ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐]อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 21อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 22อ่านอรรถกถา 25 / 23อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท อัตตวรรคที่ ๑๒

หน้าต่างที่ ๒ / ๑๐.

               ๒. เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [๑๒๘]               
               ข้อความเบื้องต้น               
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระอุปนันทศากยบุตร
               ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อตฺตานเมว ปฐมํ" เป็นต้น.

               พระเถระออกอุบายหาลาภ               
               ดังได้สดับมา พระเถระนั้นฉลาดกล่าวธรรมกถา. ภิกษุเป็นอันมากฟังธรรมกถาอันปฏิสังยุตด้วยความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยเป็นต้น ของท่านแล้ว จึงบูชาท่านด้วยจีวรทั้งหลาย สมาทานธุดงค์. พระอุปนันทะนั้นรูปเดียวรับเอาบริขารที่ภิกษุเหล่านั้นสละแล้ว.
               เมื่อภายในกาลฝนหนึ่งใกล้เข้ามา พระอุปนันทะนั้นได้ไปสู่ชนบทแล้ว.
               ลำดับนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรในวิหารแห่งหนึ่ง กล่าวกะท่านด้วยความรักในธรรมกถึกว่า "ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเข้าพรรษาในที่นี้เถิด." พระอุปนันทะถามว่า "ในวิหารนี้ ได้ผ้าจำนำพรรษากี่ผืน?"
               เมื่อภิกษุเหล่านั้นตอบว่า "ได้ผ้าสาฎกองค์ละผืน" จึงวางรองเท้าไว้ในวิหารนั้น ได้ไปวิหารอื่น, ถึงวิหารที่ ๒ แล้วถามว่า "ในวิหารนี้ ภิกษุทั้งหลายได้อะไร?"
               เมื่อพวกภิกษุตอบว่า "ได้ผ้าสาฎก ๒ ผืน" จึงวางไม้เท้าไว้, ถึงวิหารที่ ๓ ถามว่า "ในวิหารนี้ ภิกษุทั้งหลายได้อะไร?"
               เมื่อพวกภิกษุตอบว่า "ได้ผ้าสาฎก ๓ ผืน" จึงวางลักจั่นน้ำไว้, ถึงวิหารที่ ๔ ถามว่า "ในวิหารนี้ ภิกษุทั้งหลายได้อะไร?"
               เมื่อพวกภิกษุตอบว่า "ได้ผ้าสาฎก ๔ ผืน" จึงกล่าวว่า "ดีละ เราจักอยู่ในที่นี้" ดังนี้แล้ว เข้าพรรษาในวิหารนั้น กล่าวธรรมกถาแก่คฤหัสถ์และภิกษุทั้งหลายนั่นแล. คฤหัสถ์และภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น บูชาพระอุปนันทะนั้นด้วยผ้าและจีวรเป็นอันมากทีเดียว.
               พระอุปนันทะนั้นออกพรรษาแล้ว ส่งข่าวไปในวิหารแม้นอกนี้ว่า "เราควรได้ผ้าจำนำพรรษา เพราะเราวางบริขารไว้, ภิกษุทั้งหลายจงส่งผ้าจำนำพรรษาให้เรา" ให้นำผ้าจำนำพรรษาทั้งหมดมาแล้ว บรรทุกยานน้อยขับไป.

               พระอุปนันทะตัดสินข้อพิพาท               
               ครั้งนั้น ภิกษุหนุ่ม ๒ รูปในวิหารแห่งหนึ่งได้ผ้าสาฎก ๒ ผืนและผ้ากัมพลผืนหนึ่ง ไม่อาจจะแบ่งกันได้ว่า "ผ้าสาฎกจงเป็นของท่าน, ผ้ากัมพลเป็นของเรา" นั่งทะเลาะกันอยู่ใกล้หนทาง.
               ภิกษุหนุ่ม ๒ รูปนั้นเห็นพระเถระนั้นเดินมา จึงกล่าวว่า "ขอท่านจงช่วยแบ่งให้แก่พวกผมเถิด ขอรับ."
               เถระ. พวกคุณจงแบ่งกันเองเถิด.
               ภิกษุ. พวกผมไม่สามารถ ขอรับ ขอท่านจงแบ่งให้พวกผมเถิด.
               เถระ. พวกคุณจักตั้งอยู่ในคำของเราหรือ?
               ภิกษุ. ขอรับ พวกผมจักตั้งอยู่.
               พระเถระนั้นกล่าวว่า "ถ้ากระนั้น ดีละ" ให้ผ้าสาฎก ๒ ผืนแก่ภิกษุหนุ่ม ๒ รูปนั้นแล้ว กล่าวว่า "ผ้ากัมพลผืนนี้ จงเป็นผ้าห่มของเราผู้กล่าวธรรมกถา" ดังนี้แล้ว ก็ถือเอาผ้ากัมพลมีค่ามากหลีกไป. พวกภิกษุหนุ่มเป็นผู้เดือดร้อน ไปสู่สำนักพระศาสดา กราบทูลเนื้อความนั้นแล้ว.

               บุรพกรรมของพระอุปนันทะ               
               พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย อุปนันทะนี้ถือเอาของๆ พวกเธอ กระทำให้พวกเธอเดือดร้อนในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ได้ทำแล้วเหมือนกัน"
               ดังนี้แล้ว ทรงนำอดีตนิทานมา (ตรัส) ว่า :-
               "ก็ในอดีตกาล นาก ๒ ตัว คือนากเที่ยวหากินตามริมฝั่ง ๑ นากเที่ยวหากินทางน้ำลึก ๑ ได้ปลาตะเพียนตัวใหญ่ ถึงความทะเลาะกันว่า "ศีรษะจงเป็นของเรา, หางจงเป็นของท่าน." ไม่อาจจะแบ่งกันได้ เห็นสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง จึงกล่าวว่า "ลุง ขอท่านจงช่วยแบ่งปลานี้ให้แก่พวกข้าพเจ้า."
               สุนัขจิ้งจอก. เราอันพระราชาตั้งไว้ในตำแหน่งผู้พิพากษา เรานั่งในที่วินิจฉัยนั้นนานแล้ว จึงมาเสียเพื่อต้องการเดินเที่ยวเล่น๑- เดี๋ยวนี้ โอกาสของเราไม่มี.
               นาก. ลุง ท่านอย่าทำอย่างนี้เลย, โปรดช่วยแบ่งให้พวกข้าพเจ้าเถิด.
               สุนัขจิ้งจอก. พวกเจ้าจักตั้งอยู่ในคำของเราหรือ?
               นาก. พวกข้าพเจ้าจักตั้งอยู่ ลุง.
               สุนัขจิ้งจอกนั้นกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้น ดีละ" จึงได้ตัดทำหัวไว้ข้างหนึ่ง หางไว้ข้างหนึ่ง; ก็แลครั้นทำแล้ว จึงกล่าวว่า "พ่อทั้งสอง บรรดาพวกเจ้าทั้งสอง ตัวใดเที่ยวไปริมฝั่ง ตัวนั้นจึงถือทางหาง, ตัวใดเที่ยวไปในน้ำลึก ศีรษะจงเป็นของตัวนั้น, ส่วนท่อนกลางนี้จักเป็นของเรา ผู้ตั้งอยู่ในวินิจฉัยธรรม"
               เมื่อจะให้นากเหล่านั้นยินยอม จึงกล่าวคาถา๒- นี้ว่า :-
                         หางเป็นของนาก ผู้เที่ยวหากินตามริมฝั่ง,
                         ศีรษะเป็นของนาก ผู้เที่ยวหากินในน้ำลึก,
                         ส่วนท่อนกลางนี้ จักเป็นของเรา ผู้ตั้งอยู่
                         ในธรรม.

               ดังนี้แล้ว คาบเอาท่อนกลางหลีกไป.
               แม้นาคทั้งสองนั้นเดือดร้อน ได้ยืนแลดูสุนัขจิ้งจอกนั้นแล้ว.
____________________________
๑- ชงฺฆวิหาร ศัพท์นี้ แปลว่า เดินเที่ยวเล่นหรือพักแข้ง.
๒- ขุ. ชา. สัตตก. เล่ม ๒๗/ข้อ ๑๐๐๑; อรรถกถา ขุ. ชา. สัตตก. เล่ม ๒๗/ข้อ ๑๐๐๑.

               พระศาสดา ครั้นทรงแสดงเรื่องอดีตนี้แล้ว ตรัสว่า แม้ในอดีตกาล อุปนันทะนี้ได้กระทำพวกเธอให้เดือดร้อนอย่างนี้เหมือนกัน" ให้ภิกษุเหล่านั้นยินยอมแล้ว
               เมื่อจะทรงติเตียนพระอุปนันทะ จึงตรัสว่า
               "ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาผู้จะสั่งสอนผู้อื่น พึงให้ตนตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อนทีเดียว"
               ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
                         ๒. อตฺตานเมว ปฐมํ    ปฏิรูเป นิเวสเย
                         อถญฺญมนุสาเสยฺย    น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต.
                         บัณฑิตพึงตั้งตนนั่นแล ในคุณอันสมควรก่อน,
                         พึงสั่งสอนผู้อื่นในภายหลัง จะไม่พึงเศร้าหมอง.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า ปฏิรูเป นิเวสเย ได้แก่ พึงยังตนให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควร,
               พระศาสดาตรัสคำนี้ว่า
               "บุคคลใด ประสงค์จะสั่งสอนผู้อื่น ด้วยคุณมีความปรารถนาน้อยเป็นต้น หรือด้วยปฏิปทาของอริยวงศ์เป็นต้น บุคคลนั้นพึงยังตนนั่นแลให้ตั้งอยู่ในคุณนั้นก่อน;
               ครั้นตั้งตนไว้อย่างนั้นแล้ว พึงสั่งสอนผู้อื่น ด้วยคุณนั้นในภายหลัง
               ด้วยว่าบุคคล เมื่อไม่ยังตนให้ตั้งอยู่ในคุณนั้น สอนผู้อื่นอย่างเดียวเท่านั้น ได้ความนินทาจากผู้อื่นแล้ว ชื่อว่าย่อมเศร้าหมอง.
               บุคคล เมื่อยังตนให้ตั้งอยู่ในคุณนั้นแล้ว สั่งสอนผู้อื่นอยู่ ย่อมได้รับความสรรเสริญจากผู้อื่น เพราะฉะนั้น ชื่อว่าย่อมไม่เศร้าหมอง.
               บัณฑิต เมื่อทำอยู่อย่างนี้ ชื่อว่าไม่พึงเศร้าหมอง."
               ในกาลจบเทศนา ภิกษุสองรูปนั้นดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผล.
               เทศนาได้เป็นไปกับด้วยประโยชน์ แม้แก่มหาชน ดังนี้แล.

               เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ.               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท อัตตวรรคที่ ๑๒
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐]
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 21อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 22อ่านอรรถกถา 25 / 23อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=692&Z=720
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=23&A=1
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=23&A=1
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๕  พฤศจิกายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :