ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 142อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 143อ่านอรรถกถา 26 / 144อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ปฐมวรรค
๖. สีตวนิยเถรคาถา

               อรรถกถาสัมภูตเถรคาถา               
               คาถาของท่านพระสัมภูตเถระเริ่มต้นว่า โย สีตวนํ ดังนี้.
               เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
               ได้ยินว่า นับถอยหลังจากนี้ไป ๑๑๘ กัป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าอัตถทัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ยังหมู่สัตวโลกพร้อมทั้งเทวโลก ให้ข้ามโอฆะใหญ่คือสงสาร วันหนึ่ง เสด็จไปถึงฝั่งแม่น้ำคงคา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์.
               ในครั้งนั้น พระเถระนี้เกิดในตระกูลคฤหบดี พบพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคานั้น มีใจเลื่อมใส เข้าไปเฝ้าแล้วถวายบังคม กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์มีพระพุทธประสงค์จะข้ามไปสู่ฝั่งโน้นหรือ พระเจ้าข้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า เราจักไป.
               เขาจึงจัดผูกเรือขนาน น้อมถวายในทันใดนั้นเอง.
               พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา จึงพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จลงสู่เรือแล้ว เขานำเรือข้ามไปด้วยตนเอง ยังพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ให้ถึงฝั่งโน้นโดยสะดวกสบาย แล้วถวายมหาทานในวันที่สอง ตามส่งเสด็จ มีจิตเลื่อมใส ถวายบังคมพระบรมศาสดา แล้วกลับไป.
               ด้วยบุญกรรมนั้น เขาจึงท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย นับแต่ภัทรกัปนี้ถอยหลังไป ๑๑๓ กัป เกิดในตระกูลกษัตริย์ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ธรรมิกราช. ท้าวเธอยังพสกนิกรให้ตั้งอยู่ในแนวทางแห่งสุคติ จุติจากมนุษยโลกนี้แล้ว บวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ในกัปที่ ๙๑ สมาทานธูตธรรม (ธรรมคือธุดงค์) อยู่ในป่าช้า บำเพ็ญสมณธรรมแล้ว.
               แม้ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสป เขาก็ออกบวชพร้อมด้วยสหายทั้ง ๓ ในศาสนาของพระองค์อีก แล้วบำเพ็ญสมณะอยู่ถึงสองหมื่นปี ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายอยู่ตลอดพุทธันดรหนึ่ง แล้วเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์มหาศาล ในพระนครราชคฤห์ ในพุทธุปบาทกาลนี้.
               คนทั้งหลายตั้งชื่อท่านว่า สัมภูตะ ท่านเจริญวัยแล้วประสบความสำเร็จในศิลปศาสตร์ของพราหมณ์. ท่านได้ไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยสหายทั้ง ๓ คือ ภูมิชะ เชยยเสนะและอภิราธนะ สดับพระธรรมเทศนาแล้วได้สัทธาปสาทะบรรพชาแล้ว ซึ่งพระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายหมายเอากล่าวไว้ว่า
                                   มาณพทั้ง ๔ เหล่านี้ คือ ภูมิชะ ๑ เชยยเสนะ ๑
                         สัมภูตะ ๑ อภิราธนะ ๑ ได้ตรัสรู้ธรรมในศาสนาของ
                         พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐและผู้คงที่.

               ครั้งนั้น พระสัมภูตเถระเรียนกายคตาสติกัมมัฏฐานในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า อยู่ในป่าสีตวันเป็นประจำ. ด้วยเหตุนั้นแล ท่านจึงมีนามปรากฏว่า "สีตวนียะ".
               ก็โดยสมัยนั้น ท้าวเวสวัณมหาราชเสด็จไปทางอากาศ มุ่งหน้าสู่ทิศทักษิณในชมพูทวีป ทอดพระเนตรเห็นพระเถระนั่งในอัพโภกาส มนสิการกัมมัฏฐานอยู่ จึงเสด็จลงจากวิมาน นมัสการพระเถระแล้วสั่งยักษ์ ๒ ตนว่า ถ้าพระเถระออกจากสมาธิในเวลาใด เจ้าจงบอกการมาของเราในเวลานั้น และจงถวายอารักขาพระเถระด้วย ดังนี้แล้วเสด็จหลีกไป.
               ยักษ์ทั้งสองเหล่านั้นยืนอยู่ใกล้พระเถระ แล้วบอกความนั้น ในเวลาที่พระเถระเลิกมนสิการนั่งอยู่แล้ว.
               พระเถระฟังคำนั้นแล้ว กล่าวว่า ท่านจงกราบทูลท้าวเวสวัณมหาราชตามคำของเรา ธรรมดาอารักขาคือสติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวางไว้ สำหรับผู้ที่ดำรงอยู่ในศาสนาของพระองค์นั้นนั่นแหละ จะรักษาบุคคลเช่นเรา ท่านจงเลิกสนใจในอารักขานั้น กิจที่จะพึงกระทำด้วยอารักขาเช่นนี้ ย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ตั้งอยู่ในโอวาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้แล้วส่งยักษ์ทั้งสองกลับไป เจริญวิปัสสนาแล้วกระทำให้แจ้งซึ่งหมวด ๓ แห่งวิชชาในทันใดนั้นเอง.
               ลำดับนั้น ท้าวเวสวัณเสด็จกลับมา เข้าไปใกล้พระเถระ รู้ว่าท่านสำเร็จพระอรหัตแล้ว ด้วยการสังเกตอาการเฉพาะหน้า จึงเสด็จไป กรุงสาวัตถี กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะยกย่องพระเถระต่อพระพักตร์ของพระบรมศาสดา จึงพรรณนาคุณทั้งหลายของพระเถระด้วยคาถานี้ว่า
                                   พระสัมภูตเถระสมบูรณ์ด้วยสติ เป็นเครื่องรักษา
                         มีปัญญา ประกอบด้วยความเพียร เป็นพุทธชิโนรส
                         มีวิชชา ๓ ถึงฝั่งแห่งมัจจุแล้ว ดังนี้.

               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวเป็นคาถาประพันธ์ไว้ในอปทานว่า
               ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าอัตถทัสสี ผู้เป็นจอมแห่งสัตว์ ๒ เท้า ประเสริฐกว่านระ แวดล้อมไปด้วยพระสาวกทั้งหลาย เสด็จไปสู่ฝั่งแม่น้ำคงคา แม่น้ำคงมีน้ำเอ่อเต็มฝั่ง กาพอที่จะดื่มได้ ข้ามได้ยาก เราส่งพระพุทธเจ้าผู้สูงกว่าสัตว์ และภิกษุสงฆ์
               ในกัปที่ ๑๑๘ แต่กัปนี้ เราได้ทำกรรมใดไว้ในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการข้ามส่งเสด็จพระพุทธเจ้า
               ในกัปที่ ๑๑๓ แต่กัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕ พระองค์พระนามว่าสัพโพภวะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการมีพลมาก
               และในภพสุดท้ายนั้น เราเกิดในตระกูลพราหมณ์ บวชในศาสนาของพระศาสดา พร้อมด้วยสหายทั้ง ๓ คุณพิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
               ครั้งนั้น ท่านพระสัมภูตะเห็นภิกษุทั้งหลายเดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านทั้งหลายจงถวายบังคมพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าตามคำของเราด้วย และจงกราบทูลอย่างนี้ ดังนี้แล้ว เมื่อจะประกาศความที่ตนไม่เบียดเบียนพระศาสดา อันจัดเป็นธรรมาธิกรณ์ จึงกล่าวคาถาว่า โย สีตวนํ ดังนี้.
               ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วถวายบังคม เมื่อจะกราบทูลให้ทรงทราบถึงสาสน์ของพระสัมภูตเถระ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสัมภูตะขอถวายบังคมพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า และกราบทูลอย่างนี้ดังนี้แล้ว กราบทูลข้อความนั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสัมภูตะเป็นบัณฑิต ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม และไม่เบียดเบียนเราผู้เป็นธรรมาธิกรณ์ เรื่องราวของพระสัมภูตะนั้น ท้าวเวสวัณบอกเราแล้วดังนี้.
               ก็ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลคาถาที่พระสัมภูตเถระกล่าวแล้วแด่พระบรมศาสดา ดังนี้ว่า
                                   ภิกษุใดมาสู่ป่าสีตวันแล้ว ภิกษุนั้นเป็นผู้อยู่แต่ผู้เดียว
                         สันโดษ มีจิตตั้งมั่น ชนะกิเลสได้แล้ว ปราศจากขนพองสยอง
                         เกล้า มีปัญญารักษากายคตาสติอยู่.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีตวนํ ได้แก่ ป่าช้าน่ากลัวกว้างใหญ่ ใกล้พระนครราชคฤห์ ที่ได้นามอย่างนี้.
               บทว่า อุปคา ได้แก่ เข้าถึงแล้วโดยถือเป็นที่อยู่.
               ด้วยบทว่า อุปคา นี้ ท่านแสดงถึงที่เป็นที่อยู่อาศัยอันสมควรแก่บรรพชิตอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว.
               บทว่า ภิกฺขู ความว่า ชื่อว่าภิกษุ เพราะเห็นภัยในสงสารและเพราะทำลายกิเลสได้แล้ว.
               บทว่า เอโก ความว่า ไม่มีเพื่อนสอง.
               ด้วยบทว่า เอโก นี้ ท่านแสดงถึงกายวิเวก.
               บทว่า สนฺตุสิโต ได้แก่ ผู้สันโดษ.
               ด้วยบทว่า สนฺตุสิโต นี้ ท่านแสดงถึงอริยวงศ์อันมีความสันโดษในปัจจัย ๔ เป็นลักษณะ.
               บทว่า สมาหิตตฺโต ความว่า มีจิตตั้งมั่นแล้วด้วยสมาธิอันต่างด้วยอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ.
               ด้วยบทว่า สมาหิตตฺโต นี้ ท่านแสดงถึงอริยวงศ์อันมีภาวนาเป็นที่มายินดี โดยมีวิเวกภาวนาเป็นประธาน.
               บทว่า วิชิตาวี ความว่า ชนะหมู่กิเลสอันพระโยคาวจรพึงชนะด้วยการปฏิบัติชอบในพระศาสนา.
               ด้วยบทว่า วิชิตาวี นี้ ท่านแสดงถึงอุปธิวิเวก.
               ภิกษุชื่อว่า อเปตโลมหํโส (ปราศจากขนลุกพองสยองเกล้า) เพราะมีกิเลสอันเป็นเหตุแห่งภัยปราศไปแล้ว.
               ด้วยบทว่า อเปตโลมหํโส นี้ ท่านแสดงถึงผลแห่งสัมมาปฏิบัติ.
               บทว่า รกฺขํ แปลว่า รักษาอยู่.
               บทว่า กายคตาสตึ ได้แก่ สติมีกายเป็นอารมณ์ คือไม่ละกายคตาสติกัมมัฏฐานด้วยสามารถแห่งการเพิ่มพูนไว้.
               บทว่า ธีติมา ได้แก่ ผู้มีปัญญา.
               บทว่า ธีติมา นี้ แสดงถึงข้อปฏิบัติอาศัยความที่ตนมีจิตตั้งมั่น หรือมีชัยชนะแจ้งชัดแล้ว
               ในคาถานี้มีความสังเขปดังนี้
               ภิกษุนั้นเป็นผู้ผู้เดียวมาสู่ป่าสีตวัน โดยมุ่งความสุขเกิดแต่วิเวกและเข้าไปแล้วก็เป็นผู้สันโดษ เพราะไม่มีความโลเล มีปัญญา มีกายคตาสติ เจริญกัมมัฏฐาน กระทำฌานที่ตนบรรลุแล้วอย่างนั้นให้เป็นบาท ขวนขวายวิปัสสนาที่ตนปรารถแล้ว มีจิตตั้งมั่น ด้วยมรรคอันเลิศที่ตนได้บรรลุแล้ว และชนะกิเลสได้แล้ว ชื่อว่าเป็นผู้ปราศจากขนพองสยองเกล้า เพราะมีเหตุแห่งภัยไปปราศแล้วโดยประการทั้งปวง โดยที่กระทำกิจสำเร็จแล้ว ดังนี้.

               จบอรรถกถาสัมภูตเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ปฐมวรรค ๖. สีตวนิยเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 142อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 143อ่านอรรถกถา 26 / 144อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=5006&Z=5010
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=1495
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=1495
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :