ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 345อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 346อ่านอรรถกถา 26 / 347อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ปัญจกนิบาต
๑๒. โกสิยเถรคาถา

               อรรถกถาโกสิยเถรคาถาที่ ๑๒               
               คาถาของท่านพระโกสิยเถระ มีคำเริ่มต้นว่า โย เว ครูนํ ดังนี้.
               เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
               พระเถระแม้นี้ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี บังเกิดในเรือนมีตระกูล ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา วันหนึ่งเห็นพระศาสดา มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายท่อนอ้อย.
               ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ เขาตั้งชื่อท่านด้วยอำนาจโคตรว่าโกสิยะ.
               ท่านถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว เข้าไปหาท่านพระธรรมเสนาบดีเนืองนิตย์ ฟังธรรมในสำนักของท่าน. ท่านได้ศรัทธาในพระศาสนา เพราะได้ฟังธรรมนั้น ประกอบเนืองๆ ซึ่งพระกรรมฐาน ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๑-
               เราเป็นคนเฝ้าประตูอยู่ในพระนครพันธุมดี ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เรามีจิตเลื่อมใสโสมนัส ได้ถือเอาท่อนอ้อยมาถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด พระนามว่าวิปัสสี ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่.
               ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ เราได้ถวายอ้อยใดในกาลนั้น ด้วยการถวายอ้อยนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายท่อนอ้อย. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... ฯลฯ ... พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้วดังนี้.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๒๕

               ก็แลครั้นบรรลุพระอรหัตแล้วพิจารณาข้อปฏิบัติของตน เมื่อจะสรรเสริญการอยู่ร่วมกับครูและเข้าไปอาศัยสัปบุรุษจึงกล่าว ๕ คาถาเหล่านี้ว่า
                                   ผู้ใดเป็นธีรชน เป็นผู้รู้ถ้อยคำของครูทั้งหลาย อยู่ใน
                         โอวาทของครูนั้น และยังความเคารพให้เกิดในโอวาทของ
                         ครูนั้น ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้มีภักดี และชื่อว่าเป็นบัณฑิตและ
                         พึงเป็นผู้วิเศษ เพราะรู้ธรรมทั้งหลาย อันตรายร้ายแรงเกิด
                         แล้ว ไม่ครอบงำบุคคลใดผู้พิจารณาอยู่ บุคคลนั้นย่อมชื่อ
                         ว่ามีกำลัง ชื่อว่าเป็นบัณฑิต และพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรม
                         ทั้งหลาย ผู้ใดแลตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เหมือนมหาสมุทร มี
                         ปัญญาลึกซึ้ง เห็นเหตุผลอันละเอียด ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ง่อนแง่น
                         ไม่คลอนแคลน ชื่อว่าเป็นบัณฑิต และพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้
                         ธรรมทั้งหลาย ผู้ใดรู้เนื้อความแห่งสุภาษิต ครั้นรู้แล้วทำตาม
                         ที่รู้ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นบัณฑิต อยู่ในอำนาจเหตุผล และพึงเป็น
                         ผู้วิเศษ เพราะรู้ธรรมทั้งหลาย.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โย ได้แก่ ผู้ใดผู้หนึ่ง ในบรรดาบริษัท ๔ มีขัตติยบริษัทเป็นต้น.
               บทว่า เว แปลว่า เป็นผู้ปรากฏ.
               บทว่า ครูนํ ได้แก่ บัณฑิตผู้ประกอบด้วยคุณมีศีลเป็นต้น.
               บทว่า วจนญฺญู ได้แก่ ผู้รู้ถ้อยคำ คืออนุสาสนีของบัณฑิตเหล่านั้น อธิบายว่า เมื่อปฏิบัติตามคำพร่ำสอน ก็แลครั้นปฏิบัติแล้วรู้ผลแห่งการปฏิบัตินั้น.
               บทว่า วเส จ ตมฺหิ ชนเยถ เปมํ ความว่า พึงอยู่ในคำ คือในโอวาทของครูทั้งหลาย คือพึงปฏิบัติตามคำพร่ำสอน ครั้นปฏิบัติแล้ว พึงให้เกิดความรัก ความเคารพในคำพร่ำสอนเหล่านั้นว่า เราจักเป็นผู้ล่วงพ้นทุกข์มีชาติทุกข์เป็นต้นนี้ ด้วยโอวาทนี้หนอ.
               ก็คำทั้งสองนี้เป็นการกระทำความที่กล่าวแล้วนั่นแล ด้วยบททั้งสองว่า ธีรชนเป็นผู้รู้ถ้อยคำของครูทั้งหลาย ดังนี้ ให้ปรากฏ.
               บทว่า โส ความว่า ผู้ใดเป็นธีรชน รู้ถ้อยคำของครูทั้งหลาย ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้มีความภักดีในครูเหล่านั้น ด้วยการปฏิบัติตามที่พร่ำสอน และชื่อว่าบัณฑิตเพราะไม่ล่วงเลยข้อพร่ำสอนนั้น แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต.
               บทว่า ญตฺวา จ ธมฺเมสุ วิเสสิ อสฺส ความว่า ก็เมื่อปฏิบัติอย่างนั้น ถึงเป็นผู้วิเศษว่า เป็นผู้มีวิชชา ๓ มีอภิญญา ๖ บรรลุปฏิสัมภิทา ด้วยสามารถแห่งวิชชา ๓ ในธรรมทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ เพราะเหตุแห่งการรู้อริยสัจ ๔ ด้วยข้อปฏิบัตินั้นนั่นแล.
               บทว่า ยํ ความว่า อันตรายที่ปรากฏมีความเย็น ความร้อน ความหิวและความกระหายเป็นต้น และอันตรายที่ปกปิดมีราคะเป็นต้น อันได้โวหารว่าอันตราย เพราะทำอันตรายต่อการปฏิบัติ อุบัติคือเกิดขึ้นมากมาย คือมีกำลัง ย่อมไม่ข่มขี่บุคคล คือไม่ทำใครๆ ให้หวั่นไหว.
               ถามว่า เพราะเหตุไร?
               ตอบว่า เพราะไม่ครอบงำผู้พิจารณา.
               อธิบายว่า ผู้พิจารณาอยู่ คือผู้ตั้งอยู่ในกำลังแห่งการพิจารณา.
               บทว่า โส ความว่า ผู้ใดแม้ถูกอันตรายร้ายแรงยิ่งนักครอบงำ ผู้นั้นก็เป็นผู้ชื่อว่ามีกำลัง มีปัญญา มีความบากบั่นมั่นคง และชื่อว่าเป็นบัณฑิต เพราะพรั่งพร้อมด้วยกำลังคือปัญญา อันข่มฝ่ายกิเลสไม่มีส่วนเหลือ.
               คำว่า ก็ผู้เป็นเช่นนั้นแล พึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลายนั้น มีอรรถดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               บทว่า สมุทฺโทว ฐิโต ความว่า มีความตั้งอยู่เป็นสภาวะ เหมือนสมุทรฉะนั้น.
               เหมือนอย่างว่า มหาสมุทรใกล้เชิงเขาสิเนรุซึ่งลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ตั้งอยู่ไม่หวั่นไหว ไม่เอนเอียงไปด้วยลมตามปกติ ซึ่งตั้งขึ้นจากทิศทั้ง ๘ และลึกซึ้งฉันใด ธีรชนก็ฉันนั้น ตั้งอยู่ไม่หวั่นไหว ไม่เอนเอียงด้วยลมคือกิเลส และด้วยลมคือวาทะของพวกเดียรถีย์.
               ธีรชนชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาอันลึกซึ้งและผู้เห็นประโยชน์ เพราะรู้แจ้งอรรถแห่งปฏิจจสมุปบาทเป็นต้น อันลึกซึ้งหยั่งลงไม่ได้ ด้วยญาณสมภารที่ไม่เคยสั่งสมมาละเอียดสุขุม,
               บุคคลนั้นชื่อว่าเป็นบัณฑิตไม่ง่อนแง่น เป็นผู้คงที่ ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ง่อนแง่น เพราะไม่ง่อนแง่นด้วยกิเลส หรือด้วยเทวบุตรมารเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่าเป็นบัณฑิตเพราะอรรถที่กล่าวแล้ว
               คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               บทว่า พหุสฺสุโต ความว่า ชื่อว่าเป็นพหูสูต ด้วยอำนาจความเป็นพหูสูตในทางปริยัติ ชื่อว่าพหุสสุตะ เพราะได้สดับสุตตะและเคยยะเป็นต้นมาก และชื่อว่าทรงไว้ซึ่งธรรม เพราะทรงธรรมนั้นนั่นแหละไว้ไม่ให้พินาศไป เหมือนน้ำมันเหลวแห่งราชสีห์ที่เขาใส่ไว้ในภาชนะทองคำฉะนั้น.
               บทว่า ธมฺมสฺส โหติ อนุธมฺมจารี ความว่า ชื่อว่าประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม เพราะรู้อรรถรู้ธรรม ตามที่ฟังมา ตามที่เรียนมาแล้วประพฤติ คือปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่โลกุตรธรรม ๙ ธรรมต่างด้วยปาริสุทธิศีล ๔ ธุดงค์และอสุภกรรมฐานเป็นต้น กล่าวคือปุพพภาคปฏิปทา คือประพฤติหวังการแทงตลอดว่า วันนี้ วันนี้แหละ ดังนี้.
               บทว่า โส ตาทิโส นาม จ โหติ ปณฺฑิโต ความว่า บุคคลใดเป็นพหูสูต ทรงธรรมและประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม เพราะอาศัยครูใด บุคคลผู้นั้นแลเป็นผู้เช่นนั้น คือเป็นเสมือนกับครูนั้น ชื่อว่าเป็นบัณฑิต เพราะมีภาวะแห่งการปฏิบัติเหมือนกัน.
               ก็ข้อที่บุคคลผู้เป็นเช่นนั้น พึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลายนั้น มีเนื้อความกล่าวไว้แล้วแล.
               บทว่า อตฺถญฺจ โย ชานาติ ภาสิตสฺส ความว่า บุคคลใดย่อมรู้อรรถแห่งพระปริยัติธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว ก็เมื่อรู้ ย่อมรู้อรรถตามที่กล่าวแล้วในธรรมนั้นๆ ว่า ศีล ตรัสไว้ในที่นี้ สมาธิ ตรัสไว้ในที่นี้ ปัญญา ตรัสไว้ที่นี้ ดังนี้ แล้วกระทำโดยประการนั้น คือย่อมปฏิบัติตามที่พระศาสดาทรงพร่ำสอน.
               บทว่า อตฺถนฺตโร นาม ส โหติ ปณฺฑิโต ความว่า บุคคลนั้นคือเห็นปานนั้น เป็นผู้อยู่ภายในแห่งเหตุผล กระทำเหตุเพียงการรู้เหตุผล มีศีลเป็นต้นเท่านั้น เพราะเหตุแห่งผล ย่อมชื่อว่าเป็นบัณฑิต คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               ก็ในคาถาเหล่านี้ ด้วยคาถาต้น ท่านกล่าวถึงความเป็นผู้วิเศษอันมีศรัทธาเป็นอุปนิสัย โดยนัยมีอาทิว่า โย เว ครูนํ ดังนี้. ด้วยคาถาที่ ๒ ท่านกล่าวถึงความเป็นผู้วิเศษอันมีวิริยะเป็นอุปนิสัย โดยนัยมีอาทิว่า ยํ อาปทา ดังนี้. ด้วยคาถาที่ ๓ ท่านกล่าวถึงความเป็นผู้วิเศษอันมีสมาธิเป็นอุปนิสัย โดยนัยมีอาทิว่า โย เว สมุทฺโทว ฐิโต ดังนี้. ด้วยคาถาที่ ๔ ท่านกล่าวถึงความเป็นผู้วิเศษอันมีสติเป็นอุปนิสัย โดยนัยมีอาทิว่า พหุสฺสุโต ดังนี้. ด้วยคาถาที่ ๕ พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงความเป็นผู้วิเศษอันมีปัญญาเป็นอุปนิสัย โดยนัยมีอาทิว่า อตฺถญฺจ โย ชานาติ ดังนี้.

               จบอรรถกถาโกสิยเถรคาถาที่ ๑๒               
               จบปรมัตถทีปนี               
               อรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถา ปัญจกนิบาต               
               -----------------------------------------------------               

               พระเถระ ๑๒ รูปกล่าวคาถารูปละ ๕ คาถา รวมเป็น ๖๐ คาถา คือ
                         ๑. พระราชทัตตเถระ
                         ๒. พระสุภูตเถระ
                         ๓. พระคิริมานนทเถระ
                         ๔. พระสุมนเถระ
                         ๕. พระวัฑฒเถระ
                         ๖. พระนทีกัสสปเถระ
                         ๗. พระคยากัสสปเถระ
                         ๘. พระวักกลิเถระ
                         ๙. พระวิชิตเถระ
                         ๑๐. พระยสทัตตเถระ
                         ๑๑. พระโสณกุฏิกัณณเถระ
                         ๑๒. พระโกสิยเถระ
               จบปัญจกนิบาต               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ปัญจกนิบาต ๑๒. โกสิยเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 345อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 346อ่านอรรถกถา 26 / 347อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=6469&Z=6490
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=1877
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=1877
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :