บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] หน้าต่างที่ ๑๒ / ๑๒. ข้อความเบื้องต้น เป็นสหายกันแต่เลื่อมใสวัตถุไม่ตรงกัน พวกนิครนถ์ย่อมกล่าวกะครหทินน์นั้นเนืองๆ อย่างนี้ว่า "การที่ท่านพูดกะสิริคุตต์ ผู้สหายของท่านว่า ท่านเข้าไปหาพระสมณ ครหทินน์ฟังคำของนิครนถ์เหล่านั้นแล้ว ก็หมั่นไปพูดกะสิริคุตต์ ในที่ที่เขายืนและนั่งแล้วเป็นต้นอย่างนี้ว่า "สหาย ประโยชน์อะไรของท่านด้วยพระสมณโคดมเล่า? ท่านเข้าไปหาพระสมณโคดมนั้นจักได้อะไร? การที่ท่านเข้าไปหาพระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว ถวายทานแก่พระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้น จะไม่ควรหรือ?" สิริคุตต์แม้ฟังคำของครหทินน์นั้น ก็นิ่งเฉยเสียหลายวัน รำคาญแล้ว วันหนึ่งจึงพูดว่า "เพื่อน ท่านหมั่นมาพูดกะเราในที่ที่ยืนแล้วเป็นต้นอย่างนี้ว่า ท่านไปหาพระสมณ ครหทินน์. "โอ! นาย ท่านอย่าพูดอย่างนี้, ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายของเรา จะไม่รู้ไม่มี, พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายย่อมรู้เหตุที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันทั้งหมด, กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมทั้งหมด, ย่อมรู้เหตุที่ควรและไม่ควรทั้งหมดว่า เหตุนี้จักมี, เหตุนี้จักไม่มี." สิริคุตต์. ท่านพูดว่า พระผู้เป็นเจ้าของท่าน ย่อมรู้ ดังนี้ มิใช่หรือ? ครหทินน์. ข้าพเจ้าพูดอย่างนั้น. สิริคุตต์. ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น, ท่านไม่บอกเนื้อความนี้แก่ข้าพ ครหทินน์นั้นไปสำนักของพวกนิครนถ์ ไหว้นิครนถ์เหล่านั้นแล้ว กล่าวว่า "สิริคุตต์สหายของข้าพเจ้า นิมนต์เพื่อฉันวันพรุ่งนี้." นิครนถ์. สิริคุตต์พูดกะท่านเองหรือ? ครหทินน์. อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า. นิครนถ์เหล่านั้นร่าเริงยินดีแล้ว กล่าวแล้วว่า "กิจของพวกเราสำเร็จแล้ว, จำเดิมแต่กาลที่สิริคุตต์เลื่อมใสในพวกเราแล้ว สมบัติชื่ออะไร จักไม่มีแก่พวกเรา?" ที่อยู่ แม้ของสิริคุตต์ก็ใหญ่. สิริคุตต์เตรียมรับรองนิครนถ์ ครหทินน์รีบไปเรือนของสิริคุตต์นั้นแต่เช้าตรู่แล้ว ถามว่า "ท่านจัดแจงสักกา สิริคุตต์. เออ สหาย ข้าพเจ้าจัดแจงแล้ว. ครหทินน์. ก็สักการะนั่นอยู่ไหน? สิริคุตต์. ข้าวต้มในตุ่มทั้งหลายนั่นประมาณเท่านี้, ข้าวสวยในตุ่มประมาณเท่านี้, เนยใส น้ำอ้อย ขนมเป็นต้น ในตุ่มประมาณเท่านี้ อาสนะปูไว้แล้ว. ครหทินน์นั้นกล่าวว่า "ดีละ" แล้วก็ไป. ในเวลาที่ครหทินน์นั้นไปแล้ว พวกนิครนถ์ประมาณ ๕๐๐ ก็มา. สิริคุตต์ออกจากเรือน ไหว้พวกนิครนถ์ด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว ยืนประคอง ครั้นคิดอย่างนั้นแล้ว จึงให้สัญญาแก่พวกบุรุษว่า "พวกท่านรู้ภาวะคือการนั่งของนิครนถ์เหล่านั้นแล้ว ยืนอยู่ข้างหลัง พึงนำเครื่องลาดในเบื้องบนแห่งอาสนะทั้ง นิครนถ์. เพราะอะไร? มนุษย์. การที่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายเข้าไปสู่เรือนของพวกข้าพเจ้า รู้ธรรม นิครนถ์. ทำอย่างไร จึงสมควรเล่า? ท่าน. มนุษย์. การที่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหมด ยืนอยู่ใกล้อาสนะที่ถึงแก่ตนๆ แล้ว นั่งลงพร้อมกันทีเดียว จึงควร. ได้ยินว่า สิริคุตต์นั้นให้ทำพิธีนี้ ก็ด้วยคิดว่า "เมื่อนิครนถ์คนหนึ่งตกลงใน พวกนิครนถ์ตกหลุมคูถ ลำดับนั้น พวกมนุษย์กล่าวกะนิครนถ์เหล่านั้นว่า "พวกท่านจงรีบนั่งพร้อมกันทีเดียว ขอรับ" รู้ภาวะ คือการนั่งของนิครนถ์เหล่านั้นแล้ว จึงนำเครื่องลาดเบื้องบน สิริคุตต์ เมื่อพวกนิครนถ์นั้นตกลงแล้ว จึงปิดประตู ให้เอาท่อนไม้ตีพวกนิครนถ์ ก็ในทางไปแห่งพวกนิครนถ์นั้น สิริคุตต์ให้คนทำพื้นที่อันทำบริกรรมด้วยปูนขาวไว้ให้ลื่น. สิริคุตต์ให้คนโบยซ้ำพวกนิครนถ์นั้น ผู้ยืนอยู่ไม่ได้ในที่นั้น ล้มลงแล้วๆ จึงส่งไปด้วยคำว่า "การทำเท่านี้ พอแก่ท่านทั้งหลาย." นิครนถ์เหล่านั้นคร่ำครวญอยู่ว่า "พวกเรา อันท่านให้ฉิบหาย, พวกเรา อันท่านให้ฉิบหาย" ได้ไปสู่ประตูเรือนของอุปัฏฐากแล้ว. ครหทินน์ฟ้องสิริคุตต์แด่พระราชา ครั้งนั้น พระราชาทรงส่งพระราชสาสน์ไปแก่สิริคุตต์นั้น. สิริคุตต์นั้นไปถวายบังคมพระราชาแล้ว กราบ พระราชา. เราสอบสวนดูแล้ว จึงจักปรับ. สิริคุตต์. ดีละ พระเจ้าข้า ถ้ากระนั้น จงปรับเถิด. พระราชา. ถ้ากระนั้น จงพูด. สิริคุตต์กราบทูลความเป็นไปนั้นทั้งหมด ตั้งต้นแต่เรื่องนี้ว่า "พระเจ้าข้า สหาย พระราชาทอดพระเนตรครหทินน์ ตรัสว่า "นัยว่า เจ้าพูดอย่างนั้น จริงหรือ? ครหทินน์. จริง พระเจ้าข้า. พระราชา. เจ้าคบพวกนิครนถ์ผู้ไม่รู้ แม้เหตุเพียงเท่านี้เที่ยวไปอยู่ ด้วยคิดว่า เป็นครู บอกแก่สาวกของพระตถาคตว่า ย่อมรู้ทุกอย่าง เพราะเหตุไร? สินไหมอันเจ้ายกขึ้นปรับ จงมีแก่เจ้าเองเถิด. ครหทินน์นั้นแล อันพระราชาทรงปรับสินไหมแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้, พวกนิครนถ์ผู้เข้าถึงสกุลของครหทินน์นั้นนั่นแล อันสิริคุตต์โบยไล่ออกแล้ว. ครหทินน์เตรียมแก้แค้นสิริคุตต์ สิริคุตต์. อะไร? สหาย. ครหทินน์. ธรรมดาญาติและสหายทั้งหลาย ย่อมมีการทะเลาะกันบ้าง วิวาทกันบ้าง, ท่านไม่พูดอะไรๆ, เพราะเหตุอะไร ท่านจึงทำอย่างนั้น? สิริคุตต์. สหาย ข้าพเจ้าไม่พูด ก็เพราะท่านไม่พูดกับข้าพเจ้า กรรมใดอันข้าพเจ้าทำแล้ว, กรรมนั้นจงเป็นอันทำแล้วเถิด เราทั้งสองจักไม่ทำลายไมตรีกัน. จำเดิมแต่กาลนั้น สหายทั้งสองย่อมยืน ย่อมนั่ง ในที่แห่งเดียวกัน. ต่อมาในกาลวันหนึ่ง สิริคุตต์กล่าวกะครหทินน์ว่า "ประโยชน์อะไรของท่านด้วยพวกนิครนถ์เล่า? ท่านเข้าไปหานิครนถ์เหล่านั้นจักได้อะไร? การเข้าไปหาพระศาสดาของเราก็ดี การถวายทานแก่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายก็ดี จะไม่ควรแก่ท่านหรือ?" แม้ครหทินน์นั้นย่อมหวังเหตุนี้เหมือนกัน, เพราะฉะนั้น คำพูดของสิริคุตต์นั้น จึงได้เป็นเหมือนเกาที่แผลฝีด้วยเล็บ. แม้ครหทินน์นั้นถามสิริคุตต์ว่า "พระศาสดาของท่านย่อมรู้อะไร?" สิริคุตต์. ท่านผู้เจริญ ท่านอย่าพูดอย่างนั้น, ขึ้นชื่อว่าสิ่งอันพระศาสดาของเราไม่รู้ไม่มี; พระศาสดาของเรานั้นย่อมรู้เหตุทั้งหมดต่างโดยเหตุที่เป็นอดีตเป็นต้น, ย่อมกำหนดจิตของสัตว์ทั้งหลายโดยอาการ ๑๖ อย่างได้. ครหทินน์. ข้าพเจ้าไม่ทราบอย่างนั้น, เพราะเหตุอะไร ท่านจึงไม่บอกแก่ข้าพเจ้า ตลอดกาลประมาณเท่านี้? ถ้ากระนั้นท่านจงไป, จงทูลนิมนต์พระศาสดา เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ ข้าพเจ้าจักให้เสวย, ท่านจงกราบทูลเพื่อทรงรับภิกษาของข้าพเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป. สิริคุตต์เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว กราบทูลอย่างนี้ว่า "พระเจ้าข้า ครหทินน์สหายของข้าพระองค์ สั่งให้ทูลนิมนต์พระองค์, ทราบว่า ขอพระองค์ทรงรับภิกษาของครหทินน์นั้นพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูปในวันพรุ่งนี้; ก็ในวันก่อนแล กรรมชื่อนี้ อันข้า พระศาสดาทรงพิจารณาว่า "ครหทินน์นั้น ใคร่จะถวายแก่เราหรือหนอแล?" ได้ทรงเห็นว่า "ครหทินน์นั้น ให้คนขุดหลุมใหญ่ในระหว่างเรือน ๒ หลังแล้ว ให้คนนำไม้ตะเคียนมาประมาณ ๘๐ เล่มเกวียนจุดไฟแล้ว ต้อง ทรงพิจารณาอีกว่า "เพราะเราไปในที่นั้นเป็นปัจจัย ประโยชน์จะมีหรือไม่มีหนอแล?" ลำดับนั้น ได้ทรงเห็นเหตุนี้ว่า "เราจักเหยียดเท้าบนหลุมถ่านเพลิง, เสื่อ สิริคุตต์ทราบการรับของพระศาสดาแล้ว จึงบอกแก่ครหทินน์ แล้วบอกว่า "ท่านจงทำสักการะแก่พระโลกเชษฐ์." ครหทินน์เตรียมรับพระศาสดา สิริคุตต์ไปเรือนของครหทินน์นั้น แต่เช้าตรู่แล้ว กล่าวว่า "สหาย ท่านทำสักการะแล้วหรือ? ครหินน์. เออ สหาย. สิริคุตต์. ก็สักการะนั่นอยู่ที่ไหน? ครหทินน์ตอบว่า "จงมา, จะดูกัน" แล้วแสดงของทั้งหมด โดยวิธีที่สิริคุตต์แสดงแล้วเหมือนกัน. สิริคุตต์กล่าวว่า "ดีละสหาย." มหาชนประชุมแล้ว. ก็เมื่อพระศาสดาอันคนผู้มิจฉาทิฏฐินิมนต์แล้ว การประชุมใหญ่ย่อมมี. ฝ่ายพวกมิจฉาทิฏฐิย่อมประชุมกัน ด้วยคิดว่า "พวกเราจักเห็นประการอันแปลกของพระสมณโคดม." ฝ่ายพวกสัมมาทิฏฐิย่อมประชุมกัน ด้วยคิดว่า "วันนี้ พระศาสดาจักทรงแสดงธรรมเทศนาอย่างใหญ่ พวกเราจักกำหนดพุทธวิสัย พุทธลีลา." ในวันรุ่งขึ้น พระศาสดาได้เสด็จไปประตูเรือนของครหทินน์ กับภิกษุ ๕๐๐ รูป. ครหทินน์นั้นออกจากเรือนแล้ว ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ยืนประคองอัญชลีอยู่เบื้องพระพักตร์ คิดว่า "พระเจ้าข้า อุปัฏฐากของพระองค์บอกแก่ข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ได้ยินว่า พระองค์ย่อมทรงทราบเหตุทุกอย่าง ต่างโดยเหตุที่เป็นอดีตเป็นต้น, ย่อมทรงกำหนดจิตของสัตว์ทั้งหลาย โดยอาการ ๑๖ อย่างได้, ถ้าพระองค์ทรงทราบอยู่, ขอพระองค์อย่าเสด็จเข้าไปสู่เรือนของข้าพระองค์, เพราะเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปแล้ว ข้าวยาคูไม่มีเลย ภัตเป็นต้นก็ไม่มี, ก็แล ข้าพระองค์จักยังท่านทั้งหมด ให้ตกลงในหลุมถ่านเพลิงแล้วข่มขี่", ครั้นคิดอย่างนั้นแล้ว จึงรับบาตรของพระศาสดา กราบทูลว่า "ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสด็จมาทางนี้" แล้วกราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ผู้มาสู่เรือนของข้าพระองค์ รู้ พระศาสดา. เราทำอย่างไร จึงควรเล่า? ท่าน. ครหทินน์. ในเวลาที่ภิกษุรูปหนึ่งๆ เข้าไปข้างหน้านั่งแล้ว ภิกษุอื่นมาในภายหลัง จึงควร. ได้ยินว่า ครหทินน์นั้นได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า "ภิกษุที่เหลือเห็นภิกษุผู้ไปข้างหน้า ตกลงในหลุมถ่านเพลิงแล้ว จักไม่มา, เราจักให้ภิกษุตกลงทีละรูปๆ เท่านั้นแล้วข่มขี่." พระศาสดาตรัสว่า "ดีละ" แล้วเสด็จเข้าไปแต่พระองค์เดียว. ครหทินน์ถึงหลุมถ่านเพลิงแล้ว ถอยออกไปยืนอยู่ กราบทูลว่า "ขอพระองค์เสด็จไปข้างหน้าเถิด พระเจ้าข้า." ครหทินน์เลื่อมใสพระพุทธเจ้า ความเร่าร้อนตั้งขึ้นแต่กายของครหทินน์แล้ว. เขาไปโดยเร็ว เข้าไปหาสิริคุตต์ บอกว่า "นาย ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า." สิริคุตต์. นี่ อะไรกัน? ครหทินน์. ข้าวยาคูหรือภัตเป็นต้น เพื่อภิกษุ ๕๐๐ รูป ไม่มีในเรือน, ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรหนอแล? สิริคุตต์. ก็ท่านทำอะไรไว้? ครหทินน์. ข้าพเจ้าให้คนทำหลุมใหญ่ไว้ในระหว่างเรือน ๒ หลัง เต็มด้วยถ่านเพลิง ด้วยหวังว่า จักให้พวกภิกษุตกไปในหลุมถ่านเพลิงนั้นแล้วข่มขี่. ทีนั้น ดอกบัวใหญ่ผุดขึ้นทำลายหลุมถ่านเพลิงนั้น, ภิกษุทั้งหมดเหยียบกลีบบัว เดินไปนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้, บัดนี้ ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร? สิริคุตต์. ท่านแสดงแก่ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้เองว่า ตุ่มข้าวยาคูเท่านี้, ตุ่มภัตเป็นต้นเท่านี้, มิใช่หรือ? ครหทินน์. นั้นเท็จ นาย, ตุ่มเปล่าทั้งนั้น. สิริคุตต์. ช่างเถิด ท่านจงไป จงตรวจดูข้าวยาคูเป็นต้นในตุ่มเหล่านั้น. ในขณะนั้นนั่นเอง ข้าวยาคูในตุ่มทั้งหลายใด อันครหทินน์นั้นบอกแล้ว, ตุ่มเหล่านั้นเต็มด้วยข้าวยาคูแล้ว, ภัตเป็นต้นในตุ่มเหล่าใดอันครหทินน์บอกแล้ว, ตุ่มเหล่านั้นได้เต็มแล้วด้วยภัตเป็นต้นเทียว. เพราะได้เห็นสมบัตินั้น สรีระของครหทินน์เต็ม เขาอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข โดยความเคารพ ใคร่จะให้ทรงทำอนุโมทนา จึงรับบาตรของพระศาสดา ผู้ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้ว. สัตว์ไม่รู้คุณพระศาสนาเพราะไร้ปัญญา "สัตว์เหล่านี้ไม่รู้คุณแห่งสาวกของเรา และแห่งพระพุทธศาสนา เพราะความไม่มีปัญญาจักษุ ชื่อว่าผู้มืด, ผู้มีปัญญา ชื่อว่ามีจักษุ" ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
๑- ที่แปลอย่างนี้ แปลตามนัยอรรถกถา. แต่บางท่านแปล ตตฺถ เป็นวิเสสนะ ของสงฺการธานสฺมึ. แก้อรรถ สองบทว่า อุชฺฌิตสฺมึ มหาปเถ คือ อันบุคคลทิ้งแล้วใกล้ทางใหญ่. บทว่า สุจิคนฺธํ คือ มีกลิ่นหอม. บทว่า มโนรมํ มีวิเคราะห์ว่า ใจย่อมยินดีในดอกบัวนี้ เหตุนั้น ดอกบัวนั้น ชื่อว่า เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ. บทว่า สงฺการภูเตสุ คือ เป็นดังหยากเยื่อ. บทว่า ปุถุชฺชเน ความว่า ซึ่งโลกิยมหาชนทั้งหลาย ผู้มีชื่ออันได้แล้วอย่างนั้น เพราะยังกิเลสหนาให้เกิด. พระผู้มีพระภาคตรัสคำนี้ไว้ว่า "ดอกบัวมีกลิ่นดี พึงเกิดในกองหยากเยื่อ อันบุคคลทิ้งแล้วใกล้ทางใหญ่ แม้ไม่สะอาด น่าเกลียด ปฏิกูล ดอกบัวนั้นพึงเป็นที่ชอบใจ คือพึงเป็นของน่าใคร่ พึงใจ ได้ สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือภิกษุผู้ขีณาสพ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อปุถุชน แม้เป็นดังกองหยากเยื่อ เกิดแล้ว แม้เกิดในระหว่างแห่งมหาชนผู้ไม่มีปัญญา ไม่มีจักษุ ย่อมไพโรจน์ล่วงด้วยกำลังแห่งปัญญาของตน เห็นโทษในกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในการออกบวช ออกบวชแล้ว ย่อมไพโรจน์ล่วง แม้ด้วยคุณสักว่าการบรรพชา, แม้ยก (ตน) ขึ้นสู่ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ยิ่งกว่า ครหทินน์กับสิริคุตต์บรรลุโสดาปัตติผล พระศาสดาได้เสด็จลุกจากอาสนะ ไปสู่วิหาร. ภิกษุทั้งหลายยังกถาให้ตั้งขึ้นในโรงธรรมเวลาเย็นว่า "น่าเลื่อมใส ธรรมดาคุณของพระพุทธเจ้า น่าอัศจรรย์, ดอกบัวผุดขึ้นทำลายกองถ่านตะเคียน ชื่อเห็นปานนั้นแล้ว." พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยกถาอะไรหนอ?" เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "ด้วยกถาชื่อนี้" แล้ว จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ดอกบัวผุดขึ้นแต่กองถ่านเพลิงเพื่อเราผู้เป็นพระพุทธเจ้า ในกาลบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์ ในกาลก่อน ดอกบัวเหล่านั้นก็ผุดขึ้นแล้วเพื่อเรา แม้ผู้เป็นโพธิสัตว์ เป็นไปอยู่ในประเทศญาณ", อันภิกษุเหล่านั้น ทูลอ้อนวอนว่า "ในกาลไร พระเจ้าข้า, ขอพระองค์จงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย" ดังนี้แล้ว จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัส ขทิรังคารชาดก๑- นี้ ให้พิสดารว่า :- เรามีเท้าขึ้นเบื้องบน มีศีรษะลงเบื้องต่ำ จะตกสู่เหวโดยแท้ เราจักไม่ทำกรรมอันมิใช่ ของพระอริยะ, เชิญท่านรับก้อนข้าวเถิด. ดังนี้แล. ____________________________ ๑- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๔๐; อรรถกถา ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๔๐ เรื่องครหทินน์ จบ. ปุปผวรรควรรณนา จบ. วรรคที่ ๔ จบ. ------------------------------------------------ .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔ จบ. |