ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘]อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 32อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 33อ่านอรรถกถา 25 / 34อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท นาควรรคที่ ๒๓

               ๒๓. นาควรรควรรณนา               
               ๑. เรื่องของพระองค์ [๒๓๒]               
               ข้อความเบื้องต้น               
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงโกสัมพี๑- ทรงปรารภพระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อหํ นาโคว" เป็นต้น.
____________________________
๑- นครหลวงแห่งแคว้นวังสะ.

               พระศาสดาถูกพวกมิจฉาทิฏฐิด่า               
               เรื่องข้าพเจ้าให้พิสดารแล้ว ในวรรณนาแห่งพระคาถาแรกแห่งอัปปมาทวรรคนั่นแล.
               จริงอยู่ ในที่นั้นข้าพเจ้ากล่าวไว้ฉะนี้ว่า "พระนางมาคันทิยาไม่อาจทำอะไรๆ แก่หญิง ๕๐๐ มีพระนางสามาวดีเป็นประมุขเหล่านั้นได้" จึงทรงดำริว่า "เราจักทำกิจที่ควรทำแก่พระสมณโคดมให้ได้"
               ดังนี้แล้ว ให้สินจ้างแก่ชาวนครทั้งหลายแล้ว กล่าวว่า "ท่านทั้งหลายพร้อมกับพวกผู้ชายที่เป็นทาสและกรรมกร จงด่าจงบริภาษพระสมณโคดม ผู้เสด็จเที่ยวเข้ามาภายในพระนคร ให้หนีไป."
               พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ติดตามพระศาสดา ผู้เสด็จเข้าไปภายในพระนคร ด่าอยู่ บริภาษอยู่ ด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ ว่า "เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นอูฐ เจ้าเป็นโค เจ้าเป็นลา เจ้าเป็นสัตว์นรก เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน สุคติไม่มีสำหรับเจ้า ทุคติเท่านั้นอันเจ้าพึงหวัง."

               พระอานนท์ทูลให้เสด็จไปนครอื่นก็ไม่เสด็จไป               
               ท่านพระอานนท์สดับคำนั้นแล้ว ได้กราบทูลคำนี้กะพระศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชาวนครเหล่านี้ ย่อมด่า ย่อมบริภาษเราทั้งหลาย, เราทั้งหลายไปในที่อื่นจากพระนครนี้เถิด."
               พระศาสดา. ไปไหน อานนท์?
               พระอานนท์. สู่นครอื่น พระเจ้าข้า.
               พระศาสดา. เมื่อมนุษย์ทั้งหลายในที่นั้น ด่าอยู่ บริภาษอยู่, เราจักไปในที่ไหนอีก อานนท์?
               พระอานนท์. สู่นครอื่นแม้จากนครนั้น พระเจ้าข้า.
               พระศาสดา. เมื่อมนุษย์ในที่นั้น ด่าอยู่ บริภาษอยู่ เราทั้งหลายจักไปในที่ไหน (อีก) เล่า อานนท์?
               พระอานนท์. สู่นครอื่นแม้จากนครนั้น (อีก) พระเจ้าข้า.
               พระศาสดา. อานนท์ การทำอย่างนั้นไม่ควร อธิกรณ์เกิดขึ้นในที่ใด เมื่อมันสงบแล้วในนั้นนั่นแหละ การไปสู่ที่อื่นจึงควร, อานนท์ ก็เขาพวกไหนเล่า ย่อมด่า?
               พระอานนท์. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนทั้งหมดจนกระทั่งทาสและกรรมกร ย่อมด่า.

