ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 280อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 281อ่านอรรถกถา 25 / 282อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ จตุกกนิบาต
จัตตาริสูตร

               อรรถกถาจัตตาริสูตร               
               ในจัตตาริสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า อปฺปานิ แปลว่า (ปัจจัย ๔) มีน้อย.
               บทว่า สุลภานิ คือ อันบุคคลพึงได้โดยง่าย คือสามารถจะหาได้ในที่ใดที่หนึ่ง.
               บทว่า อนวชฺชานิ คือ ชื่อว่าเว้นจากโทษ ได้แก่ ชื่อว่าไม่มีโทษเพราะการมาบริสุทธิ์ และเพราะไม่มีภาวะเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสมีการประดับกายเป็นต้น
               ในบทว่า อปฺปานิ (มีน้อย) สุลภานิ (หาได้ง่าย) และบทว่า อนวชฺชานิ (ไม่มีโทษ) นั้น.
               อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความไม่มีทุกข์อันเกิดจากการแสวงหาไว้ เพราะความที่ปัจจัย ๔ หาได้ง่าย.
               ทรงแสดงความไม่มีทุกข์อันเกิดจากการรักษาไว้ เพราะความที่ปัจจัย ๔ มีน้อย.
               ทรงแสดงความที่ปัจจัย ๔ เป็นของสมควรแก่ภิกษุ เพราะใครๆ ติเตียนไม่ได้ เหตุที่เป็นของไม่มีโทษ.
               ทรงแสดงความที่ปัจจัย ๔ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความหวังอันเล็กน้อย เพราะเป็นของมีน้อย.
               ทรงแสดงว่าปัจจัย ๔ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะหาได้ง่าย.
               ทรงแสดงว่าปัจจัย ๔ เป็นที่ตั้งแห่งนิสสรณปัญญา ด้วยอำนาจแห่งโทษ เพราะหาโทษมิได้.
               ปัจจัย ๔ ไม่ยังโสมนัสให้เกิด เพราะลาภตามที่ได้เนื่องจากมีน้อย ไม่ยังโทมนัสให้เกิด เพราะไม่ได้ เนื่องจากหาได้ง่าย ไม่ยังอัญญาณุเบกขา ซึ่งมีความเดือดร้อนเป็นนิมิตให้เกิด เพราะเป็นที่ตั้งแห่งความไม่เดือดร้อน เนื่องจากไม่มีโทษ.
               บทว่า ปํสุกูลํ ความว่า จีวรที่เลือกเก็บเอาเศษผ้าที่หล่นตามถนนเป็นต้นมาทำ ซึ่งได้นามอย่างนี้ว่า บังสุกูล เพราะว่าเป็นเหมือนกองฝุ่น. โดยหมายความว่าอยู่สูง เนื่องจากอยู่บนฝุ่นทั้งหลายในที่แห่งใดแห่งหนึ่งมีถนน ป่าช้าและกองขยะเป็นต้น และเพราะความหมายว่าไป คือถึงความเป็นของน่าเกลียดเหมือนฝุ่น.
               บทว่า ปิณฺฑิยาโลโป ความว่า โภชนะที่ตนเที่ยวไปด้วยพลังปลีแข้งแล้วได้มาในเรือน กะประมาณเพียงหลังละคำ.
               บทว่า รุกฺขมูลํ แปลว่า ที่ใกล้ต้นไม้แห่งใดแห่งหนึ่ง ซึ่งเหมาะสมแก่วิเวก.
               บทว่า ปติมุตฺตํ ได้แก่ น้ำมูตรโคชนิดใดชนิดหนึ่ง.
               อธิบายว่า ร่างกายแม้มีผิวพรรณดุจทองคำก็เป็นร่างกายที่เปื่อยเน่าอยู่นั่นเองฉันใด น้ำมูตรแม้จะใหม่ก็เป็นน้ำมูตรเน่าฉันนั้นเหมือนกัน. ในเรื่องนั้น อาจารย์บางพวกเรียกชิ้นสมอที่ดองด้วยมูตรโคว่าน้ำมูตรเน่า. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า เภสัชชนิดใดชนิดหนึ่งที่เขาสละคือทิ้ง ได้แก่นำออกมาจากร้านตลาดเป็นต้น เพราะเป็นของเสีย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์เอาว่า เป็นน้ำมูตรเน่า.
               บทว่า ยโต โข เป็นปัญจมีวิภัตติลงในปัจจัตตะ.
               มีคำอธิบายว่า ยํ โข ด้วยเหตุนั้น บทว่า ยโต โข จึงคลุมถึงกิริยาที่ท่านกล่าวไว้ว่า ตุฏฺโฐ โหติ.
               บทว่า ตุฏฺโฐ แปลว่า สันโดษ.
               บทว่า อิทมสฺสาหํ ความว่า ความสันโดษด้วยปัจจัย ๔ ตามที่กล่าวแล้วซึ่งมีน้อย (แต่) หาได้ง่ายใด เราตถาคตกล่าวความสันโดษนี้ว่า เป็นองค์ของความเป็นสมณะ คือองค์ที่ทำให้เป็นสมณะองค์ใดองค์หนึ่ง คือองค์หนึ่งในองค์ทั้งหลายมีศีลสังวรเป็นต้นของภิกษุนี้. เพราะว่า จตุปาริสุทธิศีลของภิกษุผู้สันโดษย่อมบริบูรณ์ดี สมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนาย่อมถึงความบริบูรณ์.
                อีกประการหนึ่ง อริยมรรค ชื่อว่า สามัญญะ (ความเป็นสมณะ) ว่าโดยย่อ สามัญญะนั้นมีองค์ ๒ คือ องค์ภายนอก ๑ องค์ภายใน ๑.
               บรรดาองค์ทั้งสองนั้น องค์ภายนอก ได้แก่
                         สัปปุริสูปัสสยะ (การเข้าไปคบหาสัตบุรุษ) ๑
                         สัทธัมมัสสวนะ (การฟังธรรมของสัตบุรุษ) ๑.
               ส่วนองค์ภายใน ได้แก่
                         โยนิโสมนสิการ (การทำไว้ในใจโดยแยบคาย) ๑
                         ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม) ๑.
               บรรดาธรรมเหล่านั้น เพราะเหตุที่ธรรมเหล่านี้เป็นตัวธัมมานุธัมมปฏิบัติด้วย เป็นมูลรากแห่งธัมมานุธัมมปฏิบัตินั้นด้วยตามสมควร ได้แก่ ธรรมทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ คือ อัปปิจฉตา (ความมักน้อย) สันตุฏฐิตา (ความสันโดษ) ปวิวิตตตา (ความเป็นผู้สงัด) อสังสัฏฐตา (ความเป็นผู้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ) อารัทธวิริยตา (ความเป็นผู้ปรารภความเพียร) ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ เราตถาคตกล่าวสันโดษนี้ว่า เป็นองค์แห่งความเป็นสมณะองค์ใดองค์หนึ่งของภิกษุนั้น.
               บทว่า เสนาสนมารพภฺ ได้แก่ อาศัยเสนาสนะมีวิหารเป็นต้น และเสนาสนะมีเตียงและตั่งเป็นต้น ในบทว่า จีวรํ ปานโภชนํ มีการเชื่อมความว่าปรารภ สงบจีวรเป็นต้น น้ำดื่มมีน้ำมะม่วงเป็นต้น และวัตถุที่พึงบริโภคมีขาทนียะและโภชนียะเป็นต้น. มีวาจาประกอบความว่า ความคับแค้น คือภาวะที่ใจถูกกระทบกระทั่ง ได้แก่ความทุกข์ใจ ไม่มี.
               ก็ในข้อนี้มีความย่อดังนี้ว่า ความเคียดแค้นแห่งจิตอันใด เพราะไม่ได้ปัจจัยที่ต้องการ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้ไม่สันโดษ ผู้แสวงหาปัจจัยมีเสนาสนะเป็นต้น ด้วยการไปสู่ที่ที่จะพึงได้ด้วยหวังว่า ในอาวาสชื่อโน้น ปัจจัยทั้งหลายหาได้ง่ายก็ดี ด้วยการโต้เถียงกันว่าปัจจัยนี้ถึงแก่ผม ไม่ถึงแก่ท่านก็ดี ด้วยการทำงานเป็นต้นก็ดี ความเคียดแค้นนั้น ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้สันโดษในปัจจัยเหล่านั้น.
               บทว่า ทิสา นปฺปฏิหญฺญติ ความว่า เพราะสันโดษ ทิศทั้งหลายจึงไม่ถูกกระทบกระทั่ง เนื่องจากภิกษุผู้สันโดษ เป็นผู้ไปได้ทั้ง ๔ ทิศ.
               สมด้วยพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า๑-
                                   ภิกษุผู้สันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้
                         ย่อมเป็นผู้ไปได้ทั้ง ๔ ทิศ และไม่ถูกกระทบ
                         กระทั่ง.

____________________________
๑- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๙๖   ขุ. จูฬ. เล่ม ๓๐/ข้อ ๖๘๙

               อธิบายว่า ภิกษุใดเกิดความคิดขึ้นว่า เราไปที่โน้นแล้วจักได้ปัจจัยมีจีวรเป็นต้น ทิศของภิกษุนั้น ชื่อว่าถูกกระทบกระทั่ง. ส่วนภิกษุใดไม่เกิดความคิดอย่างนี้ขึ้นมา ทิศของภิกษุนั้น ชื่อว่าไม่ถูกกระทบกระทั่ง.
               บทว่า ธมฺมา ได้แก่ ธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติทั้งหลาย.
               บทว่า สามญฺญสฺสานุโลมิกา ได้แก่ ธรรมทั้งหลายมีความมักน้อยเป็นต้น ซึ่งเหมาะสมแก่สมณธรรม แก่สมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา หรือแก่อริยมรรคนั่นแล.
               บทว่า อธิคฺคหิตา ความว่า ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดย่อมเป็นอันภิกษุผู้มีจิตยินดีแล้ว คือภิกษุผู้มีจิตสันโดษแล้ว บรรลุแล้ว คือครอบงำธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ยึดไว้ได้แล้ว ได้แก่เป็นธรรมมีอยู่ภายใน ไม่ใช่มีอยู่ภายนอก.

               จบอรรถกถาจัตตาริสูตรที่ ๒               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ จตุกกนิบาต จัตตาริสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 280อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 281อ่านอรรถกถา 25 / 282อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=6550&Z=6565
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=27&A=8143
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=27&A=8143
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓๑  มีนาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :