ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 268อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 269อ่านอรรถกถา 26 / 270อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๒
๒. โชติทาสเถรคาถา

               อรรถกถาโชติทาสเถรคาถา               
               คาถาของท่านพระโชติทาสเถระ เริ่มต้นว่า โย โข เต.
               เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
               แม้พระเถระนี้ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ บังเกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสิขี บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่งเห็นพระศาสดาเสด็จไปบิณฑบาต มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายผลมะลื่น.
               ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติ ในปาทิยัตถชนบท ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่าโชติทาสะ.
               เขาบรรลุนิติภาวะแล้ว อยู่ครอบครองเรือน วันหนึ่งเห็นพระมหากัสสปเถระเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้านของตน มีจิตเลื่อมใส ให้พระเถระฉันแล้ว ฟังธรรมในสำนักของพระเถระ ให้สร้างวิหารหลังใหญ่ บนภูเขาใกล้บ้านตน นิมนต์ให้พระเถระอยู่ในวิหารนั้น บำรุงด้วยปัจจัย ๔ ได้ความสลดใจ เพราะพระธรรมเทศนาของพระเถระ บวชแล้วเจริญวิปัสสนา ได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖ ต่อกาลไม่นานนัก.
               สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า๑-
               เราได้พบพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสธุลี เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านรชน โชติช่วงเหมือนต้นกรรณิการ์ ประทับนั่งอยู่ ณ ซอกภูเขา เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ประนมกรอัญชลีเหนือเศียรเกล้า แล้วเอาผลมะลื่นถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
               ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดในกาลนั้น ด้วยการถวายผลไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๙๓

               ก็พระเถระเป็นผู้มีอภิญญา ๖ แล้วเรียนพระไตรปิฏก ถึงความเป็นผู้ฉลาดเฉลียวเชี่ยวชาญในพระวินัยปิฏกเป็นพิเศษ เป็นผู้มีพรรษา ๑๐ และเป็นผู้สงเคราะห์บริษัท บริวาร เดินทางไปพระนครสาวัตถี เพื่อถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุทั้งหลายเป็นอันมาก เข้าไปสู่อารามของพวกเดียรถีย์ในระหว่างทาง เพื่อบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทางแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง เห็นพราหมณ์คนหนึ่งกำลังเผาตบะ ๕ อยู่ จึงกล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์ เมื่ออย่างหนึ่งถูกเผา อีกอย่างหนึ่งจะร้อนไปด้วยหรือ?
               พราหมณ์ฟังดังนั้นก็โกรธ พูดว่า ดูก่อนสมณะโล้นผู้เจริญ อย่างอื่นที่จะต้องเผาคืออะไร?
               พระเถระแสดงธรรมสอนพราหมณ์ ด้วยคาถาว่า
                         สิ่งที่ควรเผาเหล่านั้น คือ ความโกรธ ความริษยา
                         การเบียดเบียนผู้อื่น ความถือตัว ความแข่งดี
                         ความมัวเมา ความประมาท ตัณหา อวิชชา และ
                         ความข้องอยู่ในภพ ไม่ใช่รูปขันธ์.
               พราหมณ์นั้นและอัญญเดียรถีย์ทั้งปวง ในอารามแห่งเดียรถีย์นั้น ฟังโอวาทนั้นแล้ว พากันบวชในสำนักของพระเถระ. พระเถระไปสู่พระนครสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุเหล่านั้น ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พักอยู่ในพระนครสาวัตถี สิ้นวันเล็กน้อยแล้วย้อนกลับไปสู่ชาติภูมิของตนทีเดียว กล่าวสอนผู้ที่ถือว่า จะบริสุทธิ์ได้เพราะยัญ (คือการบวงสรวง) ซึ่งมีลัทธิต่างๆ กันในหมู่ญาติที่เข้าไปหาท่านเพื่อเยี่ยมเยียน ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาความว่า
                         ชนเหล่าใดแล พยายามในทางร้ายกาจ ย่อมเบียดเบียน
                         มนุษย์ทั้งหลาย ด้วยการกระทำอันเจือด้วยความผลุนผลัน
                         ก็ดี ด้วยการกระทำมีความประสงค์ต่างๆ ก็ดี ชนเหล่านั้น
                         กระทำทุกข์ให้ผู้อื่นฉันใด แม้ผู้อื่นก็ย่อมทำทุกข์ให้แก่
                         ชนเหล่านั้นฉันนั้น เพราะนรชนทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่ว
                         ก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผลแห่งกรรมที่ตนทำไว้นั้นโดยแท้ ดังนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เย เป็นคำแสดงความไม่แน่นอน.
               บทว่า เต เป็นปฏินิทเทส คือคำรับสมอ้างแสดงโดยไม่แน่นอนเหมือนกัน.
               แม้บททั้งสองก็สัมพันธ์เข้ากับบทว่า ชนา.
               บทว่า โข เป็นเพียงนิบาต.
               บทว่า เวฐมิสฺเสน ความว่า ด้วยการขันชะเนาะที่อวัยวะมีศีรษะเป็นต้น โดยการมัดด้วยเชือกหนังเป็นต้น
               บาลีเป็น เวธมิสฺเสน ดังนี้ก็มี. ความก็อย่างเดียวกันนั้น.
               บทว่า นานตฺเตน จ กมฺมุนา ความว่า ด้วยการฆ่า การประหาร การตัดอวัยวะมีมือและเท้าเป็นต้น และด้วยกรรมคือการเข้าไปฆ่าผู้อื่นมีอย่างต่างๆ มีการแทงด้วยหอกทีละน้อยจนกว่าจะตายเป็นต้น.
               บทว่า มนุสฺเส เป็นเพียงตัวอย่าง เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายว่า ได้แก่ ในสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่ง.
               บทว่า อุปรุนฺธนฺติ แปลว่า ย่อมเบียดเบียน.
               บทว่า ผรสูปกฺกมา ได้แก่ ประโยคที่ทารุณ. อธิบายว่า เป็นการกระทำของผู้ที่โหดร้าย.
               บทว่า ชนา ได้แก่ สัตว์ทั้งหลาย.
               บทว่า เตปิ ตตฺเถว กีรนฺติ ความว่า บุคคลผู้มีประการดังกล่าวแล้วเหล่านั้น เบียดเบียนผู้อื่นด้วยการทรมานเหล่าใด ย่อมถูกกระทำ คือสนองตอบอย่างนั้นเหมือนกันคือได้รับการทรมานอย่างนั้นแหละ. อธิบายว่า ย่อมเสวยทุกข์เห็นปานนั้นเหมือนกัน.
               ปาฐะว่า ตเถว กีรนฺติ ดังนี้ก็มี.
               ความก็ว่า ตนเองทำทุกข์ให้แก่คนเหล่าอื่นฉันใด ย่อมถูกคนเหล่าอื่นกระทำคือให้ถึงทุกข์อย่างนั้นเหมือนกัน.
               เพราะเหตุไร? เพราะกรรมจะไม่สาบสูญไปเลย.
               อธิบายว่า เพราะว่ากรรมที่ตนก่อไว้ โดยส่วนเดียวยังไม่ให้ผล จะไม่จากไป คือจะให้ผลเมื่อประจวบกับปัจจัยที่ยังเหลืออยู่.
               บัดนี้ พระเถระครั้นจำแนกข้อความที่กล่าวไว้โดยสังเขปว่า แม้ผู้อื่นก็ย่อมทำทุกข์ให้แก่ชนเหล่านั้นฉันนั้น ดังนี้แล้วเพื่อจะประกาศความที่สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน จึงได้กล่าวคาถาว่า ยํ กโรติ ดังนี้.
               คำเป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า
               สัตว์กระทำกรรมใดที่ดี คือเป็นกุศล หรือว่าที่ชั่วคือเป็นอกุศล และในกรรม ๒ อย่างนั้น เมื่อกระทำกรรมใด ย่อมชื่อว่ากระทำคือสั่งสมโดยกรรมนั้นสามารถจะให้ผล.
               บทว่า ตสฺส ตสฺเสว ทายาโท ความว่า เมื่อสัตว์ถือเอาผลแห่งกรรมนั้นๆ แล ชื่อว่าย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งผลอันกรรมนั้นพึงให้.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน มีกรรมเป็นทายาทดังนี้ เป็นต้น.๒-
____________________________
๒- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๕๘๑

               ญาติทั้งหลายของพระเถระฟังคาถาเหล่านี้แล้ว ตั้งอยู่แล้วในความเชื่อที่ว่า สัตว์มีกรรมเป็นของๆ ตน.

               จบอรรถกถาโชติทาสเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๒ ๒. โชติทาสเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 268อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 269อ่านอรรถกถา 26 / 270อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=5757&Z=5763
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=9070
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=9070
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :