ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 411อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 412อ่านอรรถกถา 25 / 413อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต อัฏฐกวรรค
ปรมัฏฐกสูตร

               อรรถกถาปรมัฏฐกสูตรที่ ๕               
               ปรมัฏฐกสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ปรมนติ ทิฏฐีสุ ในทิฏฐิทั้งหลายว่าสิ่งนี้เป็นอย่างยิ่ง ดังนี้.
               พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร?
               ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี พวกเดียรถีย์ต่างๆ ประชุมกันแสดงทิฏฐิของตนๆ ว่าสิ่งนี้เป็นอย่างยิ่ง เกิดโต้เถียงกันแล้วพากันไปกราบทูลพระราชา.
               พระราชาให้ประชุมคนตาบอดแต่กำเนิดเป็นอันมากแล้วรับสั่งว่า พวกเจ้าจงแสดงช้างเหล่านี้ ดังนี้. พวกราชบุรุษประชุมคนตาบอดแล้วให้ช้างนอนข้างหน้ากล่าวว่า พวกท่านจงดูซิ. คนตาบอดเหล่านั้นคลำอวัยวะส่วนหนึ่งๆ ของช้างแล้ว. พระราชาตรัสถามว่า นี่แน่ะเจ้าช้างเหมือนอะไร? ผู้ที่คลำงวงก็ทูลว่า เหมือนงอนไถพระเจ้าข้า. พวกที่คลำงาเป็นต้นต่างก็บริภาษอีกพวกหนึ่งว่า นี่แน่ะเจ้า อย่าทูลเท็จต่อพระพักตร์พระราชานะ แล้วกราบทูลว่าเหมือนขอติดข้างฝาพระเจ้าข้า. พระราชาทรงสดับทั้งหมดแล้ว จึงทรงส่งพวกเดียรถีย์กลับไปด้วยพระดำรัสว่า ลัทธิของพวกท่านก็เหมือนเช่นนี้แหละ.
               ภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่งรู้เรื่องราวนั้นแล้ว จึงไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาเรื่องนั้นเป็นเหตุจึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนตาบอดแต่กำเนิดไม่รู้จักช้าง ต่างก็คลำอวัยวะส่วนนั้นๆ ของช้างแล้วก็เถียงกันฉันใด พวกเดียรถีย์ก็ฉันนั้น ไม่รู้จักธรรมอันเป็นเหตุให้พ้นทุกข์ ลูบคลำทิฏฐินั้นๆ แล้วก็เถียงกัน เพื่อทรงแสดงธรรมนั้น จึงได้ตรัสพระสูตรนี้.
               ในบทเหล่านั้นบทว่า ปรมนฺติ ทิฏฺฐีสุ ปริพฺพสาโน บุคคลยึดถือในทิฏฐิทั้งหลายว่าสิ่งนี้เป็นอย่างยิ่ง คือยึดอยู่ในทิฏฐิของตนๆ ว่าสิ่งนี้เป็นอย่างยิ่ง. บทว่า ยทุตฺตรึ กุรุเต ย่อมกระทำให้ยิ่ง คือย่อมกระทำศาสดาเป็นต้นของตนให้เป็นผู้ประเสริฐ. บทว่า หีนาติ อญฺเญ ตโต สพฺพมาห กล่าวผู้อื่นเว้นศาสดาเป็นต้นของตนว่าพวกนี้เลวทั้งหมด. บทว่า ตสฺมา วิวาทานิ อวีตวตฺโต คือ เพราะเหตุนั้นบุคคลนั้นจึงไม่ล่วงพ้นความวิวาทไปได้เป็นแน่.
               พึงทราบความแห่งคาถาที่สองต่อไปนี้
               ก็ไม่ล่วงพ้นไปได้อย่างนี้แล้ว บุคคลนั้นเห็นอานิสงส์อันใดดังกล่าวแล้วในก่อนในตน กล่าวคือทิฏฐิอันเกิดขึ้นในสิ่งเหล่านี้ คือในรูปที่ได้เห็น ในเสียงที่ได้ฟัง ในศีลและพรต ในอารมณ์ที่ได้รู้ บุคคลนั้นยึดมั่นอานิสงส์ในทิฏฐิของตนนั้นว่า สิ่งนี้ประเสริฐที่สุด เห็นศาสดาอื่นทั้งหมดมีศาสดาของคนอื่นเป็นต้นโดยความเป็นคนเลว.
               พึงทราบความแห่งคาถาที่สามต่อไปนี้
               เมื่อเห็นอย่างนี้ บุคคลผู้อาศัยศาสดาเป็นต้นของตนเห็นศาสดาของคนอื่นเป็นต้น เป็นคนเลวเพราะความเห็นอันใด ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวความเห็นอันนั้นว่า เป็นกิเลสเครื่องร้อยรัด. อธิบายว่าเป็นเครื่องผูกมัด. ท่านอธิบายว่า เพราะฉะนั้นแล ภิกษุไม่พึงยึดมั่นรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ฟัง อารมณ์ที่ได้ทราบ หรือศีลและพรต.
               พึงทราบความแห่งคาถาที่สี่ต่อไป
               มิใช่ไม่พึงยึดถือรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ฟังเป็นต้นอย่างเดียว อันที่จริงไม่พึงกำหนดแม้ทิฏฐิยิ่งๆ ขึ้นไปที่ยังไม่เกิดในโลก. ท่านอธิบายว่า ไม่พึงให้เกิด.
               เช่นไร. ไม่พึงกำหนดทิฏฐิที่กำหนดด้วยญาณหรือแม้ศีลและพรต หรือด้วยญาณมีสมาบัติญาณเป็นต้น หรือด้วยศีลและพรต.
               อนึ่ง มิใช่พึงกำหนดทิฏฐิอย่างเดียว อันที่จริงไม่พึงสำคัญว่า เป็นผู้เลวกว่าเขา หรือเป็นผู้วิเศษกว่าเขา.
               พึงทราบความแห่งคาถาที่ห้าต่อไป
               ก็เมื่อไม่กำหนดคือไม่สำคัญทิฏฐิอย่างนี้ ภิกษุละความเห็นว่าเป็นตนได้แล้ว ไม่ถือมั่นอยู่ คือละสิ่งที่ตนถือมาก่อน แล้วไม่ถือสิ่งอื่น ย่อมไม่กระทำนิสัย ๒ อย่าง (ตัณหานิสัยและทิฏฐินิสัย) ในญาณมีประการดังกล่าวแล้วแม้นั้น ก็เมื่อไม่กระทำ ภิกษุนั้นแลไม่เป็นผู้แล่นไปเข้าพวกในสัตว์ทั้งหลายผู้แตกต่างกันด้วยอำนาจทิฏฐิต่างๆ เป็นผู้ไม่ไปด้วยอำนาจความพอใจเป็นต้น ย่อมไม่กลับมาสู่ทิฏฐิแม้อะไรๆ ในทิฏฐิ ๖๒.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถา ๓ คาถามีอาทิว่า ยสฺสูภยนฺเต ดังนี้ เพื่อกล่าวสรรเสริญพระขีณาสพ ดังได้กล่าวแล้วในคาถานี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า อภยนฺเต ในส่วนสุดทั้งสอง คือมีผัสสะเป็นต้นดังได้กล่าวไว้แล้วในก่อน. บทว่า ปณิธิ ได้แก่ ตัณหา. บทว่า ภวาภวาย คือ เพื่อความเกิดบ่อยๆ.
               บทว่า อิธ วา หุรํ วา ในโลกนี้หรือในโลกอื่น คือในโลกนี้มีอัตภาพของตนเป็นต้น หรือในโลกอื่นมีอัตภาพของผู้อื่นเป็นต้น.
               บทว่า ทิฏฺเฐ วา ในรูปที่ได้เห็น คือในความบริสุทธิ์ของรูปที่ได้เห็น. ในเสียงที่ได้ฟังก็มีนัยนี้.
               บทว่า สญฺญา ได้แก่ ทิฏฐิอันเกิดแต่สัญญา.
               บทว่า ธมฺมาปิ เตสํ น ปฏิจฺฉิตาเส แม้ธรรมทั้งหลาย พราหมณ์เหล่านั้นก็มิได้ปกปิดไว้ คือแม้ธรรมคือทิฏฐิ ๖๒ พราหมณ์เหล่านั้นมิได้ปกปิดไว้อย่างนี้ว่า นี้เท่านั้นเป็นของจริง อย่างอื่นเป็นโมฆะดังนี้.
               บทว่า ปารํ คโต น ปจฺเจติ ตาที ผู้ถึงฝั่งแล้วเป็นผู้คงที่ไม่กลับมาอีก คือผู้ถึงฝั่งคือนิพพานแล้วเป็นผู้คงที่ด้วยอาการ ๕ ย่อมไม่กลับมาสู่กิเลสที่ละได้ด้วยมรรคนั้นๆ อีก.
               บทที่เหลือชัดแล้วทั้งนั้น.

               จบอรรถกถาปรมัฏฐกสูตรที่ ๕               
               แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย               
               ชื่อปรมัตถโชติกา               
               --------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต อัฏฐกวรรค ปรมัฏฐกสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 411อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 412อ่านอรรถกถา 25 / 413อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=10077&Z=10110
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=29&A=8204
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=29&A=8204
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓๑  พฤษภาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :