บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ในบทว่า สีลสมฺปนฺนา นี้มีอธิบายว่า โลกิยศีลและโลกุตรศีลของพระขีณาสพทั้งหลาย ชื่อว่าศีล ภิกษุทั้งหลายชื่อว่าสมบูรณ์ด้วยศีล เพราะหมายความว่า สมบูรณ์คือประกอบด้วยศีลนั้นๆ แม้ในสมาธิและปัญญาก็มีนัยนี้แล. ส่วนวิมุตติได้แก่ผลวิมุตตินั่นแล. วิมุตติญาณทัสสนะได้แก่ปัจจเวกขณญาณ. ในอธิการนี้ ธรรม ๓ มีศีลเป็นต้นเป็นทั้งโลกิยะและโลกุตระ วิมุตติเป็นโลกุตระอย่างเดียว วิมุตติญาณทัสสนะเป็นโลกิยะอย่างเดียว. ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าผู้กล่าวสอน เพราะหมายความว่า กล่าวสอน คือพร่ำสอนบุคคลเหล่าอื่นด้วยทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ สัมปรายิกัตถประโยชน์และปรมัตถประโยชน์ตามควร. บทว่า วิญฺญาปกา ได้แก่ ช่วยบุคคลเหล่าอื่นให้เข้าใจกรรมและผลของกรรม. อนึ่ง ในบทว่า วิญฺญาปกา นั้น มีอธิบายว่า ช่วยบุคคลเหล่าอื่นให้เข้าใจ คือให้รู้ซึ้งธรรมทั้งหลายด้วยนัย ๓ อย่างตามลักษณะของตน คือตามสามัญลักษณะ โดยการจำแนกเป็นกุศลเป็นต้น โดยการจำแนกเป็นขันธ์เป็นต้น โดยนัยเป็นต้นว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ. บทว่า สนฺทสฺสกา ได้แก่ แสดงธรรมเหล่านั้นแลให้บุคคลอื่นเห็นได้ชัด เหมือนจับธรรมเหล่านั้นด้วยมือ. บทว่า สมาทปกา ได้แก่ ทำให้บุคคลเหล่าอื่นสมาทานศีลเป็นต้นที่ยังมิได้สมาทาน คือทำบุคคลเหล่าอื่นนั้นให้ดำรงอยู่ในศีลเป็นต้นนั้น. บทว่า สมุตฺเตชกา ความว่า ทำจิตของบุคคลทั้งหลายผู้ดำรงอยู่ในกุศลธรรมอย่างนี้ให้อาจหาญด้วยดี ด้วยการแนะนำในการบำเพ็ญอธิจิตขั้นสูงขึ้นไป คือทำจิตของเขาให้ผ่องใสด้วยการพิจารณา โดยประการที่เขาจะบรรลุคุณวิเศษได้. บทว่า สมฺปหํสกา ความว่า ทำจิตของบุคคลเหล่าอื่นนั้นให้ร่าเริงด้วยดี ด้วยคุณวิเศษตามที่ได้แล้ว และที่จะพึงได้ในขั้นสูง คือทำจิตของเขาให้ยินดีด้วยดี ด้วยอำนาจความพอใจที่ได้แล้ว. บทว่า อลํ สมกฺขาตาโร ได้แก่ เป็นผู้สมควร คือบอกธรรมได้โดยชอบทีเดียว ได้แก่ด้วยประสงค์จะอนุเคราะห์ ไม่ทำธรรมที่ตนได้เล่าเรียนมาคือตามที่กล่าวแล้ว ให้เสื่อมสูญไป. อีกประการหนึ่ง บทว่า สนฺทสฺสกา ความว่า ภิกษุเมื่อแสดงธรรมก็แสดงด้วยดีทีเดียว ทั้งปวัตติ (ความเป็นไป) และนิวัตติ (ความหมุนกลับ) ตามสภาวลักษณกิจที่แท้จริง. บทว่า สมาทปกา ความว่า ยังผู้ฟังให้ยึดถือเนื้อความนั้นนั่นแล โดยให้เนื้อความนั้นตั้งมั่นอยู่ในจิต. บทว่า สมุตฺเตชกา ความว่า ยังผู้ฟังให้ผ่องใสหรือรุ่งเรืองด้วยดีทีเดียว ด้วยการให้เกิดอุตสาหะในการรับเอาเนื้อความนั้น. บทว่า สมฺปหํสกา ความว่า ยังผู้ฟังให้ร่าเริง คือให้ยินดีด้วยดีทีเดียวซึ่งเนื้อความนั้น ด้วยการแสดงอานิสงส์ในการปฏิบัติ. บทว่า อลํ สมกฺขาตาโร ความว่า เป็นผู้สามารถที่จะบอกได้ ตามนัยที่กล่าวแล้ว คือเป็นผู้แสดงสัทธรรม ได้แก่ ปฏิเวธสัทธรรม หรือสัทธรรมทั้ง ๓ อย่าง. บทว่า ทสฺสนมฺปหํ ตัดบทเป็น ทสฺสนํ ปิ อหํ ก็การเห็นนี้นั้นมี ๒ อย่าง คือ การเห็นด้วยจักษุ ๑ การเห็นด้วยญาณ ๑. บรรดาการเห็นทั้ง ๒ อย่างนั้น การมองดูพระอริยเจ้าทั้งหลายด้วยดวงตา (แสดงความ) เลื่อมใส ชื่อว่าการเห็นด้วยจักษุ. ส่วนการบรรลุธรรมทั้งหลายที่ทำให้เป็นพระอริยะ และความเป็นพระอริยะด้วยวิปัสสนา มรรคและผล ชื่อว่าการเห็นด้วยญาณ. แต่ในความหมายนี้ ท่านประสงค์เอาการเห็นด้วยจักษุ เพราะว่าแม้การมองดูพระอริยเจ้าทั้งหลาย ด้วยดวงตา (แสดงความ) เลื่อมใส ก็มีอุปการะมากทีเดียวแก่สัตว์ทั้งหลาย. บทว่า สวนํ ได้แก่ การได้ยินด้วยหู เมื่อคนทั้งหลายพูดกันว่า พระขีณาสพชื่อโน้น อยู่ในรัฐหรือชนบท ในคามหรือนิคม ในวิหารหรือในถ้ำชื่อโน้น นี้ก็มีอุปการะมากเหมือนกัน. บทว่า อุปสงฺกมนํ ความว่า การเข้าไปหาพระอริยเจ้าทั้งหลาย ด้วยความคิดเห็นแบบนี้ว่า เราจักถวายทาน จักถามปัญหา จักฟังธรรมหรือจักทำสักการะ. บทว่า ปยิรุปาสนํ ได้แก่ การเข้าไปนั่งใกล้ เพื่อถามปัญหา. อธิบายว่า การได้สดับคุณความดีของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เข้าไปหาพระอริยเจ้าเหล่านั้น นิมนต์แล้วถวายทาน หรือทำวัตร แล้วถามปัญหาโดยนัยเป็นต้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อะไรคือกุศล? การทำการรับใช้เป็นต้นจัดเป็นการเข้าไปนั่งใกล้เหมือนกัน. บทว่า อนุสฺสตึ ได้แก่ การที่บุคคลผู้นั่งในที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน ระลึกถึงเนืองๆ ซึ่งคุณวิเศษมีทิพวิหารธรรมเป็นต้น ของพระอริยเจ้าเหล่านั้นเป็นอารมณ์ว่า บัดนี้ พระอริยเจ้าทั้งหลายกำลังยับยั้งอยู่ในสถานที่ทั้งหลายมีพุ่มไม้ ถ้ำและมณฑปเป็นต้น ด้วยความสุขอันเกิดจากฌาน วิปัสสนามรรคและผล. อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ น้อมนึกถึงโอวาทที่ได้จากสำนักของพระอริยเจ้าเหล่านั้น แล้วระลึกถึงเนืองๆ อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสศีลไว้ในที่นี้ ตรัสสมาธิไว้ในที่นี้ ตรัสวิปัสสนาไว้ในที่นี้ ตรัสมรรคไว้ในที่นี้ ตรัสผลไว้ในที่นี้. บทว่า อนุปพฺพชฺชํ ได้แก่ การทำจิตให้เลื่อมใสในพระอริยเจ้าทั้งหลาย แล้วออก อธิบายว่า การทำจิตให้เลื่อมใสในพระอริยเจ้าทั้งหลาย แล้ว ส่วนการบวชแม้ของบุคคลผู้บวชในสำนักบุคคลอื่น เพราะความเลื่อมใสในบุคคลอื่น แล้วเที่ยวไปจำนงหวังโอวาทานุสาสนีของบุคคลอื่นเหมือนกัน ไม่ชื่อว่าเป็นการบวชตาม. ก็บรรดาบุคคลที่บวชตามนัยดังกล่าวแล้ว ก่อนอื่นผู้บวชตามพระมหากัสสปเถระ มีจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ คน ผู้บวชตามพระจันทคุตตเถระผู้เป็นสัทธิวิหาริกของพระเถระนั่นแลก็มีจำนวนเท่ากัน. พระสุริย ฝ่ายพระกนิษฐภาดาของพระเจ้าอโศก ผู้เป็นสัทธิวิหาริกของพระโยนกธัมมรักขิตเถระนั้นได้มีชื่อว่าติสสเถระ บุคคลผู้บวชตามพระติสสเถระนั้นได้มีจำนวนนับได้ ๒๕๐ โกฏิ. ส่วนบุคคลผู้บวชตามพระมหามหินทเถระผู้ยังชาวเกาะให้เลื่อมใส นับจำนวนไม่ได้ ในเกาะลังกา บุคคลผู้บวชด้วยความเลื่อมใสในพระศาสดา จนตราบเท่าทุกวันนี้ ชื่อว่าบวช บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงถึงเหตุที่พระองค์ตรัสว่า การเห็นพระอริยเจ้าเหล่านั้นเป็นต้น มีอุปการะมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า ตถารูเป เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตถารูเป ได้แก่ พระอริยเจ้าเช่นนั้น คือผู้สมบูรณ์ด้วยคุณมีศีลเป็นต้น. เพราะเหตุที่การเห็น การฟังและการหมั่นระลึกถึงเป็นเหตุ (ฐาน) ของการเข้าไปหาและการเข้าไปนั่งใกล้ ฉะนั้น เพื่อจะทรงแสดงเฉพาะการเข้าไปหาและการเข้าไปนั่งใกล้ ไม่พาด สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า กุลบุตรผู้เกิดศรัทธาย่อมเข้าไปหา เมื่อเข้าไปหาย่อมนั่งใกล้ดังนี้เป็นต้น.๑- ____________________________ ๑- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๒๓๘ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เสวโต ได้แก่ เข้าไปหาตามเวลาอันสมควรด้วยการทำวัตรและวัตรตอบ. บทว่า ภชโต ได้แก่ คบอยู่ด้วยอำนาจความรักและภักดี. บทว่า ปยิรุปาสโต ได้แก่ เข้าไปนั่งใกล้ด้วยการถามปัญหาและทำตามข้อปฏิบัติ. นักศึกษาพึงทราบการจำแนกความหมายของบททั้ง ๓ ดังว่ามานี้ ความบริบูรณ์แห่งวิมุตติญาณทัสสนะ พึงทราบได้โดยการเกิดขึ้นแห่งปัจจเวกขณญาณที่ ๑๙. ในบทว่า เอวรูปา จ เต ภิกฺขเว ภิกฺขู เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้. ภิกษุเหล่าใดเห็นปานนี้ คือเป็นเช่นนี้ ได้แก่ทำลายกิเลสได้หมดสิ้น เพราะประกอบด้วยคุณภาพที่กล่าวแล้ว ภิกษุเหล่านั้นเรียกว่าศาสดา เพราะพร่ำสอนโดยการประกอบสัตว์ทั้งหลายไว้ในประโยชน์เกื้อกูลมีทิฏฐธัมมิถัตถประโยชน์เป็นต้นบ้าง. เรียกว่านายคาราวาน (ผู้นำหมู่พ่อค้า) เพราะช่วยสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามพ้นจากชาติกันดารเป็นต้นบ้าง. เรียกว่าผู้ละกิเลสเครื่องยียวน เพราะละกิเลสเครื่องยียวนมีราคะเป็นต้นได้ด้วยตนเอง และสอนคนอื่นให้ละตามบ้าง. เรียกว่าผู้บรรเทาความมืด เพราะบรรเทาความมืด คืออวิชชาด้วยตนเอง และสอนผู้อื่นให้บรรเทาตามบ้าง. เรียกว่าผู้ทำแสงสว่างเป็นต้น เพราะทำให้เกิดแสงสว่างคือปัญญา โอภาสคือปัญญา และความโชติช่วงคือปัญญาในสันดานของตนและบุคคลอื่นบ้าง. อนึ่ง เรียกว่าผู้ทำรัศมีบ้าง ผู้ทรงคบเพลิงบ้าง เพราะทำธรรมให้ดาดาษด้วยรัศมีคือญาณ. เรียกว่าพระอริยะ เพราะเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสทั้งหลาย ๑ เพราะไม่ดำเนินไปในทางที่ไม่ควรดำเนิน ๑ เพราะดำเนินไปในทางที่ควรดำเนิน ๑ เพราะอันชาวโลกกับทั้งเทวโลกพึงดำเนินตาม ๑. เรียกว่าผู้มีจักษุ เพราะได้ปัญญาจักษุและธรรมจักษุอย่างดียิ่ง. พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลายดังต่อไปนี้. บทว่า ปาโมชฺชกรณฏฺฐานํ ได้แก่ ที่ตั้ง คือเหตุให้บังเกิดความบันเทิงใจที่ปราศจากอามิส. ท่านกล่าวถึงนิทัสสนะ (ตัวอย่าง) ที่จะพึงกล่าวในบัดนี้ว่า เอตํ. บทว่า วิชานตํ ได้แก่ รู้จักความเศร้าหมองและความผ่องแผ้วตามความเป็นจริง. บทว่า ภาวิตตฺตานํ ได้แก่ ผู้มีสภาวะ (จิต) อันอบรมแล้ว. อธิบายว่า ผู้มีสันดานอบรมแล้วด้วยการอบรมกายเป็นต้น. บทว่า ธมฺมชีวินํ ความว่า ชื่อว่าผู้มีปกติเป็นอยู่โดยธรรม เพราะละมิจฉาชีพแล้วเลี้ยงชีวิตโดยธรรม คือด้วยญายธรรม เพราะนำอัตภาพไปด้วยธรรม คือด้วยญายธรรมบ้าง เพราะเป็นอยู่ด้วยผลธรรมอันเลิศ เนื่องจากมากด้วยสมาบัติบ้าง ในบทนี้มีความย่อดังนี้ว่า การเห็นพระอริยเจ้าทั้งหลายผู้อบรมตนแล้ว ผู้สำเร็จสมาธิภาวนาและปัญญาภาวนาแล้ว ผู้ชื่อว่าเป็นอยู่โดยธรรม เพราะการอบรมตนและสำเร็จภาวนานั้นนั่นเอง. ชื่อว่าเป็นเหตุแห่งปีติและปราโมทย์โดยส่วนเดียวเท่านั้น สำหรับบุคคลผู้มีปัญญารู้แจ้ง เพราะเป็นเหตุแห่งความบริบูรณ์ แห่งคุณทั้งหลายมีศีลเป็นต้น ซึ่งมีความไม่เดือดร้อนเป็นนิมิต. บัดนี้ เพื่อแสดงความที่การเห็นพระอริยเจ้าทั้งหลายนั้นเป็นเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสองคาถาท้ายว่า เต โชตยนฺติ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เต ได้แก่ พระอริยเจ้าเหล่านั้นผู้อบรมตนแล้ว มีปกติอยู่โดยธรรม. บทว่า โชตยนฺติ ได้แก่ ทำให้ปรากฏ. บทว่า ภาสยนฺติ ได้แก่ ทำโลกให้สว่างด้วยแสงสว่างแห่งพระสัทธรรม. อธิบายว่า แสดงธรรม. บทว่า เยสํ ได้แก่ พระอริยเจ้าเหล่าใด. บทว่า สาสนํ ได้แก่ โอวาท. บทว่า สมฺมทญฺญาย ได้แก่ รู้โดยชอบทีเดียวด้วยญาณอันเป็นส่วนเบื้องต้น. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วแล. จบอรรถกถาสีลสูตรที่ ๕ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ จตุกกนิบาต สีลสูตร จบ. |