               พระศาสดาทรงอดกลั้นคำล่วงเกินได้               
               พระศาสดาตรัสว่า "อานนท์ เราเป็นเช่นกับช้างที่เข้าสู่สงคราม การอดทนต่อลูกศรที่แล่นมาจาก ๔ ทิศเป็นภาระของช้างที่เข้าสู่สงครามฉันใด, ชื่อว่าการอดทนถ้อยคำที่ชนทุศีลแม้มากกล่าวแล้ว เป็นภาระของเราฉันนั้นเหมือนกัน"
               เมื่อทรงปรารภพระองค์แสดงธรรม ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ในนาควรรคว่า :-
               ๑.   อหํ นาโคว สงฺคาเม    จาปโต ปติตํ สรํ
               อติวากฺยนฺติติกฺขิสฺสํ    ทุสฺสีโล หิ พหุชฺชโน.
               ทนฺตํ นยนฺติ สมิตึ    ทนฺตํ ราชาภิรูหติ
               ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ    โยติวากฺยนฺติติกฺขติ.
               วรมสฺสตรา ทนฺตา    อาชานียา จ สินฺธวา
               กุญฺชรา จ มหานาคา    อตฺตทนฺโต ตโต วรํ.
                          เราจักอดกลั้นคำล่วงเกิน เหมือนช้างอดทนต่อลูกศรที่ตก
               จากแล่งในสงครามฉะนั้น, เพราะชนเป็นอันมากเป็นผู้ทุศีล.
                          ชนทั้งหลาย ย่อมนำสัตว์พาหนะที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ประชุม
               พระราชาย่อมทรงสัตว์พาหนะที่ฝึกแล้ว, บุคคลผู้อดกลั้นคำล่วง
               เกินได้ ฝึก (ตน) แล้ว เป็นผู้ประเสริฐในมนุษย์ทั้งหลาย,
                          ม้าอัสดร ๑ ม้าสินธพผู้อาชาไนย ๑ ช้างใหญ่ชนิดกุญชร ๑
               ที่ฝึกแล้วย่อมเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่บุคคลที่มีตนฝึกแล้วย่อมประเสริฐ
               กว่า (สัตว์พิเศษนั้น).

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาโคว คือ เหมือนช้าง.
               สองบทว่า จาปโต ปติตํ ความว่า หลุดออกไปจากธนู.
               บทว่า อติวากฺยํ ความว่า ซึ่งคำล่วงเกินที่เป็นไปแล้วด้วยสามารถแห่งอนริยโวหาร ๘.#-
               บทว่า ติติกฺขิสฺสํ ความว่า ช้างใหญ่ที่เขาฝึกหัดดีแล้วเข้าสู่สงคราม เป็นสัตว์อดทน ไม่พรั่นพรึงซึ่งลูกศรที่หลุดจากแล่งตกลงที่ตน ชื่อว่า ย่อมทนทานต่อการประหารทั้งหลาย มีประหารด้วยหอกเป็นต้นได้ ฉันใด, เราก็จักอดกลั้น คือจักทนทานคำล่วงเกิน มีรูปอย่างนั้น ฉันนั้นเหมือนกัน.
               บทว่า ทุสฺสีโล หิ ความว่า เพราะโลกิยมหาชนนี้เป็นอันมาก เป็นผู้ทุศีล เที่ยวเปล่งถ้อยคำเสียดสีด้วยอำนาจแห่งความชอบใจของตน, การอดกลั้น คือการวางเฉยในถ้อยคำนั้น เป็นภาระของเรา.
               บทว่า สมิตึ ความว่า ก็ชนทั้งหลาย เมื่อจะไปสู่ท่ามกลางมหาชน ในสมาคมสถาน มีอุทยานและสนามกรีฑาเป็นต้น เทียมโคหรือม้าที่ฝึกแล้วเท่านั้นเข้าที่ยานแล้ว ย่อมนำไป.
               บทว่า ราชา ความว่า แม้พระราชา เมื่อจะเสด็จไปสู่ที่เห็นปานนั้นนั่นแหละ ย่อมทรงสัตว์พาหนะเฉพาะที่ฝึกแล้ว.
               บทว่า มนุสฺเสสุ ความว่า แม้ในมนุษย์ทั้งหลายผู้ฝึกแล้ว คือผู้สิ้นพยศแล้วแล๑- ด้วยอริยมรรค ๔ เป็นผู้ประเสริฐ.
____________________________
#- อนริยโวหาร ๘ คือ :-
               ๑. อทิฏฺเฐ ทิฏฺฐวาทิตา ความเป็นผู้มีปกติกล่าวสิ่งที่ไม่เห็นว่าเห็น.
               ๒. อสฺสุเต สุตวาทิตา ความเป็นผู้มีปกติกล่าวสิ่งที่ไม่ได้ยินว่าได้ยิน.
               ๓. อมุเต มุตวาทิตา ความเป็นผู้มีปกติกล่าวสิ่งที่ไม่รู้ว่ารู้.
               ๔. อวิญฺญาเต วิญฺญาตวาทิตา ความเป็นผู้มีปกติกล่าวสิ่งที่ไม่ทราบชัดว่าทราบชัด.
               ๕. ทิฏฺเฐ อทิฏฺฐวาทิตา ความเป็นผู้มีปกติกล่าวสิ่งที่เห็นว่าไม่เห็น.
               ๖. สุเต อสฺสุตวาทิตา ความเป็นผู้มีปกติกล่าวสิ่งที่ได้ยินว่าไม่ได้ยิน.
               ๗. มุเต อมุตวาทิตา ความเป็นผู้มีปกติกล่าวสิ่งที่รู้ว่าไม่รู้.
               ๘. วิญฺญาเต อวิญฺญาตวาทิตา ความเป็นผู้มีปกติกล่าวสิ่งที่ทราบชัดว่าไม่ทราบชัด.
๑- นิพฺพิเสว = มีความเสพผิดออกแล้วเทียว.

               บทว่า โยติวากฺยํ ความว่า บุคคลใดย่อมอดกลั้น คือย่อมไม่โต้ตอบ ไม่พรั่นพรึงถึงคำล่วงเกินมีรูปเช่นนั้น แม้อันเขากล่าวซ้ำซากอยู่. บุคคลผู้ฝึกแล้วเห็นปานนั้น เป็นผู้ประเสริฐ.
               ม้าที่เกิดจากแม่ม้าโดยพ่อลา ชื่อว่าม้าอัสดร. บทว่า อาชานียา ความว่า ม้าตัวสามารถเพื่อจะพลันรู้เหตุที่นายสารถีผู้ฝึกม้าให้กระทำ.
               ม้าที่เกิดในแคว้นสินธพ ชื่อว่าม้าสินธพ. ช้างใหญ่ที่เรียกว่ากุญชร ชื่อว่ามหานาค.
               บทว่า อตฺตทนฺโต เป็นต้น ความว่า ม้าอัสดรก็ดี ม้าสินธพก็ดี ช้างกุญชรก็ดี เหล่านั้นที่ฝึกแล้วเทียว เป็นสัตว์ประเสริฐ ที่ยังไม่ได้ฝึกหาประเสริฐไม่,
               แต่บุคคลใด ชื่อว่ามีตนฝึกแล้ว คือหมดพยศแล้ว เพราะความที่ตนเป็นผู้ฝึกด้วยอริยมรรค ๔. บุคคลนี้ย่อมประเสริฐกว่าสัตว์พาหนะ มีม้าอัสดรเป็นต้นแม้นั้น คือย่อมเป็นผู้ยิ่งกว่าสัตว์พาหนะ มีม้าอัสดรเป็นต้นเหล่านั้นแม้ทั้งสิ้น.
               ในกาลจบเทศนา มหาชนแม้ทั้งหมดนั้น ผู้รับสินจ้างแล้วยืนด่าอยู่ในที่ทั้งหลาย มีถนนและทางสามแยกเป็นต้น บรรลุโสดาปัตติผลแล้วดังนี้แล.

               เรื่องของพระองค์ จบ.               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท นาควรรคที่ ๒๓
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘]
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 32อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 33อ่านอรรถกถา 25 / 34อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=1118&Z=1161
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=24&A=2715
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=24&A=2715
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :