตฺถิเมน นครสฺส ได้แก่ ทางทิศตะวันออกจากนคร.
               บทว่า สณฺฐาคารํ ได้แก่ โรงบูชายัญ.
               บทว่า ขราชินํ นิวาเสตฺวา ได้แก่ นุ่งหนังเสือมีเล็บติด.
               บทว่า สปฺปิเตเลน ได้แก่ ด้วยเนยในและน้ำมัน. เว้นเนยใสนอกนั้นของมียางที่เหลือ ท่านก็เรียกว่าน้ำมัน.
               บทว่า กณฺฑุวมาโน ได้แก่ เพราะตัดเล็บหมด คราวจะต้องเกาก็เกาด้วยเขาสัตว์นั้น.
               บทว่า อนตฺถรหิตาย ได้แก่ ไม่มีเครื่องปูลาด.
               บทว่า สรูปวจฺฉาย ได้แก่ ลูกโคมีสีเหมือนกัน. อธิบายว่า หากแม่โคมีสีขาว แม้ลูกโคก็มีสีขาว หากแม่โคมีสีดำแดงหรือสีแดง แม้ลูกโคก็มีสีเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าแม่โคมีลูกที่มีสีเหมือนกัน.
               บทว่า โส เอวมาห คือ พระราชานั้นตรัสอย่างนี้.
               บทว่า วจฺฉตรา ได้แก่ โคมีกำลัง (โคงาน) เคยเป็นโคหนุ่มแล้ว. แม้ในโคสาวก็นัยนี้เหมือนกัน.
               บทว่า พริหิสตฺถาย ได้แก่ เพื่อล้อมและเพื่อลาด ณ พื้นที่บูชายัญ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงถึงบุคคที่ ๔ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติ จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า อิธ ภิกฺขเว ตถาคโต ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ตถาคโต เป็นต้น มีเนื้อความได้กล่าวไว้แล้ว.
               บทว่า ตํ ธมฺมํ ได้แก่ ธรรมอันสมบูรณ์โดยประการ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วนั้น.
               บทว่า สุณาติ คหปติวา ถามว่า เพราะเหตุไรจึงทรงชี้คฤหบดีก่อน.
               ตอบว่า เพราะคฤหบดีกำจัดมานะแล้ว และเพราะมีจำนวนมาก
               จริงอยู่ โดยมากผู้ที่บวชจากตระกูลกษัตริย์ ทำมานะถือตัวเพราะอาศัยชาติ. ผู้ที่บวชจากตระกูลพราหมณ์ ทำมานะเพราะอาศัยมนต์. ผู้ที่บวชจากตระกูลที่มีชาติต่ำ ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ เพราะค่าที่ตนมีชาติต่ำ. ก็พวกทารกของคหบดีมีเหงื่อไหลจากรักแร้ ขี้เกลือเต็มหลัง ไถพื้นที่เป็นผู้หมดมานะและหยิ่ง เพราะไม่มีมานะเช่นนั้น. ทารกพวกนั้นครั้นบวชแล้วก็ไม่ทำมานะหรือหยิ่ง เรียนพุทธวจนะตามกำลัง บำเพ็ญวิปัสสนากัมมัฏฐาน สามารถดำรงอยู่ในพระอรหัตได้. ส่วนผู้ที่ออกบวชจากตระกูลนอกนี้มีไม่มาก ผู้เป็นคหบดีออกบวชมีมาก. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงชี้คหบดีก่อนเพราะจะกำจัดมานะ และเพราะมีจำนวนมากแล.
               บทว่า อญฺญตรสฺมึ วา ได้แก่ ตระกูลนอกนี้ ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง.
               บทว่า ปจฺฉาชาโต ได้แก่ เกิดในภายหลัง.
               บทว่า ตถาคเต สทฺธํ ปฏิลภติ ความว่า เขาได้ฟังธรรมอันบริสุทธิ์แล้ว ย่อมได้ศรัทธาในพระตถาคตผู้เป็นธรรมสามีเจ้าของธรรมว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธะหนอ.
               บทว่า อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ แปลว่า พิจารณาอย่างนี้.
               บทว่า สมฺพาโธ ฆราวาโส ความว่า ถึงแม้ว่าคู่สามีภรรยาจะอยู่ในเรือนขนาด ๖๐ ศอก หรือระหว่างร้อยโยชน์ก็ตาม การอยู่ครองเรือนก็ชื่อว่าคับแคบทั้งนั้น เพราะคู่สามีภรรยายังมีความกังวลและความห่วงใย.
               บทว่า รชาปโถ ท่านกล่าวไว้ในมหาอรรถกถาว่าเป็นที่เกิดของธุลีมีราคะเป็นต้น. จะกล่าวว่า อาคมนปโถ เป็นทางมาดังนี้บ้างก็ควร.
               ชื่อว่า อัพโภกาส เพราะเป็นดุจที่แจ้งด้วยอรรถว่าไม่มีเกี่ยวข้อง.
               จริงอยู่ บรรพชิตผู้บวชแล้ว แม้อยู่ในกูฏาคาร รัตนปราสาท เทพวิมานเป็นต้นที่มีประตูและหน้าต่างปิดสนิทเป็นที่กำบัง ก็ไม่เกี่ยวไม่ข้องไม่ติด ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า บรรพชาเป็นที่แจ้งดังนี้.
               อีกอย่างหนึ่ง ฆราวาสเป็นที่คับแคบ เพราะไม่มีโอกาสจะทำกุศลความดีได้ตามสบาย. ชื่อว่าเป็นทางมาแห่งธุลี เพราะเป็นที่รวมของธุลีคือกิเลส ดุจกองหยากเยื่อที่ไม่ได้ปิดไว้. บรรพชาชื่อว่าเป็นที่แจ้ง เพราะมีโอกาสทำกุศลความดีได้ตามสบาย.
               ในคำว่า นยิทํ สฺกรํ ฯเปฯ ปพฺพเชยฺยํ นี้ กล่าวโดยย่อดังนี้.
               พรหมจรรย์คือสิกขา ๓ นี้ได้ชื่อว่าบริบูรณ์โดยส่วนเดียว เพราะผู้บวชทำไม่ให้ขาดแม้วันเดียว แล้วก็พึงให้บรรลุจริมกจิตได้. และชื่อว่าบริสุทธิ์โดยส่วนเดียว เพราะผู้บวชทำไม่ให้มีมลทิน ด้วยมลทินคือกิเลสแม้วันเดียว ก็พึงให้บรรลุจริมกจิตได้.
               บทว่า สงฺขลิขิตํ ได้แก่ พึงประพฤติให้เป็นเสมือนสังข์ขัด คือเทียบด้วยสังข์ที่ขัดแล้ว อันผู้อยู่ครองเรือนอยู่ท่ามกลางเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์คือสิกขา ๓ นี้ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ไม่ทำได้ง่ายเลย ถ้ากระไรเลยพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้าอันสมควรแก่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ชื่อว่าผ้ากาสายะ เพราะย้อมด้วยน้ำฝาด ออกจากเรือนบวชไม่มีเรือนเกิด.
               ก็เพราะเหตุที่กสิกรรม พาณิชกรรมเป็นต้น เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เรือน ท่านจึงเรียกว่า อคาริยํ ก็อคาริยกิจนั้นไม่มีในการบรรพชา ฉะนั้น บรรพชาพึงทราบว่าเป็นอนคาริยะ ไม่มีเรือน ในข้อนี้ ไม่มีเรือนนั้น.
               บทว่า ปพฺพเชยฺยํ ได้แก่ พึงปฏิบัติ.
               บทว่า อปปํ วา ได้แก่ กองโภคะต่ำกว่าพัน ชื่อว่าน้อย ตั้งแต่พันขึ้นไป ชื่อว่ามาก. ญาตินั่นแล ชื่อว่าญาติปริวัฏ เครือญาติ เพราะอรรถว่าเกี่ยวพันกัน เครือญาติต่ำกว่า ๒๐ ชื่อว่าน้อย ตั้งแต่ ๒๐ ขึ้นไปชื่อว่ามาก.
               บทว่า ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปนฺโน ความว่า สิกขาอันใด อันได้แก่อธิสีลของภิกษุทั้งหลาย และภิกษุเหล่านั้นอยู่ร่วมกันเป็นอยู่เป็นอันเดียวกัน มีความประพฤติเสมอกันในสิกขาใด บรรพชิตเข้าถึงสิกขานั้น และสาชีพแก่สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้วนั้น เพราะเหตุนั้น บรรพชิตนั้นชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยสิกขาและความอยู่ร่วมกันของภิกษุทั้งหลาย.
