บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร? ได้ยินว่า พระเถระนี้เกิดในตระกูลพราหมณมหาศาล กรุงหงสาวดี ก่อนกว่าการเสด็จอุบัติของพระทศพลพระนามว่าปทุมุตตระ ทีเดียว ถึงความเป็นผู้รู้โดยลำดับ เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ไปสู่วิหารพร้อมกับมหาชนโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง ในเวลาแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย นั่งท้ายบริษัท ฟังธรรมอยู่ เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุ พระบรมศาสดาทรงตรวจดูอนาคตกาล ทรงเห็นความสำเร็จแห่งความปรารถนาของเขา จึงทรงพยากรณ์ว่า ในที่สุดแห่งแสนกัป ในอนาคตกาล พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ จักเสด็จอุบัติ เธอบวชในศาสนาของพระองค์แล้ว จักเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายธรรมกถึก ดังนี้. เขาทำคุณงามความดีอยู่ในมนุษยโลกจนตลอดชีวิต จุติจากมนุษยโลกแล้วสั่งสมบุญและญาณสมภารอีกแสนกัป ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ครั้นถึงศาสนาแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย บังเกิดเป็นหลานชายของพระอัญญาโกณฑัญญเถระ ในตระกูลพราหมณมหาศาลในหมู่บ้านพราหมณ์นามว่าโทณวัตถุ ไม่ไกลจากพระนครกบิลพัสดุ์. ในวันตั้งชื่อของเขา คนทั้งหลายได้ขนานนามเขาว่า ปุณ เมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้อภิสัมโพธิญาณ ทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ เสด็จไปสู่กรุงราชคฤห์โดยลำดับ ทรงเข้าไปอาศัยกรุงราชคฤห์นั้นประทับอยู่ ปุณณ สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า เราเป็นพราหมณ์ผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท อันศิษย์ห้อมล้อมแล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อุดมบุรุษ. พระมหามุนีพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงรู้แจ้งโลก ทรงรับเครื่องบูชาแล้ว ทรงประกาศกรรมของเราโดยย่อ เราได้ฟังธรรมนั้นแล้ว ได้ถวายบังคมพระศาสดา ประคองอัญชลี มุ่งหน้าเฉพาะทิศทักษิณกลับไป ครั้นได้ฟังธรรมโดยย่อแล้วแสดงได้โดยพิสดาร ศิษย์ทั้งปวงพอใจฟังคำของเราผู้ ในกัปที่ ๕๐๐ แต่ภัทรกัปนี้ มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ผู้ปรากฏด้วยดี ทรงสมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔. คุณพิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ก็กุลบุตรผู้บวชในสำนักของพระปุณณเถระนั้นได้มีประมาณ ๕๐๐ รูป. พระเถระสั่งสอนภิกษุแม้ทั้ง ๕๐๐ รูปเหล่านั้นด้วยกถาวัตถุ ๑๐ เพราะตัวท่านเองเป็นผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐. ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปเหล่านั้นตั้งอยู่ในโอวาทของท่านแล้ว บรรลุพระอรหัต. ภิกษุเหล่านั้นรู้ว่ากิจแห่งบรรพชิตของตนถึงที่สุดแล้ว จึงพากันไปหาพระอุปัชฌาย์ กล่าว พระเถระฟังคำของภิกษุเหล่านั้นแล้วคิดว่า พระศาสดาทรงทราบข้อที่เราเป็นผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐ เราเมื่อแสดงธรรมก็แสดงไม่ละทิ้งกถาวัตถุ ๑๐ เลย เมื่อเราไป ภิกษุเหล่านี้แม้ทั้งหมดจักห้อมล้อมเราไป การเข้าไปเฝ้าพระทศพล โดยระคนด้วยหมู่คณะอย่างนี้ ไม่สมควรแก่เราเลย ภิกษุเหล่านี้จงไปเฝ้าก่อนเถิด ดังนี้ กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงล่วงหน้าไปเฝ้าพระตถาคตเจ้า และจงถวายบังคมพระบาทของพระองค์ ตามคำของเราด้วย แม้เราก็จักติดตามไปตามทางที่ท่านทั้งหลายไปแล้ว. พระเถระเหล่านั้นแม้ทุกๆ รูปล้วนเคยอยู่ในแคว้นอันเป็นชาติภูมิของพระทศพล ทุกๆ รูปล้วนมีปกติได้กถาวัตถุ ๑๐ รับโอวาทของพระอุปัชฌาย์ของตนๆ แล้ว ไหว้พระเถระ เที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ล่วงทางประมาณ ๖๐ โยชน์ ตรงไปยังเชวตวันมหาวิหาร ในกรุงราชคฤห์ ถวายบังคมพระบาทของพระทศพลแล้ว นั่งลง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ก็การต้อนรับปราศรัยกับภิกษุผู้อาคันตุกะทั้งหลาย เป็นธรรมเนียมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลายสั่งสมแล้ว เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงทำปฏิสันถารกับภิกษุเหล่านั้น โดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพออดทนได้หรือ ดังนี้แล้ว ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เธอทั้งหลายมาจากไหน? ครั้นเมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบถึงชาติภูมิแล้ว จึงรับสั่งถามภิกษุผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐ ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้เป็นเพื่อนพรหมจารีผู้มีชาติภูมิอยู่ในถิ่นกำเนิดทั้งหลาย ใครหนอแลที่ถูกยกย่องว่า มีความปรารถนาน้อยด้วยตน และบอกสอนความปรารถนาน้อยแก่ภิกษุทั้งหลาย. แม้ภิกษุก็พากันกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระปุณณมันตานีบุตรนามว่าปุณณะ พระเจ้าข้า. ท่านพระสารีบุตรฟังคำนั้นแล้วได้มีความประสงค์จะพบพระเถระ (ปุณณะ). ลำดับนั้น พระศาสดาเสด็จจากกรุงราชคฤห์ไปยังพระนครสาวัตถีแล้ว. แม้พระปุณณเถระทราบว่า พระศาสดาเสด็จมาในที่นั้น แล้วไปด้วยคิดว่า เราจักเฝ้าพระศาสดา เข้าเฝ้าพระตถาคตเจ้า ภายในพระคันธกุฎีทีเดียว. พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่พระเถระ. พระเถระฟังธรรมแล้วถวายบังคมพระทศพล ไปสู่ป่าอันธวัน เพื่อหลีกเร้น แล้วนั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง. แม้พระสารีบุตรเถระทราบการมาของพระปุณณเถระ ไปจากสถานที่ซึ่งเคยมองดูอยู่เป็นประจำ สบโอกาสแล้วจึงเข้าไปหาพระปุณณเถระผู้นั่งอยู่ ณ โคนต้นไม้ สังสนทนากับพระเถระแล้ว จึงสอบถามถึงวิสุทธิกถา ๗ กะท่าน. แม้พระเถระก็พยากรณ์ปัญหาที่พระสารีบุตรนั้นถามแล้วๆ ยังจิตของพระสารีบุตรให้ยินดีด้วยข้ออุปมาด้วยสถานที่ซึ่งจะนำไปถึงได้ด้วยรถ. ท่านทั้งสองนั้นต่างฝ่ายต่างชื่นชมภาษิตของกันและกัน. ครั้นในเวลาต่อมา พระศาสดาประทับ ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ทรงตั้งพระเถระไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้เป็นพระธรรมกถึกทั้งหลาย ด้วยพระพุทธดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระปุณณะเลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้กล่าวธรรม ดังนี้. ในวันหนึ่ง ท่านพิจารณาถึงวิมุตติสมบัติของตนเกิดปีติและโสมนัสว่า เราและสัตว์เหล่าอื่นเป็นอันมากอาศัยพระบรมศาสดา หลุดพ้นจากสังสารทุกข์แล้ว การคบหาท่านผู้เป็นสัตบุรุษมีอุปการะมากหนอดังนี้ กล่าวคาถาที่ระบายกำลังของปีติออกไป ด้วยสามารถแห่งอุทานว่า บุคคลควรสมาคมกับสัตบุรุษ ผู้เป็นบัณฑิต ชี้แจงประโยชน์เท่านั้น เพราะธีรชนทั้งหลาย เป็น ผู้ไม่ประมาท เห็นประจักษ์ด้วยปัญญา ย่อมได้บรรลุ ถึงประโยชน์อย่างใหญ่ ประโยชน์อย่างลึกซึ้ง เห็น ได้ยาก ละเอียด สุขุม ดังนี้. บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า สพฺภิเรว แปลว่า ด้วยสัตบุรุษทั้งหลายเท่านั้น. ก็ในคาถานี้ พระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ท่านประสงค์เอาว่าสัตบุรุษ. ก็พระพุทธเจ้าเป็นต้นเหล่านั้นละธรรมของอสัตบุรุษทั้งหลายได้แล้วโดยไม่เหลือ และสรรเสริญคุณธรรมอันดียิ่ง เพราะบรรลุถึงพระสัทธรรมอย่างอุกฤษฏ์ ท่านจึงเรียกว่าเป็นสัตบุรุษ ผู้สงบระงับแล้ว. บทว่า สมาเสถ ความว่า พึงอยู่สม่ำเสมอ คืออยู่ร่วม. อธิบายว่า เมื่อเข้าใกล้ท่านเหล่านั้น สดับตรับฟัง และถึงทิฏฐานุคติของท่านเหล่านั้น ชื่อว่าพึงเป็นผู้อยู่ร่วม. บาทคาถาว่า ปณฺฑิเตหตฺถทสฺสิภิ เป็นคำกล่าวยกย่องชมเชยพระอริยเจ้าเหล่านั้น. ปัญญาท่านเรียกว่า ปณฺฑา ชื่อว่าเป็นบัณฑิต เพราะมีปัญญา ชื่อว่าบัณฑา นั้น. ต่อจากนั้นไป ก็ชื่อว่า อตฺถทสฺสิโน เพราะชี้ประโยชน์ต่างโดยประโยชน์ตนเป็นต้นโดยไม่วิปริต. พึงคบกับบัณฑิตผู้ชี้ประโยชน์เหล่านั้น. ถ้ามีคำถามว่า เพราะเหตุไร? ก็ตอบว่า เพราะสัตบุรุษเหล่านั้นเป็นบัณฑิต. อีกอย่างหนึ่ง เพราะท่านผู้เป็นบัณฑิต ย่อมบรรลุจตุราริยสัจนี้ อย่างนี้คือ ชื่อว่าบรรลุประโยชน์ เพราะเมื่อคบท่านเหล่านั้นโดยชอบก็มีแต่ประโยชน์ถ่ายเดียว และเพราะไม่ไกลจากมรรคญาณเป็นต้นทีเดียว. ชื่อว่าบรรลุความยิ่งใหญ่ เพราะมีคุณใหญ่ และเพราะความเป็นผู้สงบระงับ ชื่อว่าถึงความลึกซึ้ง เพราะหยั่งไม่ถึง และเพราะมีอารมณ์ คือญาณอันลึกซึ้ง ชื่อว่าเห็นได้ยาก เพราะผู้ที่มีฉันทะเป็นต้นหยาบไม่สามารถจะเห็นได้ และเพราะคนนอกนี้เห็นได้โดยยาก ชื่อว่าละเอียด เพราะเห็นได้ยาก และเพราะเป็นสถานที่ละเอียดอ่อน โดยเป็นอารมณ์ของญาณที่ละเอียดอ่อน ชื่อว่าบรรลุถึงพระนิพพาน ชื่อว่าสุขุม เพราะเป็นสภาวธรรมที่ละเอียดอ่อน และเพราะเป็นสภาพที่สุขุม หรือชื่อว่าบรรลุประโยชน์ เพราะมีประโยชน์อย่างยิ่งเป็นสภาพ โดยอรรถว่าไม่แปรผัน ชื่อว่าถึงความเป็นใหญ่ เพราะกระทำความเป็นพระอริยะ และเพราะเป็นนิมิตแห่งความยิ่งใหญ่ ชื่อว่าลึกซึ้ง เพราะมีความไม่ตื้นเป็นสภาพ ชื่อว่าเห็นได้ยาก เพราะเห็นได้โดยยาก คือไม่สามารถจะเห็นได้โดยง่าย ชื่อว่าเห็นได้ยาก เพราะลึกซึ้ง ชื่อว่าลึกซึ้ง เพราะเห็นได้ยาก จึงจัด บทว่า อปฺปมตฺตา ความว่า ยังข้อปฏิบัติคือความไม่ประมาทให้บริบูรณ์ ด้วยการไม่อยู่ปราศจากสติในที่ทั้งปวง. บทว่า วิจกฺขณา ความว่า เฉลียวฉลาดในวิปัสสนาภาวนา. เชื่อมความว่า เพราะฉะนั้น พึงอยู่ร่วมกันด้วยสัตบุรุษทั้งหลายนั้นเทียว. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปณฺฑิเตหตฺถทสฺสิภิ นี้เป็นปัญจมีวิภัตติ. เชื่อมความว่า เพราะเหตุที่ธีรชนทั้งหลายเป็นผู้ไม่ประมาท เห็นประจักษ์ด้วยปัญญา ย่อมบรรลุประโยชน์พิเศษ มีความเป็นผู้ยิ่งใหญ่เป็นต้น เพราะบัณฑิตทั้งหลายชี้ช่อง คือเป็นต้นเหตุ ฉะนั้น พึงคบกับด้วยสัตบุรุษเช่นนั้นอย่างเดียว. คาถานี้ของพระเถระก็จัดเป็นคาถาพยากรณ์อรหัตผลโดยการแสดงถึงปฏิเวธธรรม ฉะนี้แล. จบอรรถกถาปุณณมันตานีปุตตเถรคาถา ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ปฐมวรรค ๔. ปุณณมันตานีปุตตเถรคาถา จบ. |