ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 212อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 213อ่านอรรถกถา 25 / 214อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ทุกนิบาต
ปฐมวรรค นกุหนาสูตรที่ ๑

               อรรถกถาปฐมนกุหนาสูตร               
               ในปฐมนกุหนาสูตรที่ ๘ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า ในบทว่า นยิทํ นี้เป็นนิบาตลงในอรรถปฏิเสธ ศัพท์นั้นต่อด้วย บทว่า วุสฺสติ อักษรทำเป็นบทสนธิ
               อิทํศัพท์เป็นเพียงนิบาต ในบทมีอาทิว่า๑- เอกมิทาหํ ภิกฺขเว สมยํ อุกฏฺฐายํ วิหรามิ สุภควเน สาลราชมูเล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่งนี้ เราอยู่ ณ โคนต้นสาละ ในสุภควันใกล้ศาลาอุกัฏฐ.
____________________________
๑- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๕๕๒

               มาในความเห็นชัดในที่ใกล้ ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในบทมีอาทิว่า อิทํ โข ตํ ภิกฺขเว อปฺปมตฺตกํ โอรมตฺตกํ สีลมตฺตกํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนั้นนี้แลเป็นเพียงเล็กน้อย เป็นเพียงข้างนี้ เป็นเพียงธรรมดา.
____________________________
๒- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๒๕

               มาในความเห็นชัดในที่ใกล้ ดังที่ท่านกล่าวไว้ในบทมีอาทิว่า๓-
                         อิทํ หิ ตํ เชตวนํ    อิสีสํฆนิเสวิตํ
                         อาวุฏฺฐํ ธมฺมราเชน    ปีติสญฺชนนํ มมํ
                                   มหาวิหารเชตวันนี้ อันหมู่ฤษีอาศัยอยู่
                         อันพระธรรมราชาประทับอยู่ ยังปีติให้เกิดแก่เรา.
____________________________
๓- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๑๔๗

               ในที่นี้พึงเห็นในความเห็นชัด ในที่ใกล้ดังที่ท่านกล่าวไว้ในสูตรนี้.
               พรหมจริยศัพท์มาในการให้ ในปุณณกชาดกนี้ว่า๔-
                                       กินฺเต วตํ กึ ปน พฺรหฺมจริยํ
                                       กิสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก
                                       อิทฺธิชุติพลวีริยูปปตฺติ
                                       อกฺขาหิ เม นาค มหาวิมานํ
                                       อหญฺจ ภริยาจ มนุสฺสโลเก
                                       สทฺธา อุโภ ทานปตี อหุมฺหา
                                       โอปานภูตํ เม ฆรํ ตทาสิ
                                       สนฺตปฺปิตา สมณพฺราหฺมณา จ
                                       ตํ เม วตํ ตํ ปน พฺรหฺมจริยํ
                                       ตสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก
                                       อิทฺธิชุติพลวีริยูปปตฺติ
                                       อิทํ จ เม ธีร มหาวิมานํ
                                   วัตรและพรหมจรรย์ ของท่านเป็นอย่างไร
                         ความเกิดขึ้นแห่งฤทธิ์ ความรุ่งเรืองกำลัง และ
                         ความเพียร นี้เป็นผลของความประพฤติเช่นไร
                         ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ ขอท่านจงบอกมหาวิมาน
                         แก่ข้าพเจ้า.
                                   ข้าพเจ้าและภรรยาทั้งสอง เป็นทานบดี
                         มีศรัทธาในมนุษยโลก ครั้งนั้น เรือนของข้าพเจ้า
                         ได้เป็นดังบ่อน้ำ สมณะและพราหมณ์ทั้งหลายเอิบ
                         อิ่ม นั่นเป็นวัตรเป็นพรหมจรรย์ของเรา ความเกิด
                         ขึ้นแห่งฤทธิ์ ความรุ่งเรืองกำลัง และความเพียร
                         นี้เป็นผลแห่งความประพฤติดีนั้น ข้าแต่ท่านผู้มี
                         ปัญญา นี้แหละเป็นมหาวิมานของเรา.
____________________________
๔- ขุ. ชา. เล่ม ๒๘/ข้อ ๑๐๑๐-๑๐๑๑

               มาในความขวนขวาย ในอังกุรเปตวัตถุนี้ว่า๕-
                         เกน ปาณิ กามทโท    เกนปาณิ มธุสฺสโว
                         เกน เต พฺรหฺมจริเยน    ปุญฺญํ ปาณิมฺหิ อิชฺฌติ
                         เตน ปาณิ กามทโท    เตน ปาณิ มธุสฺสโว
                         เตน เม พฺรหฺมจริเยน    ปุญฺญํ ปาณิมฺหิ อิชฺฌติ
                                   ฝ่ามือให้ความต้องการสำเร็จด้วยอะไร
                         ฝ่ามือมีความอร่อยเป็นที่ไหลออกด้วยอะไร
                         บุญย่อมสำเร็จในฝ่ามือ ด้วยพรหมจรรย์อะไร
                         ของท่าน.
                                   ฝ่ามือของเราให้ความใคร่สำเร็จ มีรส
                         อร่อย เป็นที่ไหลออก บุญย่อมสำเร็จที่ฝ่ามือ
                         ของเรา เพราะพรหมจรรย์นั้นๆ.
____________________________
๕- ขุ. เปต. เล่ม ๒๖/ข้อ ๑๐๖

               มาแล้วในศีล คือ สิกขาบท ๕ ข้อ ในติตติรชาดกนี้ว่า๖- อิทํ โข ตํ ภิกฺขเว ติตฺติริยํ นาม พฺรหฺมจริยํ อโหสิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์ ชื่อติตติริยะนี้ได้มีแล้ว.
____________________________
๖- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๒๖๒

               มาในพรหมวิหาร ในมหาโควินทสูตรนี้ว่า๗- ตํ โข ปน ปญฺจสิข พฺรหฺมจริยํ เนว นิพฺพิทาย น วิราคาย ฯเปฯ ยาวเทว พฺรหฺมโลกูปปตฺติยา ดูก่อนปัญจสิข พรหมจรรย์นั้นแล มิใช่เพื่อความเบื่อหน่าย มิใช่เพื่อความปราศจากความกำหนัด ฯลฯ เพียงเพื่อความเข้าถึงพรหมโลกเท่านั้น.
____________________________
๗- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๒๓๔

               มาแล้วในเมถุนวิรัติ ในสัลเลขสูตรว่า๘- ปเร อพฺรหฺมจาริโน ภวิสฺสนฺติ มยเมตฺถ พฺรหฺมจาริโน ภวิสฺสาม พวกอื่นจักไม่เป็นพรหมจารี เราจักเป็นพรหมจารีในที่นี้.
____________________________
๘- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๐๔

               มาแล้วในสทารสันโดษ ในมหาธรรมปาลชาดกว่า๙-
                         มยญฺจ ภริยา นาติกฺกมาม
                         อมฺเห จ ภริยา นาติกฺกมนฺติ
                         อญฺญตร ตาหิ พฺรหฺมจริยํ จราม
                         ตสฺมาติหมฺหํ ทหรา น มิยฺยเร
                                   เราไม่ล่วงละเมิดภรรยา ทั้งภรรยาก็ไม่ล่วง
                         ละเมิดเรา เราประพฤติพรหมจรรย์ ยกเว้นภรรยา
                         เพราะฉะนั้น เด็กทั้งหมายของเรา จึงไม่ตาย.
____________________________
๙- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๑๔๑๕

               มาในความเพียร ในโลมหังสสูตรว่า๑๐- อภิชานามิ โข ปนาหํ สารีปุตฺต จตุรงฺคสมนฺนาคตํ พฺรหฺมจริยํ จริตฺวา ตปสี สุทํ โหมิ ดูก่อนสารีบุตร ก็เราประพฤติความเพียรอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์ ๔ จึงรู้ยิ่ง ได้ยินว่า เราเป็นผู้มีความเพียร.
____________________________
๑๐- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๗๗

               มาแล้วในอุโบสถมีองค์ ๘ ซึ่งทำด้วยการทรมานตนในนิมิชาดกว่า
                         หีเนน พฺรหฺมจริเยน    ขตฺติเย อุปปชฺชติ
                         มชฺฌิเมน จ เทวตฺตํ    อุตฺตเมน วิสุชฺฌติ
                                   บุคคลเข้าถึงกษัตริย์ ด้วยพรหมจรรย์เลว
                         และเข้าถึงความเป็นเทวดาด้วยพรหมจรรย์ปาน
                         กลาง ย่อมบริสุทธิ์ด้วยพรหมจรรย์สูงสุด.๑๑-
____________________________
๑๑- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๑๑๘๖

               มาแล้วในอริยมรรค ในมหาโควินทสูตรนั่นแลว่า๑๒- อิทํ โข ปน ปญฺจสิข พฺรหฺมจริยํ เอกนฺตนิพฺพิทาย วิราคาย ฯเปฯ อยเมว อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค ดูก่อนปัญจสิขะ พรหมจรรย์นี้แล เพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อความปราศจากความกำหนัด ฯลฯ นี้แล. คือมรรค์มีองค์ ๘ อันเป็นอริยะ.
____________________________
๑๒- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๒๓๔

               มาแล้วในคำสอนทั้งสิ้นอันสงเคราะห์ด้วยสิกขา ๓ ในปาสาทิกสูตรว่า๑๓-
               ตยิทํ พฺรหฺมจริยํ อิทฺธญฺเจว ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พหุชญฺญํ ปุถุภูตํ ยาว เทวมนุสฺเสหิ สุปฺปกาสิตํ
               พรหมจรรย์นี้นั้นสมบูรณ์ แพร่หลายพิสดาร รู้กันมาก กว้างขวาง ตลอดถึงเทวดาและมนุษย์ก็ได้ประกาศเป็นอย่างดี.
____________________________
๑๓- ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๑๐๔

               ในที่นี้ พรหมจริยศัพท์ ย่อมเป็นไปในอริยมรรคและในคำสอน.
               บทว่า วุสฺสติ ได้แก่อยู่ อธิบายว่า ประพฤติ.
               บทว่า ชนหุกหนตฺถํ ได้แก่ เพื่อหลอกลวงชนคือสัตวโลก โดยนัยมีอาทิว่า โอ พระผู้เป็นเจ้ามีศีลสมบูรณ์ด้วยวัตร มีความมักน้อย สันโดษ มีความวิเศษมาก มีอำนาจมากดังนี้.
               บทว่า ชนลปนตฺถํ ได้แก่ เพื่อยังมนุษย์ผู้มีจิตเลื่อมใสว่า ทานที่ถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า เห็นปานนี้ จักมีผลมาก ให้กล่าวว่า ต้องการด้วยอะไร จงนำอะไรมาดังนี้.
               บทว่า ลาภสกฺการสิโลกานิสํสตฺถํ ได้แก่ เพื่ออานิสงส์อันเป็นปัจจุบันของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ คือการได้ปัจจัย ๔ ที่ท่านกล่าวไว้โดยความเป็นอานิสงส์ของศีลว่า๑๔-
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย พึงหวังได้ว่า เราพึงได้บริขาร คือจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัช.
               และสักการะอันได้แก่การให้ปัจจัย ๔ โดยเคารพทั้งการเอื้อเฟื้อ การนับถือมาก การทำความเคารพและความสรรเสริญอันได้แก่ความเฟื่องฟู ความยกย่อง ความมีชื่อเสียง โดยนัยมีอาทิว่า ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธุดงค์ เป็นผู้ปรารภความเพียร.
____________________________
๑๔- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๗๕

               บทว่า อิติ มํ ชโน ชานาตุ ผูกเป็นใจความว่า พรหมจรรย์นี้ ภิกษุไม่อยู่เพื่อให้เขายกย่อง ด้วยคุณอันมีอยู่ของตนว่า ชนจงรู้จักคือจงยกย่องเรา โดยอาทิว่า เมื่อมีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์อย่างนี้ ภิกษุนี้เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวความในบทนี้อย่างนี้ว่า บทว่า ชนกุหนตฺถํ ได้แก่ เมื่อภิกษุมีความปรารถนาลามก มักมาก เพื่อจะหลอกลวงชนด้วยความเท็จ ด้วยกุหนวัตถุ ๓ อย่าง กล่าวคือร่ายมนต์ อาศัยอิริยาบถ เสพปัจจัย.
               บทว่า ชนลปนตฺถํ ได้แก่ เมื่อภิกษุมีความปรารถนาลามก เพื่อประจบชนด้วยพูดรำพัน หรือด้วยพูดยกยอ โดยพูดแย้มให้เขารู้ความหมายเป็นต้น เพื่อปัจจัย.
               บทว่า ลาภสกฺการสิโลกานิสํสตฺถํ ได้แก่ เมื่อภิกษุมีความปรารถนาลามก เพื่อให้สำเร็จอานิสงส์ กล่าวคือลาภ สักการะ ความสรรเสริญ เพราะเป็นผู้หนักในลาภเป็นต้น.
               บทว่า อิติ มํ ชโน ชานาตุ ได้แก่ เมื่อมีความปรารถนาลามก ภิกษุไม่อยู่ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยคิดว่า ชนจงรู้จักเราอย่างนี้ ด้วยประสงค์ความยกย่องคุณอันไม่มี แต่ความตอนต้นมีสาระกว่า.
               บทว่า อถ ในบทว่า อถโข นี้เป็นนิบาตลงในอรรถอย่างอื่น
               บทว่า โข เป็นนิบาตลงในอวธารณะ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า อิทํ ภิกฺขเว พฺรหฺมจริยํ วุสฺสติ ดังนี้อันมีความอื่นจากการหลอกลวงเป็นต้นนั่นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงถึงประโยคนั้นจึงตรัสว่า สํ วรตฺถญฺเจว ปหานตฺถญฺจ ดังนี้
               ในบทว่า สํวรตฺถญฺเจว ปหานตฺถญฺจ นั้น สังวรมี ๕ อย่าง คือปาฏิโมกขสังวร ๑ สติสังวร ๑ ญาณสังวร ๑ ขันติสังวร ๑ วิริยสังวร ๑.
               ในสังวร ๕ เหล่านั้น ที่ชื่อว่าปาติโมกขสังวรมาแล้ว โดยนัยมีอาทิว่า๑๕- ภิกษุเป็นผู้เข้าถึง เข้าถึงพร้อมด้วยความสำรวมในปาติโมกข์นี้
               ท่านเรียกว่า สีลสังวรก็มี สติสังวรนี้มาแล้วในบทว่า รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชติ ภิกษุย่อมรักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าย่อมถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์.๑๖-
____________________________
๑๕- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๗๕
๑๖- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๑๒๒   ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๓๓๓

               ญาณสังวรนี้มาแล้วในคาถาว่า๑๖-
                         ยานิ โสตานิ โลกสฺมึ    สติ เตสํ นิวารณํ
                         โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ    ปญฺญาเยเต ปิถิยฺยเร
                                   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอชิตะ
                         สติเป็นเครื่องห้ามกระแสในโลก เรากล่าว
                         ความสำรวมกระแสทั้งหลาย กระแสเหล่านั้น
                         พึงทำลายด้วยปัญญา ดังนี้.
____________________________
๑๖- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๔๒๕

               ขันติสังวรมานี้มาแล้ว โดยนัยมีอาทิว่า ขโม โหติ สีตสฺส อุณฺหสฺส เป็นผู้อดทนต่อความหนาวความร้อน.๑๗-
               วีริยสังวรนี้มาแล้ว โดยนัยมีอาทิว่า อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสติ ไม่ยอมให้กามวิตกที่เกิดขึ้นแล้วท่วมทับได้.๑๘-
____________________________
๑๗- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๕
๑๘- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๗   องฺ. ทสก. เล่ม ๒๔/ข้อ ๖๐

               แต่โดยเนื้อความ เจตนาและวิรัติที่เป็นไปแล้ว ด้วยการละปาณาติบาตเป็นต้น และด้วยการกระทำวัตรปฏิบัติ โดยย่อ คือการสำรวมกายและวาจาทั้งปวง โดยพิสดาร คือการไม่ล่วงกองอาบัติ ๗ ชื่อว่า สีลสังวร สติสังวร คือสตินั่นเอง หรือกุศลขันธ์อันมีสติเป็นประธาน. ญาณสังวร คือญาณนั่นเอง. กุศลขันธ์อันเป็นไปแล้วด้วยความอดกลั้น เพราะมีอโทสะเป็นประธาน ชื่อว่าขันติสังวร.
               อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ปัญญา ความเพียรอันเป็นไปแล้วด้วยความอดกลั้นกามวิตกเป็นต้น ชื่อว่าวีริยสังวร
               ในสังวรเหล่านั้น พึงทราบว่า ข้อแรกชื่อว่าสังวร เพราะป้องกันความเป็นผู้ทุศีล มีกายทุจริตเป็นต้น. ข้อสองชื่อว่าสังวร เพราะป้องกันความหลงลืม. ข้อสามชื่อว่าสังวร เพราะป้องกันความไม่รู้. ข้อสี่ชื่อว่าสังวร เพราะป้องกันความไม่อดทน. ข้อห้าชื่อว่าสังวร เพราะสำรวม คือปิดกั้นความเกียจคร้าน.
               อธิบายว่า เพื่อการสำรวม คือเพื่อให้สำเร็จการสำรวม เพื่อประโยชน์แก่การสำรวมนั้น ด้วยประการฉะนี้.
               แม้ปหานะก็มี ๕ อย่าง คือ ตทังคปหานะ ๑ วิกขัมภนปหานะ ๑ สมุจเฉทปหานะ ๑ ปฏิปัสสัทธิปหานะ ๑ นิสสรณปหานะ ๑ ในปหานะเหล่านั้น ข้อที่ควรกล่าวได้กล่าวไว้แล้ว ในอรรถกถาปฐมสูตร ในเอกนิบาตมาก่อนแล้ว.
               อธิบายว่า เพื่อการละ คือเพื่อให้สำเร็จการละ เพื่อประโยชน์แก่การละ เพราะสละหรือเพราะก้าวล่วงกิเลสมีราคะเป็นต้นอย่างนั้นๆ แม้ทั้ง ๕ อย่าง.
               ในบทนั้น เกจิอาจารย์กล่าวว่า การห้ามกิเลสเข้าไปในจิตสันดาน ด้วยการสำรวม การห้ามกิเลสเข้าไปในจิตสันดาน และการถอนด้วยปหานะ ก็แม้โดยทั้งสองอย่างพึงเห็นว่า ทั้งสองอย่างสมบูรณ์ตามควร ความจริง ธรรมมีศีลเป็นต้น. ชื่อว่าสังวร เพราะการสำรวม. ชื่อปหานะ เพราะการละ.
               ในคาถาทั้งหลายมีอธิบายดังต่อไปนี้
               บทว่า อนีติหํ ได้แก่ อันตรายทั้งหลายทั้งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทั้งที่เป็นไปในสัมปรายภพ ท่านเรียกว่าจัญไร. ชื่อว่า อีติหํ เพราะพรหมจรรย์กำจัดจัญไร คือทำให้พินาศ คือละ.
               บทว่า อนุ อีติหํ เป็น อนีติหํ คือ กำจัดจัญไร ได้แก่ ศาสนพรหมจรรย์และมรรคพรหมจรรย์. อีกอย่างหนึ่ง อุปกิเลสมีตัณหาเป็นต้น. ชื่อว่า อีติหา เพราะนำไป คือเป็นไปกับด้วยจัญไรทั้งหลาย อันหาประโยชน์มิได้. ชื่อว่า อนีติหํ เพราะไม่มีจัญไร. หรือลัทธิของเดียรถีย์ ตามความที่ได้กล่าวมาแล้ว ชื่อว่า อีติหา พรหมจรรย์นี้ชื่อว่า อนีติห เพราะตรงกันข้ามกับลัทธิเดียรถีย์นั้น.
               ปาฐะว่า อนิติหํ ดังนี้บ้าง
               มีอธิบายว่า วิจิกิจฉา ชื่ออิติห เพราะมีความจัญไรในธรรมทั้งหลายไม่น้อย.
               พรหมจรรย์ชื่อว่า อนิติห เพราะไม่มีความสงสัย เพราะเมื่อผู้ปฏิบัติตามคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศแล้ว เป็นผู้หมดสงสัย. อธิบายว่า พรหมจรรย์เป็นอปรปัจจัย (ไม่อาศัยสิ่งอื่น). สมดังที่ท่านกล่าวว่า พระธรรมเป็นอตักกาวจร (ไม่มีวิตกกังวล) เพราะผู้รู้พึงรู้เอง. เพื่อให้ง่ายในคาถา เกจิอาจารย์จึงกล่าวทำเป็นทีฆะ (เสียงยาว) ว่า อนีติหํ ดังนี้.
               พรหมจรรย์ชื่อว่าเป็นเหตุให้ถึงฝั่ง คือนิพพาน เพราะเป็นเหตุให้ถึงที่สุด คือที่พึ่ง คือฝั่งอันได้แก่นิพพาน. อธิบายว่า มีวิมุตติเป็นรส เพราะวิมุตติเป็นรสเป็นเหตุให้ถึงนิพพานโดยส่วนเดียวเท่านั้น พรหมจรรย์นั้นเป็นเหตุให้ถึงฝั่งคือนิพพาน.
               บทว่า โส ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดทรงบำเพ็ญบารมี ๓๐ ถ้วนทรงทำลายสรรพกิเลสแล้วจึงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นได้ทรงแสดง คือทรงชี้แจง
               อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวอริยมรรคว่า นิพฺพาโนคโธ หยั่งลงสู่นิพพาน เพราะเว้นอริยมรรคนั้นเสียแล้ว จะไม่มีการหยั่งลงสู่พระนิพพานได้เลย และเพราะอริยมรรคนั้นไม่หน่วงเหนี่ยวพระนิพพานแล้วจะเป็นไปไม่ได้.
               อนึ่ง พรหมจรรย์นั้นชื่อว่า นิพฺพาโนคธคามิ เพราะเป็นเหตุให้บรรลุพระนิพพานนั้นโดยส่วนเดียว.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า นิพฺพาโนคธคามินํ ได้แก่ เป็นเหตุให้ถึงภายในแห่งพระนิพพาน. อธิบายว่า มรรคพรหมจรรย์กระทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์ แล้วจึงเป็นไป คือเป็นไปทั่วในภายในพระนิพพานนั้นนั่นเอง
               บทว่า มหตฺเถหิ ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีตนใหญ่ คือมีอัธยาศัยยิ่ง. พระอริยะทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ชื่อว่าเป็นผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ เพราะเสาะแสวงหาพระนิพพานใหญ่ หรือขันธ์มีศีลขันธ์เป็นต้นอันใหญ่. พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นทรงดำเนินไปแล้ว คือปฏิบัติแล้ว.
               บทว่า ยถา พุทฺเธน เทสิตํ ความว่า ชนเหล่าใดปฏิบัติมรรคพรหมจรรย์นั้น และศาสนพรหมจรรย์อันมีประโยชน์นั้น โดยอาการที่เราผู้เป็นสัมมาสัมพุทธะแสดงธรรม มีอภิไญยธรรม (ธรรมที่ควรรู้ยิ่ง) เป็นต้น โดยความเป็นอภิไญยธรรมเป็นต้นนั่นแล ชนเหล่านั้นเป็นผู้กระทำตามคำสั่งสอน คือกระทำตามโอวาทของเราผู้เป็นศาสดา ผู้พร่ำสอนด้วยประโยชน์ปัจจุบัน และสัมปรายภพตามสมควร จักกระทำที่สุด คือความเป็นไปไม่ได้แห่งวัฏทุกข์ทั้งสิ้น หรือจักกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน อันเป็นที่สุดแห่งทุกข์ได้ ด้วยประการฉะนี้.

               จบอรรถกถาปฐมนกุหนาสูตรที่ ๘               
               ----------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ทุกนิบาต ปฐมวรรค นกุหนาสูตรที่ ๑ จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 212อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 213อ่านอรรถกถา 25 / 214อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=5034&Z=5053
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=27&A=2669
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=27&A=2669
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๓  มีนาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :