บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อรรถกถานาคสูตรที่ ๑ คำว่า อายสฺมตา อานนฺเทน สทธึ นี้ พระสังคีติกาจารย์กล่าวไว้ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพระเถระว่า อานนท์ เรามาไปกันเถิด ดังนี้แล้วเสด็จไป. ฝ่ายพระศาสดา บัณฑิตพึงทราบว่า อันภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้นนั่นแหละแวดล้อมแล้วได้เสด็จไปที่บุพพารามนั้น. บทว่า เตนุปสงฺกมิ ความว่า (พระผู้มีพระภาคเจ้า) อันภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้นนั่นแลแวดล้อมแล้วเสด็จเข้าไป. บทว่า ปริสิญฺจิตฺวา นี้เป็นคำโวหาร หมายความว่า ทรงสรงสนานแล้ว. บทว่า ปุพฺพสทิสานิ กุรุมาโน ความว่า (พระผู้มีพระภาคเจ้า) ทรงนุ่งผ้าสองชั้นที่ย้อมแล้ว ทรงถือเอาผ้าอุตราสงค์ด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง ประทับยืนผิน ฝ่ายภิกษุสงฆ์ลงตามที่นั้นๆ อาบน้ำแล้วได้ขึ้นมายืนล้อมพระศาสดา อย่าง ในที่ตรงกลางโลกธาตุ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร ได้ประทับยืนเปล่งฉัพพรรณรังสีฉายแสงสว่าง ณ ริมฝั่งแม่น้ำบุพพโกฏฐกะ. บทว่า เตน โข ปน สมเยน ฯเปฯ เสโต นาม คาโม ความว่า นาคคือช้างที่ได้นามอย่างนี้ (นามว่า เสตะ) เพราะมีสีขาว. บทว่า มหาตุริยตาฬิตวาทิเตน ได้แก่ ด้วยการประโคมดนตรีอย่างมโหฬาร. ในบทว่า มหาตุริยตาฬิตวาทิเตน มีอธิบายว่า การประโคมครั้งแรก ชื่อว่าตาฬิตะ. การประโคมครั้งต่อไปต่อจากครั้งแรกนั้น ชื่อว่าวาทิตะ. บทว่า ชโน ได้แก่ มหาชนผู้ประชุมกันเพื่อดูช้าง. บทว่า ทิสฺวา เอวมาห ความว่า (มหาชน) เห็นช้างใหญ่นั้นอันนายควาญช้างให้อาบน้ำขัดสีอวัยวะน้อยใหญ่แล้ว ขึ้นมาพักไว้นอกฝั่งทำตัวให้สะเด็ดน้ำ แล้วเอาเครื่องประดับช้างมาประดับให้ จึงกล่าวคำสรรเสริญว่า ผู้เจริญ ช้างนี้งามแท้หนอ. บทว่า กายูปปนฺโน ได้แก่ เข้าถึงด้วยความถึงพร้อมแห่งร่างกาย. อธิบายว่า มีอวัยวะน้อยใหญ่บริบูรณ์. บทว่า อายสฺมา อุทายี ได้แก่ พระกาฬุทายีเถระผู้บรรลุปฏิสัมภิทา. บทว่า เอตทโวจ ความว่า (พระกาฬุทายีเถระ) เห็นมหาชนนั้นกล่าวสรรเสริญคุณของช้าง จึงคิดว่า ชนนี้กล่าวสรรเสริญคุณของช้างซึ่งบังเกิดในอเหตุกปฏิสนธิ แต่กลับไม่กล่าวสรรเสริญพระคุณของช้างคือพระพุทธเจ้า บัดนี้ เราจักกล่าวสรรเสริญพระคุณของช้างคือพระพุทธเจ้า เปรียบเทียบกับช้างตัวประเสริฐตัวนี้ ดังนี้ แล้วได้กล่าวคำมีอาทิว่า หตฺถิเมว นุ โข ภนฺเต. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหนฺตํ ได้แก่ ถึงพร้อมด้วยทรวดทรง. บทว่า พรฺหนฺตํ ได้แก่ ถึงพร้อมด้วยความใหญ่โต. บทว่า เอวมาห ได้แก่ กล่าวอย่างนี้. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะเหตุที่นาคศัพท์เป็นไปในช้าง ม้าบ้าง โคบ้าง งูบ้าง ต้นไม้บ้าง มนุษย์บ้าง ฉะนั้น จึงตรัสคำว่า หตฺถิมฺปิ โข เป็นต้น. บทว่า อาคุํ ได้แก่ อกุศลธรรมที่ชั่วช้าลามก. บทว่า ตมหํ นาโคติ พฺรูมิ ความว่า เราตถาคตเรียกบุคคลนั้นว่าเป็นนาค เพราะไม่ทำอกุศลกรรมบถ ๑๐ และอกุศลจิต ๑๒ ด้วยทวาร ๓ เหล่านี้. ก็บุคคลนี้ชื่อว่าเป็นนาค ด้วยความหมายนี้ คือไม่ทำความชั่ว. บทว่า อิมาหิ คาถาหิ อนุโมทามิ ความว่า เราอนุโมทนา คือชื่นชมด้วยคาถา ๑๖ คาถา (แบ่งเป็นบท) ได้ ๖๔ บทเหล่านี้. บทว่า มนุสฺสภูตํ คือ เป็นมนุษย์อยู่แท้ๆ มิได้เข้าถึงความเป็นเทพเป็นต้น. บทว่า อตฺตทนฺตํ ได้แก่ ฝึกแล้วด้วนตนเองนั่นแล คือมิได้ถูกบุคคลอื่นนำเข้าไปสู่การฝึก. อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฝึกแล้วในฐานะ ๖ เหล่านี้ คือทรงฝึกทั้งทางตา ทั้งทางหู ทั้งทางจมูก ทั้งทางลิ้น ทั้งทางกาย ทั้งทางใจ ด้วยการฝึกด้วยมรรค บทว่า สมาหิตํ ได้แก่ ตั้งมั่นแล้วด้วยสมาธิทั้งสองอย่าง. บทว่า อิริยมานํ ได้แก่ อยู่. บทว่า พฺรหฺมปเถ ได้แก่ ในทางอันประเสริฐที่สุด คือในทางคือ บทว่า จิตฺตสฺสูปสเม รตํ ได้แก่ ผู้ระงับนิวรณ์ ๕ ด้วยปฐมฌาน ระงับวิตกวิจารด้วยทุติยฌาน ระงับปีติด้วยตติยฌาน ระงับสุขและทุกข์ด้วยจตุตถฌาน แล้วยินดี คือยินดียิ่งในความสงบของจิตนั้น. บทว่า นมสฺสนฺติ ได้แก่ นมัสการด้วยกาย นมัสการด้วยวาจา นมัสการด้วยใจ คือนมัสการได้แก่สักการะด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม. บทว่า สพฺพธมฺมาน ปารคํ ได้แก่ (พระผู้มีพระภาคเจ้า) ถึงฝั่งคือบรรลุถึงความสำเร็จ คือถึงที่สุดแห่งธรรมคือขันธ์ อายตนะ ธาตุ ทั้งหมด ด้วยการถึงฝั่ง ๖ อย่าง คือทรงถึงฝั่งแห่งอภิญญา ทรงถึงฝั่งแห่งปริญญา ทรงถึงฝั่งแห่งปหานะ ทรงถึงฝั่งแห่งภาวนา ทรงถึงฝั่งแห่งการทำให้แจ้ง ทรงถึงฝั่งแห่งสมาบัติ. บทว่า เทวาปิ ตํ นมสฺสนฺติ ความว่า เทวดาผู้ประสบทุกข์ทั้งหลายมีสุพรหมเทพบุตรเป็นต้น และเทวดาผู้ประสบสุขซึ่งสถิตอยู่ในหมื่นจักรวาลทั้งหมดทีเดียว ต่างพากันนมัสการพระองค์. ด้วยบทว่า อิติ เม อรหโต สุตํ พระกาฬุทายีเถระแสดงว่า ข้าพระองค์ได้สดับในสำนักของพระองค์นั่นแล ผู้ได้โวหารว่า เป็นพระอรหันต์ด้วยเหตุ ๔ อย่าง บทว่า สพฺพสํโยชนาตีตํ ได้แก่ ผู้ข้ามพ้นสังโยชน์ ๑๐ ทั้งหมด. บทว่า วนา นิพฺพานมาคตํ ได้แก่ ผู้ออกจากป่าคือกิเลส มาถึงได้แก่บรรลุถึงนิพพาน ซึ่งไม่มีป่า คือเว้นจากป่าคือกิเลส. บทว่า กาเมหิ เนกฺขมฺมรตํ ความว่า การบรรพชา ๑ สมาบัติแปด ๑ อริยมรรคสี่ ๑ ชื่อว่าออกจากกามทั้งหลาย เพราะออกไปแล้วจากกามทั้งสองอย่าง (เทวดานมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า) ผู้ยินดี คือยินดียิ่งในเนกขัมมะนั้น. บทว่า มุตฺตํ เสลาว กาญฺจนํ ได้แก่ เหมือนกับทองที่พ้นไปจากธาตุ คือศิลา. บทว่า สพฺเพ อจฺจรุจิ ความว่า ผู้มีความงดงามเป็นไปเหนือสรรพสัตว์. อธิบายว่า พระโสดาบัน ชื่อว่าผู้มีความงดงามเหนือผู้อื่น เพราะมีความงดงามเหนือปุถุชนผู้เกิดในภพที่ ๘ ไป. พระสกทาคามีชื่อว่าผู้มีความงามเหนือ เพราะมีความงามเป็นไปเหนือพระโสดาบัน ฯลฯ พระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่าผู้มีความงามเหนือ เพราะมีความงามเป็นไปเหนือพระขีณาสพ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่าผู้มีความงามเหนือ เพราะมีความงามเป็นไปเหนือพระปัจเจกพุทธเจ้า. บทว่า หิมวาญฺเญ สิลุจฺจโย ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมงามเหนือ (บุคคลอื่นทั้งเทวดาและมนุษย์) เปรียบเหมือนภูเขาหลวงหิมพานต์งามเหนือภูเขาอื่นๆ ฉะนั้น. บทว่า สจฺจนาโม ได้แก่ (พระผู้มีพระภาคเจ้า) มีพระนามจริง คือมีพระนามตามเป็นจริง ได้แก่มีพระนามแท้อย่างนี้ว่านาคะ เพราะไม่ทำความชั่วนั่นเอง. บทว่า โสรจฺจํ ได้แก่ ผู้มีศีลที่สะอาด. บทว่า อวิหึสา ได้แก่ กรุณาและธรรมที่เป็นส่วนเบื้องต้นของกรุณา (เมตตา). บทว่า ปาทา นาคสฺส เต ทุเว ความว่า ธรรมทั้งสองนั้นเป็นพระบาทเบื้องหน้าของนาคะคือพระพุทธเจ้า. บทว่า ตโป ได้แก่ การสมาทานวัตร. บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ ศีลในอริยมรรค. บทว่า จรณา นาคสฺส ตฺยาปเร ความว่า ตบะและพรหมจรรย์ทั้งสองนั้น เป็นพระบาทนอกนี้ คือเป็นพระบาทเบื้องหลังของนาคะคือพระพุทธเจ้า. บทว่า สทฺธาหตฺโถ ได้แก่ ประกอบด้วยงวงที่สำเร็จด้วยศรัทธา. บทว่า อุเปกฺขาเสตทนฺตวา ได้แก่ ประกอบด้วยงาขาวที่สำเร็จด้วยอุเบกขามีองค์ ๖. บทว่า สติ คีวา ความว่า คอเป็นที่ตั้งแห่งกลุ่มเส้นเอ็นในอวัยวะน้อยใหญ่ของช้างฉันใด สติก็เป็นที่ตั้งแห่งธรรมมีโสรัจจะเป็นต้นของช้างคือพระพุทธเจ้าฉันนั้น ด้วยเหตุนั้น พระกาฬุทายีเถระจึงกล่าวว่า สติ คีวา ดังนี้. บทว่า สิโร ปญฺญา ความว่า ศีรษะเป็นอวัยวะอันสูงสุดของนาคะคือช้างฉันใด พระสัพ บทว่า วิมํสา ธมฺมจินฺตนา ความว่า นาคคือช้าง ชื่อว่ามีปลายงวงเป็นเครื่องพิจารณา ช้างนั้นพิจารณาถึงสิ่งที่แข็ง อ่อนและสิ่งของที่ควรเคี้ยวกิน ด้วยปลวยงวงนั้น ต่อแต่นั้นก็ละสิ่งของที่ควรละ คว้าเอาสิ่งของที่ควรคว้าฉันใด การคิดถึงธรรม กล่าวคือญาณเครื่องกำหนดส่วนแห่งธรรม ชื่อว่าเป็น วีมํสา (ปัญญาเครื่องพิจารณา) ของนาคคือพระพุทธเจ้าฉันนั้นเหมือนกัน เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นทรงรู้จักภัพพาภัพพบุคคลด้วยญาณนั้น ด้วยเหตุนั้น พระกาฬุทายีเถระจึงกล่าวว่า วีมํสา ธมฺมจินฺตนา ดังนี้. บทว่า ธมฺมกุจฺฉิสมาตโป ความว่า สมาธิในจตุตถฌานเรียกว่าธรรม. การเผาผลาญกิเลส คือ กุจฺฉิ ชื่อว่ากุจฉิสมาตปะ ได้แก่ที่สำหรับเผาผลาญ (กิเลส) ธรรมอันเป็นที่เผาผลาญ (กิเลส) คือท้องของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้น บุคคลนั้นจึงชื่อว่ามีธรรมเป็นที่เผาผลาญคือท้อง. เพราะว่าธรรมมีอิทธิวิธีเป็นต้นเหล่านั้น ย่อมสำเร็จแก่บุคคลผู้ดำรงอยู่ในสมาธิ คือจตุตถฌาน เพราะเหตุนั้น สมาธิในจตุตถฌานนั้นจึงเรียกว่า ธรรมที่เผาผลาญ คือท้อง. บทว่า วิเวโก ได้แก่ กายวิเวก จิตวิเวกและอุปธิวิเวก. ขนหางของช้างย่อมขับไล่แมลงวันฉันใด วิเวกของพระตถาคตย่อมขับไล่คฤหัสถ์และบรรพชิตฉันนั้น เพราะเหตุนั้น วิเวกนั้น พระกาฬุทายีเถระจึงกล่าวว่าขนหาง. บทว่า ฌายี แปลว่า ผู้มีปกติเพ่งด้วยฌาน ๒. บทว่า อสฺสาสรโต ความว่า ก็ผลสมาบัติของนาค คือพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนลมหายใจเข้าและออกของช้าง พระพุทธเจ้าทรงยินดีในผลสมาบัตินั้น. อธิบายว่า เว้นจากผลสมาบัตินั้นซึ่งเปรียบเหมือนลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็เป็นไปไม่ได้. บทว่า สพฺพตฺถ สํวุโต ได้แก่ สำรวมแล้วในทุกทวาร. บทว่า อนวชฺชานิ ได้แก่ โภชนะที่เกิดขึ้นจากสัมมาอาชีวะ. บทว่า สาวชฺชานิ ได้แก่ โภชนะที่เกิดขึ้นด้วยมิจฉาอาชีวะ ๕ อย่าง. บทว่า อณุํถูลํ ได้แก่ น้อยและมาก. บทว่า สพฺพํ เฉตฺวาน พนฺธนํ ได้แก่ ตัดสังโยชน์หมดทั้ง ๑๐ อย่าง. บทว่า น อุปลิปฺปติ โลเกน ความว่า ไม่ติดอยู่กับโลกด้วยเครื่องทำให้ติด คือ ตัณหา มานะและทิฏฐิ. บทว่า มหคฺคินี ได้แก่ ไฟกองใหญ่. ในบทว่า วิญฺญูหิ เทสิตา นี้ มีความว่า พระกาฬุทายีเถระบรรลุปฏิสัมภิทา เป็นวิญญูชนเป็นบัณฑิต (อุปมาทั้งหลาย) อันพระกาฬุทายีเถระนั้นแสดงไว้แล้ว. บทว่า วิญฺญายนฺติ มหานาคา นาคํ นาเคน เทสิตํ ความว่า นาคคือพระ บทว่า สรีรํ วิชหํ ปรินิพฺพิสฺสติ ความว่า นาคคือพระพุทธเจ้าทรงดับสนิทด้วยการดับกิเลส ณ โพธิ พระอุทายีเถระผู้บรรลุปฏิสัมภิทาจบเทศนาโดยกล่าวสรรเสริญคุณพระ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนา. เวลาจบเทศนา สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ได้ดื่มน้ำอมฤต (บรรลุธรรม) แล. จบอรรถกถานาคสูตรที่ ๑ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ ธรรมิกวรรคที่ ๕ ๑. นาคสูตร จบ. |