               บทว่า สมาปนฺโน ความว่า บรรพชิตบำเพ็ญสิกขาให้บริบูรณ์ และไม่ละเมิดสาชีพความอยู่ร่วมกัน. อธิบายว่า เข้าถึงสิกขาและสาชีพทั้งสองนั้น.
               บทว่า ปาณาติปาตํ ปหาย เป็นต้น มีเนื้อความดังที่กล่าวแล้วนั่นแล.
               บทว่า อิเมสํ เภทาย ได้แก่ เพื่อให้ผู้ที่ตนฟังมาข้างนี้ แตกกัน.
               บทว่า ภินฺนานํ วา สนฺธาตา ความว่า เมื่อมิตรสองคนหรือผู้ร่วมอุปัชฌาย์กันแตกกัน ด้วยเหตุไรๆ บรรพชิตเข้าไปหาแต่ละคน แล้วกล่าวคำเป็นต้นว่า นี้ไม่สมควรแก่ท่านผู้เกิดในตระกูลเช่นนี้ ผู้คงแก่เรียนอย่างนี้ ดังนี้ชื่อว่าทำความสมานกัน.
               บทว่า อนุปฺปาทาตา ความว่า ส่งเสริมคนที่สมานกัน. อธิบายว่า บรรพชิตเห็นคนสองคนสมัครสมานกัน แล้วกล่าวคำเป็นต้นว่า นี้สมควรแก่พวกท่าน ผู้เกิดในตระกูลเห็นปานนี้ ผู้ประกอบด้วยคุณเห็นปานนี้ดังนี้ และทำให้มั่นคงขึ้น.
               ชื่อว่าสมัคคาราม เพราะว่ามีความสามัคคีเป็นที่มายินดี. อธิบายว่า ไม่ปรารถนาแม้แต่จะอยู่ในที่ที่ไม่มีความสามัคคีกัน ดังนี้. บาลีว่า สมคฺคราโม ดังนี้ก็มี ความก็อย่างเดียวกันนี้.
               บทว่า สมคฺครโต แปลว่า ยินดีแล้วในผู้ที่สามัคคีกัน. อธิบายว่า ไม่ปรารถนาแม้ละผู้ที่สามัคคีเหล่านั้นแล้วไปที่อื่น.
               ชื่อว่า สมคฺคนนฺที เพราะเห็นก็ดี ได้ยินก็ดี ซึ่งคนสามัคคีกันก็ชื่นชม.
               บทว่า สมตฺถกรณิ วาจํ ภาสิตา ความว่า วาจาใดทำให้คนสามัคคีกัน ย่อมกล่าววาจานั้นอันแสดงถึงคุณของสามัคคีเท่านั้น ไม่กล่าวนอกเหนือไปจากนี้.
               ในบทว่า เนลา โทษ ท่านเรียกว่าเอละ. ชื่อว่าเนลา เพราะไม่มีโทษ. อธิบายว่า หาโทษมิได้. ดุจเนลศัพท์ที่ท่านกล่าวไว้ในบทนี้ว่า เนลงฺโค เสตปจฺฉาโท รถมีเครื่องประกอบไม่มีโทษ หลังคาขาว ดังนี้.
               บทว่า กณฺณสุขา ได้แก่ เป็นที่สบายหู เพราะไพเราะด้วยพยัญชนะ ไม่เกิดเป็นดังหอกทิ่มหู ดุจแทงด้วยเข็ม. ชื่อว่าชวนให้รัก เพราะไม่เกิดความเคืองในสกลกาย เกิดแต่ความรัก เพราะไพเราะด้วยอรรถ. ชื่อว่าจับใจ เพราะจับถึงใจไม่กระทบกระทั่งเข้าไปถึงใจโดยสะดวก.
               ชื่อว่า โปรี (สุภาพ) เพราะเป็นคำชาวเมือง เพราะบริบูรณ์ด้วยคุณ. ชื่อว่า โปรี เพราะละเอียดอ่อน ดุจนารีผู้เจริญในเมืองดังนี้ก็มี. ชื่อว่า โปรี เพราะเป็นคำชองชาวเมืองดังนี้ก็มี.
               อธิบายว่า คำว่า ปุรสฺส เอสา ได้แก่ คำพูดของชาวเมือง.
               จริงอยู่ ชาวเมืองย่อมกล่าวคำที่สมควร เรียกคนปูนพ่อว่าพ่อ คนปูนพี่ว่าพี่ ดังนี้.
               ชื่อว่า พหุชนกนฺตา เพราะคำพูดเห็นปานนี้ เป็นที่รักใคร่ของชนเป็นอันมาก.
               ชื่อว่า พหุชนมนาปา เพราะเป็นที่พอใจ คือทำความเจริญจิตของชนเป็นอันมาก โดยเป็นคำน่ารักใคร่.
               ชื่อว่า กาลวาที เพราะพูดถูกกาละ. อธิบายว่า กำหนดกาลอันควรพูดแล้วจึงพูด.
               ชื่อว่า ภูตวาที เพราะพูดแต่เรื่องที่จริงแท้ที่มีอยู่เท่านั้น.
               ชื่อว่า อตฺถวาที เพราะพูดอิงประโยชน์ปัจจุบัน และประโยชน์ในภพหน้า.
               ชื่อว่า ธมฺมวาที เพราะพูดอิงนวโลกุตรธรรม.
               ชื่อว่า วินยวาที เพราะพูดอิงสังวรวินัยและปหานวินัย.
               โอกาสเป็นที่ตั้งไว้ ชื่อว่านิธาน ก็นิธานคือหลักที่ตั้งของวาจานั้นมีอยู่ เหตุนั้น วาจานั้นชื่อว่านิธานวตี มีหลักที่ตั้ง. อธิบายว่า เป็นผู้กล่าวถ้อยคำควรฝังไว้ในใจ.
               บทว่า กาเลน ได้แก่ แม้เมื่อกล่าววาจาเห็นปานนี้ ก็คิดว่า เราจักกล่าววาจาที่น่าจดจำดังนี้ ไม่กล่าวพร่ำเพรื่อ. อธิบายว่า พิจารณาถึงกาลที่ควรก่อนแล้วจึงกล่าว ดังนี้.
               บทว่า สาปเทสํ ได้แก่ มีข้ออุปมา. อธิบายว่า มีเหตุผล.
               บทว่า ปริยนฺตวตึ ได้แก่ แสดงหัวข้อ. อธิบายว่า กล่าวโดยอาการที่วาจานั้นปรากฏหัวข้อ.
               บทว่า อตฺถสญฺหิตํ ได้แก่ มีผู้จำแนกไว้แม้มากนัยก็ไม่อาจกำหนดเอาได้ ชื่อว่าถึงพร้อมด้วยอรรถ.
               อีกอย่างหนึ่ง ท่านอธิบายไว้ว่า ย่อมกล่าววาจาที่ประกอบด้วยประโยชน์ เพราะวาจานั้นประกอบด้วยประโยชน์ที่ผู้กล่าวอาศัยประโยชน์ มุ่งกล่าว หาใช่ยกเรื่องหนึ่งขึ้นแล้วกล่าวเรื่องอื่นเสียใหม่.
               บทว่า พีชคามภูตคามสมารมฺภา ความว่า เป็นผู้เว้นจากกำจัด คือการทำลายโดยการตัดและการเผาซึ่งพีชคาม ๕ อย่าง คือ พืชเกิดแต่ราก ๑ พืชเกิดแต่ลำต้น ๑ พืชเกิดแต่ข้อ ๑ พืชเกิดแต่ยอด ๑ พืชเกิดแต่เมล็ด ๑ และซึ่งพืชคามมีหญ้าสีเขียว และต้นไม้เป็นต้น.
               บทว่า เอกภตฺติโก ได้แก่ ภัตร (อาหาร) ๒ อย่าง คือ ภัตรในเวลาเช้า ๑ ภัตรในเวลาเย็น ๑.
               ในภัตร ๒ อย่างนั้น ภัตรในเวลาเช้ากำหนดไว้ภายในเที่ยง ภัตรในเวลาเย็นกำหนดไว้หลังเที่ยงวันไป เพราะฉะนั้น แม้จะบริโภคสัก ๑๐ ครั้งภายในเที่ยงก็ชื่อว่าเป็นเอกภัตติกะ (บริโภคมื้อเดียว) ท่านหมายถึงเอกภัตติกะนั้น จึงกล่าวว่า เอกภตฺติโก ดังนี้.
               การบริโภคในกลางคืน ชื่อว่า รตฺติ ชื่อว่า รตฺตูปรตฺโต เพราะเว้นจากการบริโภคในกลางคืน. เมื่อเลยเที่ยงไปแล้วบริโภคจนถึงพระอาทิตย์ตก ชื่อว่าบริโภคผิดเวลา เพราะเว้นจากบริโภคผิดเวลานั้นชื่อว่า วิรโต วิกาลโภชนา งดเว้นการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล.
               บทว่า ชาติรูปํ ได้แก่ ทอง.
               บทว่า รชตํ ได้แก่ เงินที่ชาวโลกเขาเรียกกันว่ากหาปณะ โลหมาสก ชตุมาสก (มาสกยางไม้) ทารมาสก (มาสกไม้) เว้นจากการรับทองและเงินแม้ทั้งสองนั้น. อธิบายว่า ไม่รับเอง ไม่ให้ผู้อื่นรับ ไม่ยินดีของที่เขาเก็บไว้.
               บทว่า อามกธญฺญปฏิคฺคหณา ได้แก่ เว้นจากการรับข้าวดิบ ๗ อย่าง กล่าวคือ ข้าวสาลี ๑ ข้าวเปลือกจ้าว ๑ ข้าวเหนียว ๑ ข้าวละมาน ๑ ข้าวฟ่าง ๑ ข้าวลูกเดือย ๑ หญ้ากับแก้ ๑. ไม่ใช่แต่รับข้าวเหล่านั้นอย่างเดียวเท่านั้นไม่ควร แม้ลูบคลำก็ไม่ควรแก่ภิกษุทั้งหลายโดยแท้.
               ในบทว่า อามกมํส ปฏิคฺคหณา นี้ การรับเนื้อและปลาสดก็ไม่ควร ลูบคลำก็ไม่ควรแก่ภิกษุทั้งหลาย เว้นแต่ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้โดยเฉพาะ.
               ในบทว่า อิตฺถีกุมาริกา ปฏคฺคหณา นี้ หญิงที่อยู่กับชาย ชื่อว่าอิตถี (นาง) หญิงนอกนั้นชื่อว่ากุมาริกา (นางสาว) การรับก็ดี การลูบคลำก็ดีซึ่งหญิงเหล่านั้นเป็นอกัปปิยะ (ไม่ควร).
               ในบทว่า ทาสีทาสปฏิคฺคหณา นี้ การรับคนเป็นทาสหญิง ทาสชาย ไม่ควร ก็แต่ว่าเมื่อพูดอย่างนี้ว่า เราถวายเป็นกัปปิยการก เราถวายเป็นคนวัดดังนี้ ก็ควร.
               แม้ในแพะแกะเป็นต้นมีนาและสวนเป็นที่สุด ควรตรวจสอบที่เป็นกัปปิยะและอกัปปิยะโดยทางวินัย. ในข้อนั้น ปุพพัณณชาติ (ข้าว) งอกขึ้นในที่ใด ที่นั้นชื่อว่านา อปรพัณณชาติ (ถั่วงา) งอกขึ้นในที่ใด ที่นั้นชื่อว่าสวน. อีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองอย่างงอกขึ้นในที่ใดที่นั้นชื่อว่านา. พื้นที่ที่ยังมิได้ทำเพื่อประโยชน์แก่นานั้นชื่อว่าที่สวน. แม้บึงและหนองเป็นต้น ท่านก็สงเคราะห์เข้าในบทนี้ ด้วยหัวข้อว่านาและสวน.
               บทว่า กยวิกฺกยา ได้แก่ การซื้อและการขาย. ทูตกรรมการทำเป็นทูต ได้แก่การรับหนังสือ หรือข่าวของพวกคฤหัสถ์แล้วไปในที่นั้นๆ ท่านเรียกว่า ทูเตยยะ (ความเป็นทูต) การที่ภิกษุถูกคฤหัสถ์ส่งจากเรือนหลังหนึ่งสู่เรือนหลังหนึ่งเล็กๆ น้อยๆ ท่านเรียกว่า ปหิณคมนะ (รับใช้). ทำทั้งสองอย่างนั้นชื่อว่า อนุโยคะ (ประกอบเนืองๆ) เพราะฉะนั้น พึงทราบความในบทนี้อย่างนี้ว่า เว้นจากประกอบเนืองๆ ซึ่งการเป็นทูตและรับใช้คฤหัสถ์.
               พึงทราบวินิจฉัยในการโกงตาชั่งเป็นต้น
               การหลอกลวง ชื่อว่าโกง.
               ในการโกงนั้น การโกงตาชั่งมี ๔ อย่าง คือ โกงด้วยรูป ๑ โกงด้วยอวัยวะ ๑ โกงด้วยการจับ ๑ โกงด้วยการกำบัง ๑.
               ในการโกง ๔ อย่างนั้น เขาทำตาชั่งสองอันมีรูปเท่าๆ กัน เมื่อรับก็รับด้วยตาชั่งอันใหญ่ เมื่อให้ก็ให้ด้วยตาชั่งอันเล็ก ชื่อว่าโกงด้วยรูป. เมื่อรับก็ใช้มือกดตาชั่งข้างหลังไว้ เมื่อให้ก็ใช้มือกดตาชั่งข้างหน้าไว้ ชื่อว่าโกงด้วยอวัยวะ. เมื่อรับก็จับเชือกไว้ที่โคนตาชั่ง เมื่อให้ก็จับเชือกไว้ที่ปลายตาชั่ง ชื่อว่าโกงด้วยการจับ. ทำตราชั่งให้กลวง ใส่ผงเหล็กไว้ภายใน เมื่อรับก็เลื่อนผลเหล็กนั้นไปปลายตาชั่ง เมื่อให้ก็เลื่อนผลเหล็กนั้นไว้หัวตาชั่ง ชื่อว่าโกงด้วยการกำบัง. ถาดทองท่านเรียกว่ากังสะ การหลอกลวงด้วยถาดทองนั้น ชื่อว่ากังสกูฏะ โกงด้วยสำริด.
               ถามว่า โกงอย่างไร.
               ตอบว่า ทำถาดทองไว้ใบหนึ่ง แล้วทำถาดโลหะอื่น ๒-๓ ใบให้มีสีเหลืองทอง จากนั้น เขาก็ไปสู่ชนบท เข้าไปสู่ตระกูลที่มั่งคั่งตระกูลหนึ่งแล้วพูดว่า ขอท่านได้โปรดซื้อภาชนะทองเถิด เมื่อถามถึงราคา ประสงค์จะให้ราคาเท่าๆ กัน เมื่อผู้ซื้อถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าถาดเหล่านี้เป็นทอง ผู้หลอกลวงกล่าวว่าทดลองแล้วค่อยรับไป แล้วขูดถาดทองลงที่หิน ขายถาดทั้งหมดแล้วก็ไป.
               การโกงด้วยเครื่องวัดมี ๓ อย่างคือ หทยเภท ทำลายด้วยรู ๑ สิกขาเภท ทำลายยอด ๑ รัชชุเภท ทำลายด้วยเชือก ๑.
               ใน ๓ อย่างนั้น หทยเภทได้ในเวลาตวงเนยใสและน้ำมันเป็นต้น ด้วยว่าเมื่อรับของเหล่านั้น ใช้เครื่องวัดอันมีรูข้างล่าง บอกว่าให้ค่อยๆ เท แล้วให้ไหลลงในภาชนะของตนมากๆ แล้วรับเอาไป เมื่อให้ก็ปิดรูรีบทำให้เต็มแล้วให้. สิขาเภทได้ในเวลาตวงงาและข้าวสารเป็นต้น ด้วยว่าเมื่อรับของเหล่านั้นค่อยๆ ทำยอดให้สูง รับเอาไป เมื่อให้รีบทำให้เต็มแล้วปาดยอดเสียจึงให้. รัชชุเภทได้ในเวลาวัดนาและที่ดินเป็นต้น ด้วยว่าเมื่อไม่ได้สินบน แม้นาไม่ใหญ่ ก็วัดให้ใหญ่ได้.
               พึงทราบวินิจฉัยในการฉ้อโกงเป็นต้น
               บทว่า ฉ้อโกง ได้แก่ รับสินบนเพื่อทำเจ้าของไม่ให้เป็นเจ้าของ.
               บทว่า วญฺจนํ ได้แก่ การหลอกลวงผู้อื่นด้วยอุบายนั้นๆ.
               ในบททั้งสองนั้นมีเรื่องเป็นตัวอย่างดังนี้.
               ได้ยินว่า พรานคนหนึ่งจับเนื้อและลูกเนื้อเดินมา. นักเลงคนหนึ่งพูดกะพรานนั้นว่า พ่อพราน เนื้อราคาเท่าไร ลูกเนื้อราคาเท่าไร. เมื่อพรานบอกว่า พ่อเนื้อสองกหาปณะ ลูกเนื้อหนึ่งกหาปณะ. นักเลงจึงให้กหาปณะหนึ่งแล้วเอาลูกเนื้อไป ครั้นไปได้หน่อยหนึ่งก็กลับมาอีก พูดว่า พ่อพราน เราไม่ต้องการลูกเนื้อ จงให้พ่อเนื้อแก่เรา. พรานพูดว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงให้เราสองกหาปณะ. นักเลงนั้นพูดว่า พ่อพราน เราให้ไปหนึ่งกหาปณะก่อนแล้วมิใช่หรือ. พรานบอกว่า จริงท่านให้หนึ่งกหาปณะแล้ว. นักเลงพูดว่า นั่นกหาปณะหนึ่ง และลูกเนื้อนี้ก็มีราคาหนึ่งกหาปณะ เพราะฉะนั้นจึงรวมเป็นสองกหาปณะ. พรานเข้าใจว่านักเลงพูดด้วยเหตุผล จึงรับลูกเนื้อคืนมาแล้วให้เนื้อไป.
               บทว่า นิกติ ได้แก่ หลอกลวงด้วยของเทียม คือทำสิ่งที่มิใช่สังวาลให้เป็นสังวาล ทำสิ่งที่มิใช่แก้วมณีให้เป็นแก้วมณี ทำสิ่งที่มิใช่ทองให้เป็นทอง โดยประกอบขึ้นหรือด้วยกลลวง.
               บทว่า สาวิโยโค ได้แก่ วิธีโกง.
               คำนี้เป็นชื่อของการฉ้อโกงเป็นต้นเหล่านั้นแล. เพราะฉะนั้น พึงทราบความในบทนี้อย่างนี้ว่า วิธีโกงด้วยการฉ้อโกง การหลอกลวง วิธีโกงด้วยการทำของเทียมดังนี้. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า การแสดงของอย่างหนึ่งแล้วเปลี่ยนเป็นของอีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าวิธีโกง. ก็บทนั้นสงเคราะห์ด้วยการหลอกลวงนั้นเอง.
               พึงทราบวินิจฉัยในการตัดเป็นต้น.
               บทว่า เฉทนํ ได้แก่ การตัดมือเป็นต้น. บทว่า วโธ ได้แก่ ทำให้ตาย. บทว่า พนฺโธ ได้แก่ มัดด้วยเครื่องมัดคือเชือกเป็นต้น.
               บทว่า วิปราโมโส ได้แก่ การตีชิง.
               สองอย่าง คือ หิมวิปราโมสะ บังหิมะตีชิง ๑ คุมพวิปราโมสะ บังพุ่มไม้ตีชิง ๑.
               ในคราวหิมะตก โจรทั้งหลายเอาหิมะกำบังตีชิงชนเดินทาง ชื่อว่าหิมวิปราโมสะ. โจรทั้งหลายเอาพุ่มไม้เป็นต้นกำบังแล้วตีชิง ชื่อคุมพวิปราโมสะ.
               วิธีโกงด้วยการปล้นชาวบ้านและชาวนิคมเป็นต้น ท่านเรียกว่าอาโลปะ (ปล้น).
               บทว่า สหสากาโร ได้แก่ การทำอย่างรุนแรง. คือ การเข้าไปเรือนเอาศัสตราจ่ออกของพวกมนุษย์แล้วเก็บของที่ตนต้องการ. เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นเป็นผู้เว้นขาดจากการทำรุนแรง คือฟันแทง ฆ่า มัด ตีชิง ปล้นด้วยประการฉะนี้แล.
               บทว่า โส สนฺตุฏฺโฐ โหติ ได้แก่ ภิกษุนี้นั้นเป็นผู้ประกอบด้วยความสันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้ ๑๒ อย่างในปัจจัย ๔ ที่กล่าวไว้แล้วในหนหลัง.
               บริขาร ๘ คือ ไตรจีวร บาตร มีดเหลาไม้สีฟัน เข็ม ๑ เล่ม รัดประคต เครื่องกรองน้ำ ย่อมสมควรแก่ภิกษุผู้ประกอบด้วยสันโดษความยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ ๑๒ อย่างนี้.
               ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
                                   ติจีวรญฺจ ปตฺโต จ      วาสิ สูจิ จ พนฺธนํ
                                   ปริสฺสาวเนน อฏฺเฐเต  ยุตฺตโยคสฺส ภิกฺขุโน.
                         บริขาร ๘ เหล่านี้ ไตรจีวร บาตร มีด เข็ม รัดประคต
                         เครื่องกรองน้ำ สำหรับภิกษุผู้ประกอบความเพียร.
               บริขารเหล่านั้นทั้งหมด เป็นเครื่องบริหารกายบ้าง บริหารท้องบ้าง.
               ถามว่า บริหารอย่างไร.
               ตอบว่า ก่อนอื่น ไตรจีวรย่อมบริหารรักษากายใน เวลาภิกษุนุ่งและห่มแล้วจาริกไป เพราะฉะนั้นจึงเป็นเครื่องบริหารกาย. ไตรจีวรย่อมบริหารหล่อเลี้ยงท้องในเวลาเอาชายจีวรกรองน้ำดื่ม และในเวลาห่อของเคี้ยวและผลไม้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเครื่องบริหารท้อง.
               แม้บาตรก็เป็นเครื่องบริหารกาย ในเวลาเอาบาตรนั้นตักน้ำอาบ และในเวลาทำความสะอาดกุฏิ เป็นเครื่องบริหารท้องในเวลารับอาหารบริโภค.
               แม้มีดก็เป็นเครื่องบริหารกายในเวลาเอามีดนั้นเหลาไม้สีฟัน และในเวลาตกแต่งส่วนแห่งเท้าของเตียงและตั่งและคันกลด เป็นเครื่องบริหารท้องในเวลาควั่นอ้อยและปอกมะพร้าวเป็นต้น. เข็มเป็นเครื่องบริหารกายในเวลาเย็บจีวร เป็นเครื่องบริหารท้องในเวลาจิ้มขนมหรือผลไม้เคี้ยวกิน. รัดประคดเป็นเครื่องบริหารกายในเวลารัดกายเที่ยวไป เป็นเครื่องบริหารท้องในเวลามัดอ้อยเป็นต้นแล้วหิ้วไป. เครื่องกรองน้ำเป็นเครื่องบริหารกายในเวลาเอาเครื่องกรองน้ำนั้นกรองน้ำอาบ และในเวลาทำความสะอาดเสนาสนะ เป็นเครื่องบริหารท้องในเวลากรองน้ำดื่ม และในเวลาถือเอางา ข้าวสารและข้าวเม่าเป็นต้นด้วยเครื่องกรองน้ำนั้นเคี้ยวกิน.
               นี้เป็นเพียงบริขารของภิกษุผู้มีบริขาร ๘ เท่านั้น. แต่สำหรับภิกษุผู้มีบริขาร ๙ ผู้เข้าไปยังที่นอน เครื่องลาดอันตั้งอยู่บนที่นอนนั้นหรือกุญแจ ย่อมควร. สำหรับภิกษุมีบริขาร ๑๐ ที่นั่งหรือแผ่นหนังย่อมควร. สำหรับภิกษุผู้มีบริขาร ๑๑ ไม้เท้าหรือขวดน้ำมัน ย่อมควร. สำหรับภิกษุผู้มีบริขาร ๑๒ ร่มหรือรองเท้า ย่อมควร.
               บรรดาภิกษุผู้มีบริขารเหล่านี้ ภิกษุผู้มีบริขาร ๘ เท่านั้นเป็นผู้สันโดษ. ไม่ควรว่า ภิกษุนอกนั้นว่าเป็นผู้ไม่สันโดษ เป็นผู้มักมากอยากใหญ่. แม้ภิกษุเหล่านี้ก็เป็นผู้มักน้อย สันโดษ เลี้ยงง่าย มีความประพฤติเบา. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสพระสูตรนี้ โดยหมายเอาภิกษุเหล่านั้น. ตรัสโดยหมายเอาภิกษุผู้มีบริขาร ๘.
               จริงอยู่ ภิกษุผู้มีบริขาร ๘ นั้น ใส่มีดเล็กและเข็มลงในหม้อกรองน้ำแล้ววางไว้ในบาตร คล้องบาตรที่บ่า กระทำจีวรให้กระชับกาย หลีกไปหาความสุขตามปรารถนา. ชื่อว่าภิกษุนั้นจะกลับมาถือเอาอะไรอีกเป็นไม่มี ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงว่า ภิกษุนี้เป็นผู้มีความประพฤติเบา จึงตรัสว่า สนตุฏฺโฐ โหติ กายปริหารเกน จีวเรน ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกายเป็นต้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า กายปริหาริเกน ได้แก่ เป็นเพียงเครื่องบริหารกาย.
               บทว่า กุจฺฉิปริหาริเกน ได้แก่ เป็นเพียงเครื่องบริหารท้อง.
               บทว่า สมาทาเยว ปกฺกมติ ความว่า ภิกษุถือเอาบริขารนั้นทั้งหมดเพียง ๘ อย่างติดไปกับกาย.
               ภิกษุนั้นมิได้มีความเกี่ยวข้องผูกพันว่า วิหารของเรา บริเวณของเรา อุปฐากของเรา ดังนี้. ภิกษุนั้นใช้สอยเสนาสนะ ไพรสณฑ์ โคนไม้ ป่า เงื้อมภูเขาที่ตนปรารถนาแล้วๆ ดุจลูกศรพ้นจากสายธนู ดุจช้างซับมันหลีกออกจากโขลงฉะนั้น ยืนรูปเดียว นั่งรูปเดียว รูปเดียวทุกอิริยาบถไม่มีเพื่อน ถึงความเป็นดุจนอแรด ที่ท่านพรรณนาไว้อย่างนี้ว่า
                         ภิกษุผู้สันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้
                         เที่ยวไปทั้ง ๔ ทิศ ไม่กระทบกระทั่ง
                         อดทนต่ออันตราย ไม่หวาดสะดุ้ง
                         เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด.

               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงสาธกเนื้อความนั้น ด้วยข้ออุปมา จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า เสยฺยถาปิ ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ปกฺขี สกุโณ ได้แก่ นกมีปีก. บทว่า เฑติ แปลว่า บินไป.
               ความย่อในเรื่องนี้มีดังนี้
               ธรรมดานกทั้งหลายรู้ว่าถิ่นโน้นมีต้นไม้ มีผลสุก จึงพากันมาจากทิศต่างๆ เอาเล็บ ปีกและจะงอยปากเป็นต้นแทง จิก กินผลไม้ของต้นไม้นั้น นกเหล่านั้นมิได้คิดว่า ผลไม้นี้สำหรับวันนี้ ผลนี้สำหรับพรุ่งนี้ ก็เมื่อผลไม้หมด นกทั้งหลายมิได้วางการป้องกันรักษาต้นไม้ มิได้วางปีก ขน เล็บหรือจะงอยปากไว้ที่ต้นไม้นั้น ไม่ห่วงใยต้นไม้นั้น ปรารถนาจะไปทิศใดก็มีภาระคือปีกเท่านั้น บินไปทางทิศนั้น. ภิกษุนี้ก็เหมือนกันหมดความข้อง หมดความห่วงใย หลีกไปคือถือเอาเพียงบริวาร ๘ แล้วก็หลีกไป.
               บทว่า อริเยน ได้แก่ ไม่มีโทษ.
               บทว่า อชฺฌตฺตํ ได้แก่ ในอัตภาพของตน.
               บทว่า อนวชฺชสุขํ ได้แก่ ความสุขอันไม่มีโทษ.
               บทว่า โส จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา ความว่า ภิกษุนั้นผู้ประกอบแล้วด้วยสีลขันธ์อันเป็นอริยะนี้ เพราะเห็นรูปด้วยจักขุวิญญาณ.
               แม้ในบทที่เหลือคำที่ควรกล่าว ก็ได้กล่าวไว้หมดแล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
               บทว่า อพฺยาเสกสุขํ ได้แก่ ความสุขที่ไม่ซุ่มด้วยกิเลส.
               ท่านกล่าวว่า อวิกิณฺณสุขํ ดังนี้บ้าง. ด้วยว่าสุขเกิดจากอินทรียสังวร ชื่อว่าเป็นความสุขที่ไม่วุ่นวาย เพราะเป็นไปเพียงสักว่าเห็นเป็นต้นในอารมณ์มีรูปที่ตนเห็นเป็นอาทิเท่านั้น.
               บทว่า โส อภิกฺกนฺเต ปฏิกฺกนฺเต ความว่า ภิกษุผู้ประกอบด้วยความสำรวมอินทรีย์อันมีใจเป็นที่หก ย่อมเป็นผู้ทำความรู้ตัวด้วยสติสัมปชัญญะในฐานะ ๗ มีก้าวไปและถอยกลับเป็นต้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า อภิกฺกนฺตํ ได้แก่ เดินไปข้างหน้า.
               บทว่า ปฏิกฺกนฺตํ ได้แก่ ถอยกลับ.
               บทว่า สมฺปชานการี โหติ ความว่า ภิกษุเข้าไปตั้งสติไว้ด้วยสามารถสัมปชัญญะ อันสัมปยุตด้วยสติ ๔ เหล่านี้ คือสาตถกสัมปชัญญะ (ความรู้ตัวในกิจที่เป็นประโยชน์แก่ตน) สัมปายสัมปชัญญะ (ความรู้ตัวในปัจจัยที่สบาย) โคจรสัมปชัญญะ (ความรู้ตัวในธรรมเป็นโคจร) อสัมโมหสัมปชัญญะ (ความรู้ตัวในความไม่หลงงมงาย) แล้วกำหนดด้วยญาณ กระทำการก้าวไปและถอยกลับเหล่านั้น.
               แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน.
               นี้เป็นความย่อในที่นี้ ส่วนความพิสดารผู้ปรารถนาพึงดูได้จากอรรถกถาสามัญญผลสูตร ในทีฆนิกาย หรือจากอรรถกถาสติปัฏฐานสูตร ในมัชฌิมนิกาย.
               ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอะไรด้วยบทเป็นอาทิว่า โส อิมินา จ ดังนี้.
               ตอบว่า ทรงแสดงถึงปัจจัยสมบัติของภิกษุผู้อยู่ป่า. ด้วยว่าปัจจัย ๔ เหล่านี้ไม่มีแก่ภิกษุผู้ใด การอยู่ป่าของภิกษุนั้นย่อมไม่สำเร็จ ภิกษุนั้นน่าจะต้องถูกกล่าวด้วยสัตว์เดียรัจฉาน หรือพวกพราน. เทวดาที่สิงอยู่ในป่าจะพากันส่งเสียงอันน่ากลัวว่า ประโยชน์อะไรด้วยการอยู่ในป่าของภิกษุลามกเห็นปานนี้ ดังนี้ แล้วเขกศีรษะไล่ให้หนีไป. ความไม่มีเกียรติยศก็จะแพร่ออกไปว่า ภิกษุรูปโน้นเข้าไปป่า ได้กระทำกรรมอันลามกอย่างนี้ๆ.
               ก็ปัจจัย ๔ เหล่านี้มีอยู่แก่ภิกษุใด การอยู่ป่าของภิกษุนั้นย่อมสำเร็จ. ด้วยว่าภิกษุนั้นพิจารณาศีลของตนเมื่อไม่เห็นจุดดำหรือตกกระไรๆ เกิดปีติ เมื่อเห็นปีตินั้นโดยความสิ้น โดยความเสื่อม ย่อมหลั่งลงสู่อริยภูมิ. เหล่าเทวดาที่สิงอยู่ในป่ามีใจเป็นของตนก็พากันสรรเสริญ เกียรติยศของภิกษุนั้นย่อมแพร่ออกกไปดุจหยาดน้ำมันที่เขาใส่ลงในน้ำด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า วิวิตฺตํ ได้แก่ ป่ามีเสียงน้อย. อธิบายว่า มีเสียงอึกทึกน้อย.
               ในวิภังค์หมายถึง เสียงอึกทึกน้อยนั้น จึงกล่าวไว้ว่า บทว่า วิวิตฺตํ ความว่า แม้หากว่าเสนาสนะอยู่ใกล้กัน แต่เสนาสนะนั้นไม่วุ่นวายด้วยคฤหัสถ์บรรพชิต ด้วยเหตุนั้น เสนาสนะนั้นจึงชื่อว่าสงัด.
               ชื่อเสนาสนะ เพราะเป็นที่นอนและที่นั่ง. คำนี้เป็นชื่อของเตียงและตั่งเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บทว่า เสนาสนํ ได้แก่ เตียงบ้าง ที่นอนที่นั่งบ้าง ตั่งบ้าง ฟูกบ้าง หมอนบ้าง วิหารบ้าง เรือนมุงด้านเดียวบ้าง ปราสาทบ้าง ปราสาทโล้นบ้าง ถ้ำบ้าง ป้อมบ้าง เรือนยอดบ้าง ที่เร้นบ้าง กอไผ่บ้าง โคนไม้บ้าง มณฑปบ้าง ก็หรือว่าภิกษุทั้งหลายหลีกออกไปในที่ใด ที่ทั้งหมดนั้นชื่อว่าเสนาสนะ.
               อีกอย่างหนึ่ง เสนาสนะนี้คือ วิหาร เรือนมุงด้านเดียว ปราสาท ปราสาทโล้น ถ้ำ ชื่อเสนาสนะคือวิหาร. เสนาสนะนี้คือ เตียง ตั่ง ฟูก หมอน ชื่อว่าเสนาสนะคือเตียงตั่ง. เสนาสนะนี้ คือแผ่นหนังทำปลอกหมอน เครื่องลาดด้วยหญ้า เครื่อลาดด้วยใบไม้ ชื่อว่าเสนาสนะคือสันถัต.
               บทว่า ยตฺถ วา ปน ภิกฺขุ ปฏิกฺกมนฺติ ก็หรือว่า ภิกษุทั้งหลายหลีกออกไปในที่ใด นี้ชื่อว่าเสนาสนะคือโอกาส เสนาสนะมี ๔ อย่างด้วยประการฉะนี้. แม้เสนาสนะนั้น ท่านใช้ศัพท์ว่าเสนาสนะเหมือนกันหมด.
               ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงถึงเสนาสนะอันสมควรแก่ภิกษุผู้จาริกไปในทิศทั้ง ๔ เช่นกับนกนี้ จึงตรัสว่า อรญฺญํ รุกฺขมูลํ เป็นอาทิ.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า อรญฺญํ ได้แก่ ที่ๆ ออกไปภายนอกเสาเขื่อนทั้งหมด.
               บทว่า อรญฺญํ นี้จัดว่าป่าที่มาเพราะอำนาจภิกษุณี. (บทบัญญัติของภิกษุณีห้ามไม่ให้อยู่ป่า) ชื่อว่าเสนาสนะป่า ได้แก่ เสนาสนะที่กำหนดไว้ชั่ว ๕๐๐ ลูกธนู. เพราะฉะนั้น เสนาสนะนี้จึงสมควรแก่ภิกษุนี้. ลักษณะของเสนาสนะนั้นกล่าวไว้แล้วในธุตังคนิเทศคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
               บทว่า รุกฺขมูลํ ได้แก่ โคนไม้ที่สงัดมีเงาทึบแห่งใดแห่งหนึ่ง.
               บทว่า ปพฺพตํ ได้แก่ ภูเขาศิลา.
               จริงอยู่ ในที่นั้นภิกษุอาบน้ำที่แอ่งน้ำแล้วนั่งใต้เงาไม้อันเย็นเมื่อทิศต่างๆ ปรากฏอยู่ ถูกลมเย็นโชยมา จิตก็มีอารมณ์เป็นหนึ่ง.
               บทว่า กนฺทรํ ความว่า น้ำ ท่านเรียกว่า กํ.
               เอกเทศแห่งภูเขาที่ถูกน้ำเซาะพังเพราะน้ำที่เขาเรียกว่านิตัมพะไหล่เขาบ้าง นทีกุญชะ ท้องเขาบ้าง. ก็ในที่นั้นมีทรายสีคล้ายแผ่นเงิน. น้ำคล้ายก้อนแก้วมณีไหลไปเบื้องบนป่าชัฏ เหมือนเพดานแก้วมณี ภิกษุลงไปสู่แอ่งน้ำเห็นปานนี้ ดื่มน้ำเอาน้ำลูบตัวให้เย็น พูนทรายขึ้นแล้วปูผ้าบังสุกุลจีวร นั่งบำเพ็ญสมณธรรม จิตก็มีอารมณ์เป็นหนึ่ง.
               บทว่า คิริคุหํ ได้แก่ ระหว่างภูเขาสองลูก หรือช่องใหญ่คล้ายอุโมงค์ในภูเขาลูกหนึ่ง ลักษณะป่าช้า กล่าวไว้แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
               บทว่า วนปตฺถํ ได้แก่ ที่อันเลยอุปจาระของพวกมนุษย์ ซึ่งเขาไม่ไถ ไม่หว่าน. ด้วยเหตุนั้นแล ท่านจึงกล่าวคำเป็นอาทิว่า คำว่า วนปตฺถํ นี้เป็นชื่อของเสนาสนะที่อยู่ไกล.
               บทว่า อพฺโภกาสํ ได้แก่ ที่ไม่ได้มุงบังไว้. ก็ภิกษุเมื่อหวังก็ทำกลดในที่นี้แล้วอยู่ได้.
               บทว่า ปลาลปุญฺชํ ได้แก่ ลอมฟาง.
               จริงอยู่ ภิกษุทั้งหลายซักฟางมาจากลอมฟางใหญ่แล้วทำให้เป็นที่อยู่คล้ายที่เร้นในเงื้อมเขา ใส่ฟางไว้ข้างบนกอไม้ พุ่มไม้เป็นต้นแล้วนั่งภายใต้บำเพ็ญสมณธรรม. ท่านกล่าวคำนี้หมายถึงลอมฟางนั้น.
               บทว่า ปจฺฉาภตฺตํ ได้แก่ ภายหลังภัตร (อาหาร).
               บทว่า ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต ได้แก่ กลับจากการแสวงหาบิณฑบาต.
               บทว่า ปลฺลงฺกํ ได้แก่ นั่งขดขาโดยรอบ (นั่งขัดสมาธิ).
               บทว่า อาภุชิตฺวา ได้แก่ ขด.
               บทว่า อุชุํ กายํ ปณิธาย ได้แก่ ตั้งสรีระเบื้องบนให้ตรงให้ปลายกับปลายกระดูกสันหลัง ๑๘ ข้อจดเรียงกัน เมื่อนั่งอย่างนี้หนังเนื้อและเอ็นก็ไม่ค้อม เมื่อเป็นเช่นนั้น เวทนาเหล่าใดอันมีความค้อมเป็นปัจจัยจะพึงเกิดขึ้นทุกขณะแก่ภิกษุเหล่านั้น เวทนานั้นก็จะไม่เกิดขึ้น เมื่อเวทนาเหล่านั้นไม่เกิด จิตก็ย่อมมีอารมณ์เป็นหนึ่ง กรรมฐานก็ไม่ตก มีแต่เจริญงอกงาม.
               บทว่า ปริมุขํ สติ อุปฏฐเปตฺวา ความว่า ตั้งสติอันมีหน้าเฉพาะต่อกรรมฐาน หรือกระทำไว้ใกล้หน้า. ด้วยเหตุนั้นแล ท่านจึงกล่าวไว้ในวิภังค์ว่า สตินี้เป็นอันเข้าไปตั้งไว้แล้ว เข้าไปตั้งไว้แล้วด้วยดี ที่ปลายจมูกหรือที่มุขนิมิตใกล้หน้า ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา (เข้าไปตั้งสติไว้เฉพาะหน้า) ดังนี้.
               อีกนัยหนึ่ง ศัพท์ ปริ มีอรรถว่า กำหนด. ศัพท์ว่า มุขํ มีอรรถว่า นำออกไป.
               บทว่า สติ มีอรรถว่าเข้าไปตั้งไว้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปริมุขํ สตึ ดังนี้ พึงทราบความในบทนี้โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในปฏิสัมภิทา ด้วยประการฉะนี้. ความย่อในปฏิสัมภิทานั้นว่ากระทำสติอันกำหนดไว้และนำออกไป.
               ในบทว่า อภิชฺฌํ โลเก นี้ อุปาทานขันธ์ ๕ ชื่อว่าโลก เพราะอรรถว่าชำรุดทรุดโทรมไป. เพราะฉะนั้น พึงเห็นความในบทนี้อย่างนี้ว่า ละราคะ ข่มกามฉันทะในอุปาทานขันธ์ ๕ ดังนี้.
               บทว่า วิคตาภิชฺเฌน ความว่า มีใจ ชื่อว่าปราศจากอภิชฌา เพราะละได้ด้วยการข่มไว้ มิใช่มีใจเช่นกันจักขุวิญญาณ.
               บทว่า อภิชฺฌาย จิตฺตํ ปริโสเธติ ได้แก่ ชำระจิตให้หมดจดจากอภิชฌา. อธิบายว่า ภิกษุกระทำโดยประการที่อภิชฌาปล่อยจิตนั้นแล้วจะไม่กลับมาเกาะจิตอีก.
               แม้ในบทว่า พฺยาปาทปฺปโทสํ ปหาย เป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน.
               ชื่อว่าพยาบาท เพราะเบียดเบียน คือจิตต้องละปกติที่เคยมีมาในก่อนด้วยพยาบาทนี้ดุจขนมบูดเป็นต้น. ชื่อโทสะ เพราะย่อมประทุษร้ายเอง หรือให้ผู้อื่นประทุษร้าย คือให้พินาศโดยให้ถึงความพิการ. ทั้งสองนี้เป็นชื่อของความโกรธนั้นแล.
               ความป่วยทางจิตชื่อว่าถีนะ ความป่วยทางเจตสิกชื่อว่ามิทธะ ถีนะความง่วงเหงาและมิทธะความหาวนอน ชื่อว่าถีนมิทธะ.
               บทว่า อาโลกสญฺญี ความว่า ภิกษุประกอบด้วยสัญญาอันบริสุทธิ์ปราศจากนิวรณ์ สามารถจำหมายแสงสว่างที่เห็นทั้งกลางคืนทั้งกลางวัน.
               บทว่า สโต สมฺปชาโน ได้แก่ ประกอบด้วยสติและญาณ. ท่านกล่าวไว้ทั้งสองนี้ก็เพราะเป็นธรรมอุปการะแก่อาโลกสัญญา.
               ความฟุ้งซ่านและความรำคาญ ชื่อว่าอุทธัจจกุกกุจจะ.
               บทว่า ติณฺณวิจิกิจฺโฉ ได้แก่ ข้าม คือล่วงวิจิกิจฉาได้. ชื่อว่า อกถํกถี (ไม่มีความสงสัย) เพราะไม่มีความสำคัญหมายว่านี้อย่างไร.
               บทว่า กุสเลสุ ธมฺเมสุ ได้แก่ ในธรรมอันไม่มีโทษ. อธิบายว่า ไม่สงสัยคือไม่แคลงใจอย่างนี้ว่า ธรรมเหล่านี้ไม่เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลอย่างไร.
               นี้เป็นความสังเขปในบทนี้.
               ก็ในนิวรณ์เหล่านี้ คำที่ควรกล่าวโดยต่างแห่งถ้อยคำ ความและลักษณะเป็นต้น ก็กล่าวไว้หมดแล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
               บทว่า ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ ความว่า เพราะเหตุที่นิวรณ์ ๕ เหล่านี้เมื่อเกิด ย่อมไม่ให้เกิดปัญญาอันเป็นโลกิยะและโลกุตระซึ่งยังไม่เกิดขึ้น แม้เกิดขึ้นแล้วก็กำจัดสมาบัติ ๘ หรืออภิญญา ๕ ให้ตกไป ฉะนั้นจึงตรัสว่า ปญฺญาย ทุพฺพลีกรณา (ทำปัญญาให้หมดกำลัง) ดังนี้.
               บททั้งหลายมีอาทิว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ กล่าวไว้พิสดารแล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
               บทเป็นต้นว่า อิเม อาสวา ตรัสเพื่อประกาศสัจจะสี่โดยปริยายอื่นอีก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความที่ลัทธิภายนอกไม่มีผลด้วยองค์ ๓ ในภายหลังแล้วทรงประกาศความที่คำสอนของพระองค์ลึกซึ้งด้วยองค์ที่ ๔ ทรงจบเทศนาด้วยอตธรรมคือพระอรหัต ด้วยบทเพียงเท่านี้ว่า นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ ดังนี้ บัดนี้ เมื่อจะทรงกระชับพระเทศนาให้หนักแน่น จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า เอวํ โข ภิกฺขเว ดังนี้.
               จบอรรถกถาอัตตันตปสูตรที่ ๘               

               อรรถกถาตัณหาสูตรที่ ๙               
               พึงทราบวินิจฉัยในตัณหาสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า ชาลินึ คือ เสมือนตาข่าย. อธิบายว่า ขึ้นชื่อว่าตาข่ายที่เขาถักไว้ยุ่งเหยิงโดยรอบ ฉันใด แม้ตัณหาก็ฉันนั้น ท่านเรียกว่าชาลินี เพราะเป็นเสมือนตาข่าย. ตัณหาชื่อว่าชาลินี เพราะตัณหานี้ครอบงำภพ ๓ อยู่มีตาข่ายอันเป็นส่วนของตนในภพนั้นๆ ดังนี้ก็มี.
               บทว่า สํสรตํ คือ ท่องไปในภพนั้นๆ อยู่.
               บทว่า วิสฏํ ได้แก่ แผ่ไป คือซ่านไป.
               บทว่า วิสตฺติกํ ได้แก่ ข้องติดอยู่ในภพนั้นๆ.
               อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นความโดยนัยเป็นต้นว่า ตัณหาชื่อวิสัตติกา มีรากเป็นพิษ ตัณหาชื่อวิสัตติกา มีผลเป็นพิษดังนี้.
               บทว่า อุทฺธสฺโต ได้แก่ ปกคลุมเบื้องบน.
               บทว่า ปิรโยนทฺโธ ได้แก่ หุ้มรัดไว้โดยรอบ.
               บทว่า ตนฺตากุลกชาโต คือ ยุ่งเหยิงเหมือนด้ายยุ่ง. อธิบายว่า ด้ายของช่างหูกเก็บไว้ไม่ดี ถูกหนูกัด ย่อมยุ่งเหยิงในที่นั้นๆ ยากที่จะกำหนดปลายกับปลาย หรือโคนกับโคน ว่านี้ปลาย นี้โคนดังนี้ฉันใด สัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถูกตัณหานี้รึงรัด วุ่นวายยุ่งเหยิง ไม่สามารถจะทำทางแล่นออกแห่งตัณหาของตนให้ตรงได้.
               บทว่า คุลาคุณฺฑิกชาโต ได้แก่ ด้ายที่ชุบน้ำข้าวของช่างหูก ท่านเรียกว่าคุลาคุณฑิกะ (ด้ายชุบน้ำข้าว) อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า รังของนางนกชื่อว่าคุลา ดังนี้ก็มี พึงประกอบความโดยนัยก่อนว่า แม้ทั้งสองนั้นก็ยุ่งยากที่จะกำหนดปลายกับปลาย หรือโคนกับโคนฉันใด.
               บทว่า มุญฺชปพฺพชภูโต ได้แก่ เกิดเป็นดุจหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง คือโลกเกิดเป็นเช่นนั้น. การที่จะถือเอาเชือกที่เขาทุบหญ้าเหล่านั้นๆ ทำแล้วตกไปในที่ไหนๆ ในเวลาที่มันเก่าแล้ว ก็ยากที่จะเก็บกำหนดปลายหรือโคนของหญ้าเหล่านั้นได้ว่า นี้ปลาย นี้โคน ดังนี้ ผู้ที่ตั้งอยู่ในความพยายามเฉพาะตัวจึงสามารถทำเชือกแม้นั้นให้ตรงได้ เว้นพระโพธิสัตว์เสีย สัตว์อื่นก็ไม่สามารถจะทำลายตาข่ายคือตัณหา โดยธรรมดาของตนแล้ว ทำทางแล่นออกจากทุกข์ของตนให้ตรงได้ฉันใด โลกนี้ก็ฉันนั้น ถูกตาข่ายคือตัณหาหุ้มรัดไว้ย่อมไม่ล่วงพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต วัฏสงสารไปได้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า อปาโย ได้แก่ นรก กำเนิดเดียรัจฉาน เปตติวิสัยและอสุรกาย. แม้ทั้งหมดเหล่านั้น ท่านเรียกว่าอบาย เพราะไม่มีความเจริญ กล่าวคือความงอกงาม. อนึ่ง ชื่อว่าทุคติ เพราะความเป็นทางไปแห่งทุกข์. ชื่อวินิบาต เพราะตกไปจากกายที่เป็นสุข.
               ส่วนนอกนี้ มีอธิบายว่า
                         ลำดับแห่งขันธ์ ธาตุ อายตนะ เป็นไปอยู่
                         ไม่ขาดสาย ท่านเรียกว่า สงสาร.

               โลกไม่ล่วงไม่พ้นทั้งหมดนั้น โดยที่แท้โลกถือเอาจุติและปฏิสนธิบ่อยๆ อย่างนี้คือ ต่อจากจุติถือเอาปฏิสนธิ ต่อจากปฏิสนธิถือเอาจุติ ย่อมหมุนเวียนไปในภพ ๓ กำเนิด ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ สัตตาวาส ๙ ดุจเรือถูกลมซัดไปในมหาสมุทร ดุจโคที่เทียมยนต์.
               บทว่า อชฺฌตฺติกสฺส อุปาทาย แปลว่า อาศัยขันธบัญจกภายใน.
               บทว่า อชฺฌตฺติกสฺส นี้เป็นฉัฏฐิวิภัตติลงในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ.
               บทว่า พาหริสฺส อุปาทาย แปลว่า อาศัยขันธบัญจกภายนอก.
               บทว่า อสฺมีติภิกฺขเว สติ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การรวมถือเอาด้วยอำนาจตัณหามานะทิฏฐิ อาศัยขันธบัญจกภายในนี้ได้ ย่อมมีความนึกว่าเราเป็น ย่อมมีคือความนึกในขันธบัญจกนั้น.
               ก็ในบททั้งหลายมีอาทิว่า อิตฺถสฺมีติ โหติ ดังนี้ เมื่อมีการยึดถือโดยรวบรัดอย่างนี้ว่าเป็นเรา ย่อมเป็นอันยึดถือโดยส่วนสอง คือ ไม่เทียบและเทียบ.
               ในบทเหล่านั้นบทว่า อนุปนิธาย ความว่า ไม่เทียบเหตุอื่นคือความนึกว่าเราเป็นอย่างนี้ ย่อมมี เพราะทำให้เป็นอารมณ์ในธรรม คือความลามกตามภาวะของตน. อธิบายว่า ความนึกว่าในบรรดากษัตริย์เป็นต้น เราเป็นอย่างนี้ ย่อมมีด้วยอำนาจตัณหามานะและทิฏฐิอย่างนี้. นี้คือการไม่เทียบยึดถือ.
               ส่วนการเทียบยึดถือมีสองอย่าง คือ โดยเสมอกันและโดยไม่เสมอกัน เพื่อทรงแสดงข้อนั้นจึงตรัสว่า เราเป็นอย่างนี้และเราเป็นอย่างอื่น.
               ในบทเหล่านั้นบทว่า เอวสฺมิ นี้ได้แก่ เทียบยึดถือโดยเสมอกันว่า เราเป็นเหมือนกษัตริย์องค์นี้ เป็นเหมือนพราหมณ์ผู้นี้.
               บทว่า อญฺญถาสฺมิ ความว่า ก็ยึดถือโดยไม่เสมอกันดังนี้ว่า เราเป็นคนเลวหรือเป็นคนดีกว่า นอกจากกษัตริย์องค์นี้ พราหมณ์ผู้นี้.
               พึงทราบตัณหาวิจริต (ความคิดนึกด้วยอำนาจตัณหา) ๔ อย่างเหล่านี้โดยอำนาจปัจจุบันกาลก่อน.
               ก็ตัณหาวิจริตสองเหล่านี้คือ อสสฺมีติ สตสฺมีติ พึงทราบว่า เพราะเหตุที่บทว่า อสสฺมิ นี้เป็นชื่อของความเที่ยงของสิ่งที่ไม่เที่ยง บทว่า สตสฺมิ เป็นชื่อของความไม่เที่ยงของสิ่งที่เที่ยง ฉะนั้นจึงตรัสด้วยอำนาจสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ.
               ตัณหาวิจริต ๔ มีคำว่าสันติเป็นต้น ต่อจากนี้ตรัสด้วยอำนาจความสงสัยและความปริวิตก.
               ในตัณหาวิจริตทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า สนฺติ โหติ พึงทราบความอย่างนี้ว่า ความนึกว่า เราพึงเป็นย่อมมี. ส่วนอธิบายในบทนี้พึงถือเอาโดยนัยที่กล่าวแล้วในหมวด ๔ ก่อนๆ.
               อีกอย่างหนึ่ง ตัณหาวิจริต ๔ มีคำว่าสันติเป็นอาทิ ตรัสด้วยอำนาจความปรารถนาและความตั้งใจอย่างนี้ว่า ไฉนเราจะพึงเป็นดังนี้. ตัณหาวิจริตแม้เหล่านั้นพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในหมวด ๔ ก่อนๆ ก็ตัณหาวิจริต ๔ มีคำว่า ภวิสฺสนฺติ เป็นอาทิตรัสด้วยอำนาจอนาคตกาล.
               พึงทราบเนื้อความแห่งตัณหาวิจริตเหล่านั้น โดยนัยที่กล่าวแล้วในหมวด ๔ ก่อนๆ นั้นแล.
                         บัณฑิตพึงทำให้แจ้งตัณหาวิจริต ๑๘ เหล่านี้
                         คือ ทิฏฐิสีสะ ๒ สุทธสีสะ ๔ สีสมูลกะ ๑๒.

               ก็ในตัณหาวิจริตเหล่านั้น ๒ หัวข้อเหล่านี้คือ อสฺมีติ ความนึกว่าเราเป็น ๑ อิตฺถสฺมีติ ความนึกว่าเราเป็นอย่างนี้ ๑ ชื่อว่าทิฏฐิสีสะ.
               ๔ หัวข้อเหล่านี้คือ เอวสฺมีติ ความนึกว่าเราเป็นอย่างนั้น ๑ อญฺญถาสฺมีติ ความนึกว่าเราเป็นอย่างอื่น ๑ อสสฺมีติ ความนึกว่าเราเป็นคนไม่ดี ๑ สตสฺมีติ ความนึกว่าเราเป็นคนดี ๑ ชื่อสุทธสีสะ.
               ๑๒ หัวข้อ คือ ตัณหาวิจริต ๓ มีอาทิว่า อิตฺถสฺมีติ ชื่อว่าสีสมูลกะ.
               พึงทราบธรรมคือตัณหาวิจริต ๑๘ เหล่านี้คือ ทิฏฐิสีสะ ๒ สุทธสีสะ ๔ สีสมูลกะ ๑๒ ดังกล่าวมาฉะนี้. พึงทราบตัณหาวิจริต ๑๘ อาศัยขันธปัญจกภายในเหล่านี้ก่อน.
               ส่วนในตัณหาวิจริตอาศัยขันธปัญจกภายนอกก็นัยนี้เหมือนกัน.
               บทว่า อิมินา พึงทราบความต่างกันนี้ คือด้วยรูปนี้หรือ ฯลฯ ด้วยวิญญาณนี้.
               บทที่เหลือเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน.
               บทว่า อิติ เอวรูปานิ อตีตานิ ฉตฺตึส ได้แก่ ตัณหาวิจริต ๓๖ ในกาลเป็นอดีตของบุคคลแต่ละคน.
               บทว่า อนาคตานิ ฉตฺตึส ได้แก่ ตัณหาวิจริต ๓๖ ในอนาคตกาล ของบุคคลแต่ละคน.
               บทว่า ปจฺจุปฺปนฺนานิ ฉตฺตึส ได้แก่ ตัณหาวิจริต ๓๖ ในปัจจุบันกาลของบุคคลคนหนึ่ง หรือมากคนตามเหตุที่เป็นจริง. ตัณหาวิจริตในอดีตกาล ๓๖ ในอนาคตกาล ๓๖ ในปัจจุบันกาล ๓๖ โดยทำนองนี้แหละของสัตว์ทั้งหมด.
               จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายอันต่างกันด้วยตัณหามานะทิฏฐิ หาประมาณมิได้ ไม่มีที่สุด.
               ก็ในบทว่า อฏฺฐตณฺหา วิจริตสตํ โหติ นี้ พึงเห็นความอย่างนี้ว่า ตัณหาวิจริตรวมเป็น ๑๐๘ ดังนี้.
               จบอรรถกถาตัณหาสูตรที่ ๙               

               อรรถกถาเปมสูตรที่ ๑๐               
               พึงทราบวินิจฉัยในเปมสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า น อุสฺเสเนติ ได้แก่ ไม่ยกขึ้นด้วยอำนาจทิฏฐิ.
               บทว่า ปฏิสฺเสเนติ ได้แก่ มีผู้โกรธก็ไม่ถือเป็นเหตุทะเลาะบาดหมาง.
               บทว่า น ธูปายติ ได้แก่ ไม่บังหวนควัน (ไม่ครุ่นคิด) ด้วยอำนาจตัณหาวิจริตอาศัยขันธปัญจกภายใน.
               บทว่า น ปิชฺชลติ ได้แก่ ไม่ลุกเป็นเปลวด้วยอำนาจตัณหาวิจริตอาศัยขันธปัญภายนอก.
               บทว่า น ปชฺฌายติ ได้แก่ ไม่ไหม้ด้วยอำนาจอัสมิมานะ (การถือเราถือเขา).
               บทที่เหลือพึงทราบโดยนัยแห่งบาลีนั่นแล.
               วัฏฏะวิวัฏฏะตรัสไว้แล้วในสูตรนี้.
               จบอรรถกถาเปมสูตรที่ ๑๐               
               จบมหาวรรควรรณนาที่ ๕               
               จตุตปัณณาสก์ จบบริบูรณ์               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต จตุตถปัณณาสก์ ๕. มหาวรรค จบ.
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒]
อ่านอรรถกถา 21 / 1อ่านอรรถกถา 21 / 181อรรถกถา เล่มที่ 21 ข้อ 191อ่านอรรถกถา 21 / 201อ่านอรรถกถา 21 / 274
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=21&A=4991&Z=5844
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=15&A=9429
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=15&A=9429
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :