ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 331อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 332อ่านอรรถกถา 26 / 333อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา จตุกกนิบาต
๑๐. ธรรมิกเถรคาถา

               อรรถกถาธัมมิกเถรคาถาที่ ๑๐               
               คาถาของท่านพระธัมมิกเถระมีคำเริ่มต้นว่า ธมฺโม หเว ดังนี้.
               เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
               พระเถระแม้นี้ได้ทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสิขี เป็นนายพรานเนื้อ วันหนึ่ง เมื่อพระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่เทพบริษัทในราวป่า ยึดเอานิมิตแห่งเทศนาว่า ธรรมนั่นพระองค์ตรัส ดังนี้.
               ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในโกศลรัฐ ได้นามว่าธัมมิกะ เจริญวัยแล้ว ได้ความเลื่อมใสในการรับพระเชตวันมหาวิหาร บวชแล้ว เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในอาวาสใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นผู้เพ่งโทษในวัตรและมิใช่วัตรของภิกษุทั้งหลายผู้อาคันตุกะอดทนไม่ได้ ด้วยเหตุนั้น ภิกษุทั้งหลายพากันละทิ้งวิหารนั้นหลีกไป.
               ท่านได้อยู่แต่ผู้เดียว อุบาสกผู้เป็นเจ้าของวิหาร ฟังเหตุนั้นแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
               พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุนั้นมาตรัสถามความนั้น เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ภิกษุนี้เป็นผู้ไม่อดทนแต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนเธอก็เป็นผู้ไม่อดทน อันภิกษุทั้งหลายทูลวิงวอนแล้ว จึงแสดงรุกขธรรม๑-
____________________________
๑- รุกขธรรมชาดก

               เมื่อจะทรงประทานโอวาทแก่เธอยิ่งๆ ขึ้นไปจึงตรัส ๔ คาถาว่า
                                   ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมอันบุคคล
                         ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมอัน
                         บุคคลผู้ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปทุคติ
                                   สภาพทั้งสองคือ ธรรมและอธรรม ย่อมมีวิบากไม่
                         เสมอกัน อธรรมย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อมนำไปสู่สุคติ
                         เพราะฉะนั้นแหละ บุคคลเมื่อบันเทิงอยู่ด้วยการให้โอวาท
                         ที่พระตถาคตผู้คงที่ตรัสไว้แล้วอย่างนี้ ควรทำความพอใจ
                         ในธรรมทั้งหลาย เพราะพระสาวกทั้งหลายของพระตถาคต
                         ผู้ประเสริฐ เป็นนักปราชญ์ ตั้งอยู่แล้วในธรรม นับถือธรรม
                         ว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุด ย่อมนำตนให้พ้นจากทุกข์ได้
                                   ผู้ใดกำจัดรากเหง้าแห่งหัวฝี ถอนข่ายคือตัณหาได้
                         แล้ว ผู้นั้นเป็นผู้สิ้นสงสาร ไม่มีกิเลสเครื่องกังวลอีก เหมือน
                         พระจันทร์ในวันเพ็ญ ปราศจากโทษฉะนั้น.

               บทว่า ธมฺโม ได้แก่ สุจริตธรรมทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ.
               บทว่า รกฺขติ ความว่า ย่อมรักษาจากอบายทุกข์ และรักษาไว้จากสังสารทุกข์ เป็นผู้มีพระนิพพานเป็นที่อาศัย.
               บทว่า ธมฺมจารึ ได้แก่ ผู้ประพฤติคือปฏิบัติธรรมนั้น.
               บทว่า สุจิณฺโณ ความว่า ธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้ว คือเชื่อกรรมและผลแห่งกรรม กระทำความยำเกรงโดยความเคารพสั่งสมไว้.
               บทว่า สุขํ ได้แก่ ความสุขทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ.
               ใน ๒ อย่างนั้น อันดับแรก โลกิยะได้แก่ธรรมต่างด้วยกามาพจรธรรมเป็นต้น ย่อมนำคือให้สำเร็จเป็นความสุขตามที่เป็นของตน ในปัจจุบัน ในการอุบัติ หรือในปริยายอื่นอีก.
               ส่วนโลกุตรสุขควรจะกล่าวได้ว่า ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรมอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานประพฤติแล้ว เพราะผู้ไม่มีธรรมอันเป็นอุปนิสัยก็ไม่มีพระนิพพาน.
               บทว่า เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี ความว่า ธรรมจารีบุคคลเมื่อประพฤติธรรมดีแล้ว ย่อมไม่ไปทุคติ อันมีการประพฤติธรรมดีนั้นเป็นเหตุ เพราะเหตุนั้น ธรรมเมื่อบุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมมีอานิสงส์เป็นกำไร.
               เพราะเหตุที่การไปสู่สุคติก็เพราะธรรมนั่นแหละ และการไปสู่ทุคติก็เพราะอธรรมนั่นแหละ ฉะนั้นเพื่อจะแสดงว่า สภาวะ ๒ เหล่านี้คือธรรมและอธรรมมีผลไม่ระคนกันและกัน จึงตรัสคาถาที่ ๒ โดยนัยมีอาทิว่า น หิ ธมฺโม ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อธมฺโม ได้แก่ ทุจริตอันเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรม.
               บทว่า สมวิปากิโน ได้แก่ มีวิบากเสมอกัน คือมีผลเสมอกัน.
               บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะธรรมและอธรรมมีวิบากต่างกัน ตามที่กล่าวแล้วนี้.
               บทว่า ฉนฺทํ ได้แก่ มีความพอใจในความเป็นผู้ใคร่จะทำ.
               บทว่า อิติ โมทมาโน สุคเตน ตาทินา ประกอบความว่า เมื่อบุคคลบันเทิง คือถึงความยินดีด้วยการให้โอวาท ที่พระตถาคตผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้ปฏิบัติชอบแล้ว เป็นผู้คงที่ คือเป็นเหตุในการถึงความเป็นผู้คงที่มีประการดังกล่าวแล้วอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ พึงทำความพอใจในธรรมทั้งหลาย.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงวัฏฏะด้วยอันดับคำมีประมาณเท่านี้ บัดนี้เมื่อจะทรงแสดงพระนิพพาน จึงตรัสคำมีอาทิว่า ธมฺเม ฐิตา ตั้งอยู่แล้วในธรรม.
               คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า
               เพราะเหตุที่พระสาวกของพระสุคตผู้ประเสริฐ และในบรรดาพระสุคตผู้ประเสริฐแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ เป็นนักปราชญ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้ถึงสรณะอันเลิศอย่างยิ่ง ย่อมนำออกคือย่อมออกจากทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้น โดยภาวะเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรมกล่าวคือสรณคมน์นั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นแล พึงกระทำฉันทะในธรรมทั้งหลาย.
               เมื่อพระศาสดาทรงแสดงธรรมด้วย ๓ คาถาเหล่านี้อย่างนี้ นั่งอยู่อย่างไรเทียว โดยกระแสแห่งเทศนาเจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๒-
               เมื่อก่อน เราเป็นพรานเนื้อเที่ยวอยู่ในไพรวันอันสงัดเงียบ ได้พบพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสธุลี อันหมู่เทวดาห้อมล้อม กำลังทรงประกาศสัจจะ ๔ ทรงแสดงอมตบท เราได้สดับธรรมอันไพเราะของพระพุทธเจ้าผู้เผ่าพันธุ์ของโลกพระนามว่าสิขี เรามีจิตเลื่อมใสในพระสุรเสียง เรายังจิตให้เลื่อมใสในพระองค์ท่านผู้ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอเหมือนแล้ว ข้ามพ้นภพที่ข้ามได้ยาก.
               ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้สัญญาใดในกาลนั้น ด้วยการได้สัญญานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในเสียง เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... ฯลฯ ... พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
____________________________
๒- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๑๐๘

               ท่านดำรงอยู่แล้วในพระอรหัตโดยประการนั้น.
               ก็แลครั้นท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะกราบทูลคุณวิเศษที่ตนบรรลุแด่พระศาสดา จึงได้พยากรณ์พระอรหัตผลด้วยคาถาสุดท้าย.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิปฺโผฏิโต แปลว่า กำจัดแล้ว. อธิบายว่า สลัดออกด้วยมรรคญาณ.
               บทว่า คณฺฑมูโล ได้แก่ อวิชชา.
               จริงอยู่ อวิชชานั้นย่อมไหล คือซ่านไป? ดูก่อนภิกษุ บทว่า คณฺโฑ แลเป็นชื่อแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ รวมความว่าเป็นมูล คือเป็นเหตุแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ชื่อว่าคัณฑะ หัวฝี เพราะประกอบด้วยมูลแห่งทุกข์ เพราะเป็นที่ไหลออกของสิ่งอันไม่สะอาดคือกิเลส เพราะเกิดขึ้น แก่ แตกดับและพองขึ้น สุก แตกไป.
               บทว่า ตณฺหาชาโล สมูหโต ความว่า ข่ายกล่าวคือตัณหาอันถอนได้แล้วด้วยมรรค.
               บทว่า โส ขีณสํสาโร น จตฺถิ กิญฺจนํ ความว่า เรานั้นชื่อว่าเป็นผู้สิ้นสงสารแล้ว เพราะเราละตัณหาและอวิชชาได้แล้วอย่างนี้ เพราะเราละมูลแห่งภพได้แล้วนั่นแล กิเลสเครื่องกังวลมีราคะเป็นต้น จึงไม่มีและเกิดขึ้นไม่ได้.
               บทว่า จนฺโท ยถา โทสินา ปุณฺณมาสิยํ ความว่า พระจันทร์ปราศจากโทษมีเมฆและหมอกเป็นต้น ในเวลาพระจันทร์เต็มดวงในวันเพ็ญฉันใด แม้เราก็ฉันนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ปราศจากกิเลสเครื่องกังวลมีราคะเป็นต้น เพราะบรรลุพระอรหัต ได้เป็นผู้มีส่วนแห่งธรรมอันบริบูรณ์ฉะนี้แล.

               จบอรรถกถาธัมมิกเถรคาถาที่ ๑๐               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา จตุกกนิบาต ๑๐. ธรรมิกเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 331อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 332อ่านอรรถกถา 26 / 333อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=6290&Z=6302
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=658
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=658
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :