ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 380อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 381อ่านอรรถกถา 26 / 382อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา จุททสกนิบาต
๑. เรวตเถรคาถา

               อรรถกถาเถรคาถา จุททสกนิบาต               
               อรรถกถาขทิรวนิยเรวตเถรคาถาที่ ๑               
               ในจุททสกนิบาต คาถาของท่านพระขทิรวนิยเรวตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ยถา อหํ ดังนี้,
               เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นเป็นอย่างไร?
               คาถาของท่านบางอย่างมาแล้วในเอกนิบาตในหนหลัง.
               ก็ในเรื่องนั้น ท่านแสดงถึงเหตุเพียงให้เกิดสติในหลานๆ ของตน เพราะฉะนั้น คาถาท่านจึงสงเคราะห์เข้าในเอกนิบาต แต่คาถาเหล่านี้ ท่านประกาศถึงข้อปฏิบัติจำเดิมแต่พระเถระบวชแล้วจนถึงปรินิพพาน ยกขึ้นสังคายนาในจุททสกนิบาตนี้.
               ในข้อนั้น เหตุเกิดเรื่อง ท่านกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
               แต่ข้อนี้มีความแปลกกันดังต่อไปนี้ว่า
               ได้ยินว่า พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้วไปยังที่อุปัฏฐากพระศาสดาและของพระมหาเถระมีพระธรรมเสนาบดีเป็นต้น อยู่ในที่นั้นเพียงวันเล็กน้อยเท่านั้น ก็กลับมาป่าไม้ตะเคียนนั่นแล ยับยั้งอยู่ด้วยสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติ และด้วยพรหมวิหารธรรม.
               เมื่อกาลล่วงไปด้วยอาการอย่างนี้ วัยถึงคร่ำคร่าเจริญโดยลำดับ.
               วันหนึ่ง ท่านไปยังที่บำรุงพระพุทธเจ้า อยู่ในที่ไม่ไกลแต่กรุงสาวัตถี ในระหว่างทาง. ก็โดยสมัยนั้น พวกโจรกระทำการปล้นในพระนคร ถึงพวกมนุษย์ผู้อารักขาไล่ติดตาม พากันหนีไปทิ้งห่อสิ่งของที่ลักมาในที่ใกล้พระเถระ. พวกมนุษย์ติดตามเห็นภัณฑะในที่ใกล้พระเถระ แล้วพาไปด้วยหมายว่าเป็นโจร จึงแสดงแด่พระราชาว่า ผู้นี้เป็นโจรพระเจ้าข้า.
               พระราชารับสั่งให้ปล่อยพระเถระแล้วตรัสถามว่า ท่านขอรับ ท่านกระทำโจรกรรมนี้หรือไม่?
               พระเถระเพื่อจะประกาศกรรมเช่นนั้นที่ตนไม่เคยกระทำตั้งแต่เกิดมาก็จริง ถึงกระนั้นกรรมนั้นอาตมาก็มิได้ทำ เพราะตัดกิเลสได้เด็ดขาด และไม่ควรกระทำในกรรมเช่นนั้น เมื่อจะแสดงธรรมแก่ภิกษุผู้อยู่ในที่ใกล้และแก่พระราชา
               จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า
                                   นับแต่เราออกบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ไม่รู้สึกถึงความ
                         ดำริอันไม่ประเสริฐ ประกอบด้วยโทษเลย ในระยะกาลนาน
                         ที่เราบวชอยู่นี้ เราไม่รู้สึกถึงความดำริว่า ขอให้สัตว์เหล่านั้น
                         จงถูกฆ่า ถูกเขาเบียดเบียน จงได้รับทุกข์
                                   เรารู้สึกแต่การเจริญเมตตาอันหาประมาณมิได้ อบรม
                         สั่งสมดีแล้วโดยลำดับ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว เรา
                         ได้เป็นมิตรเป็นสหายของสัตว์ทั้งปวง เป็นผู้อนุเคราะห์สัตว์ทั้ง
                         ปวง ยินดีแล้วในการไม่เบียดเบียน เจริญเมตตาจิตอยู่ทุกเมื่อ
                                   เรายังจิตอันไม่ง่อนแง่น ไม่กำเริบให้บันเทิงอยู่ เจริญ
                         พรหมวิหารอันบุรุษผู้เลวทรามไม่ซ่องเสพ สาวกของพระสัมมา
                         สัมพุทธเจ้า เป็นผู้เข้าทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจาร ประกอบด้วย
                         ความเป็นผู้นิ่งป็นอริยะ โดยแท้จริง
                                   ภูเขาศิลาล้วนไม่หวั่นไหว ตั้งอยู่คงที่ แม้ฉันใด ภิกษุก็
                         ฉันนั้น ย่อมไม่หวั่นไหวดุจบรรพต เพราะสิ้นโมหะ ความชั่ว
                         แม้มีประมาณเท่าปลายขนทราย ย่อมปรากฏเหมือนประมาณ
                         เท่าหมอกเมฆ แก่ท่านผู้ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน ผู้แสวงหาความ
                         สะอาดเป็นนิตย์
                                   เมืองหน้าด่านเป็นเมืองอันเขาคุ้มครองแล้วทั้งภายใน
                         และภายนอกฉันใด ท่านทั้งหลายจงคุ้มครองตนฉันนั้นเถิด
                         ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เราไม่ยินดีต่อความ
                         ตายไม่เพลิดเพลินต่อความเป็นอยู่ แต่เรารอเวลาตาย เหมือน
                         ลูกจ้างคอยให้หมดเวลาทำงานฉะนั้น เราไม่ยินดีความตาย
                         ไม่เพลิดเพลินความเป็นอยู่ แต่เรามีสติสัมปชัญญะรอท่าเวลา
                         ตาย
                                   พระศาสดาเราคุ้นเคยแล้ว เราทำคำสั่งสอนของพระพุทธ
                         เจ้าเสร็จแล้ว ปลงภาระอันหนักลงแล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่
                         ภพแล้ว ได้บรรลุประโยชน์ที่กุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตต้อง
                         การแล้ว บรรลุถึงความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวง ท่านทั้งหลายจงยัง
                         ความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด นี้เป็นคำสอนของเรา เราจัก
                         อำลาท่านทั้งหลาย ปรินิพพานในบัดนี้ เพราะเราเป็นผู้หลุดพ้น
                         แล้วจากกิเลสทั้งปวง.

               ในคาถานั้นมีการพรรณนาตามลำดับบทดังต่อไปนี้ว่า
               บทว่า อิมสฺมึ ทีฆมนฺตเร ประกอบความว่า ในกาลใดเราเป็นบรรพชิต ตั้งแต่นั้นมาก็นี้เป็นกาลนานของเรา ในกาลระยะยาวเช่นนี้ เราไม่รู้ความตรึกอันประกอบด้วยโทษอันไม่ประเสริฐ ด้วยอำนาจอภิชฌาว่า นี้เป็นเหตุของเรา หรือด้วยอำนาจพยาบาทว่า ขอสัตว์เหล่านี้จงถูกฆ่า.
               บทว่า เมตฺตญฺจ อภิชานามิ ความว่า ชื่อว่าเมตตา เพราะเป็นเหตุเยื่อใยคือสิเนหา ได้แก่ความไม่พยาบาท. ชื่อว่าเมตตา เพราะมีความรักใคร่ ความเจริญเมตตา ได้แก่ พรหมวิหารธรรมมีเมตตาเป็นอารมณ์, ซึ่งเมตตานั้น. ท่านสงเคราะห์พรหมวิหารนอกนี้ ด้วยศัพท์ว่า เมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา.
               บทว่า อภิชานามิ ความว่า เรารู้โดยเฉพาะหน้า.
               จริงอยู่ เมื่อพิจารณาถึงฌานที่บรรลุแล้ว เป็นอันชื่อว่ามุ่งหน้าต่อปัจจเวกขณญาณ เพื่อเลี่ยงคำถามว่าประมาณเท่าไร ท่านจึงกล่าวว่า หาประมาณมิได้เป็นต้น. ก็ฌานนั้นนั้นชื่อว่าหาประมาณมิได้ เพราะมีสัตว์หาประมาณมิได้เป็นอารมณ์ เหมือนฌานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว.
               ประกอบความว่า เรารู้เฉพาะฌานนี้ที่ชื่อว่าเจริญดีแล้ว เพราะเจริญด้วยดี ที่ชื่อว่าอบรม คือเสพคุ้นแล้วโดยลำดับคือตามลำดับอย่างนี้ คือเมตตาที่หนึ่ง จากนั้นกรุณา จากนั้นมุทิตา ภายหลังอุเบกขา, ชื่อว่าเป็นมิตรของคนทั้งปวง เพราะเป็นมิตรของสัตว์ทั้งปวง หรือคนทั้งปวงเป็นมิตรของเรา,
               จริงอยู่ ผู้เจริญเมตตาย่อมเป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลาย.
               แม้ในบทว่า สพฺพสโข นี้ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               บทว่า สพฺพภูตานุกมฺปโก ได้แก่ ผู้อนุเคราะห์สัตว์ทั้งปวง.
               บทว่า เมตฺตจิตฺตญฺจ ภาเวมิ ความว่า เรายังจิตให้เกิด คือยังจิตที่ประกอบคือที่สัมปยุตด้วยเมตตาให้เจริญโดยพิเศษ หรือประกาศเพราะถึงความสูงสุดในภาวนาแม้ในเมื่อไม่กล่าว. อีกอย่างหนึ่งว่า เราเจริญเมตตาจิต, ความแห่งคำนั้นมีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
               บทว่า อพฺยาปชฺชรโต ความว่า ยินดียิ่งในความเบียดเบียน คือในการนำประโยชน์เกื้อกูลเข้าไปให้แก่สัตว์ทั้งหลาย.
               บทว่า สทา แปลว่า ทุกๆ กาล. ด้วยคำนั้นท่านแสดงถึงการกระทำความเพียรเป็นไปติดต่อในกาลนั้น.
               บทว่า อสํหิรํ แปลว่า ไม่ง่อนแง่น คือไม่ถูกราคะอันเป็นข้าศึกใกล้ไม่คร่ามา.
               บทว่า อสงฺกุปฺปํ แปลว่า ไม่กำเริบ คือไม่กำเริบด้วยพยาบาทอันเป็นข้าศึกไกล. ครั้นกระทำให้เป็นอย่างนี้ ย่อมบันเทิงทั่วคือบันเทิงยิ่งซึ่งเมตตาจิตของเรา คือเจริญพรหมวิหาร.
               บทว่า อกาปุริสเสวิตํ ความว่า เราทำให้เกิดคือเจริญซึ่งเมตตาพรหมวิหารเป็นต้นอันประเสริฐ คือเลิศ ได้แก่หาโทษมิได้ อันคนชั่วคือต่ำช้าไม่เสพแล้ว หรืออันคนไม่ชั่วคือพระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเสพแล้ว.
               ครั้นแสดงข้อปฏิบัติของตนด้วย ๕ คาถา โดยยกตนขึ้นแสดงอย่างนี้ บัดนี้เมื่อจะแสดงข้อปฏิบัตินั้นโดยอ้างถึงพระอรหัตผล จึงได้กล่าว ๔ คาถาโดยนัยมีอาทิว่า อวิตกฺกํ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวิตกฺกํ สมาปนฺโน ความว่า ถึงพร้อมซึ่งฌานมีทุติยฌานเป็นต้น อันเว้นแล้วจากวิตก.
               ด้วยคำนั้น พระเถระกล่าวการบรรลุฌานมีทุติยฌานเป็นต้นด้วยตนเอง โดยอ้างถึงพระอรหัตผล ด้วยพรหมวิหารภาวนา ก็เพราะเหตุที่พระเถระกระทำฌานนั้นนั่นแลให้เป็นบาทแล้ว เจริญวิปัสสนาแล้วยึดเอาพระอรหัต โดยอาสนะเดียวนั่นเอง ฉะนั้นเมื่อจะแสดงความนั้นโดยอ้างเอาพระอรหัตผลนั่นแล จึงกล่าวว่า อวิตกฺกํ สมาปนฺโน ดังนี้แล้วกล่าวว่า สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เข้าถึงความเป็นผู้นิ่งแบบพระอริยะในขณะนั้น.
               ในข้อนั้น สมาบัติอันไม่มีวิตกไม่มีวิจาร เพราะไม่มีวจีสังขาร พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า เป็นความนิ่งแบบพระอริยะ. ก็สมาบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่าเป็นความนิ่งแบบพระอริยะ เพราะพระบาลีว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพวกเธอประชุมกันพึงทำกิจ ๒ อย่าง คือเป็นผู้กล่าวธรรมหรือเป็นผู้นิ่งแบบพระอริยะ แต่ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาสมาบัติอันสัมปยุตด้วยอรหัตผลอันประกอบด้วยฌานที่ ๔.
               บัดนี้ เมื่อจะประกาศความที่ตนไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรมด้วยอุปมา เพราะความที่ตนบรรลุพระอรหัตผลนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาว่า ยถาปิ ปพฺพโต ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถาปิ ปพฺพโต เสโล ความว่า ภูเขาอันล้วนแล้วแต่หิน คืออันล้วนแล้วแต่หินเป็นแท่งทึบฉันใด. อธิบายว่า ไม่ใช่ภูเขาดินร่วน ไม่ใช่ภูเขาปนดิน.
               บทว่า อจโล สุปฺปติฏฺฐิโต ความว่า เป็นภูเขามีรากตั้งอยู่แล้วด้วยดี ไม่หวั่นไหวสะเทือนด้วยลมตามปกติ เพราะฉะนั้น พระอรหัตและนิพพาน ชื่อว่าละโมหะได้เด็ดขาด เพราะภิกษุไม่หวั่นไหว เหตุโมหะสิ้นไปด้วยอาการอย่างนี้ ดุจภูเขาฉะนั้น
               คือภิกษุละอกุศลทั้งปวงได้แล้ว เพราะอกุศลทั้งปวงมีโมหะเป็นมูล ย่อมไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรมทั้งหลาย เหมือนภูเขานั้นย่อมไม่สะเทือนด้วยลมฉะนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า เพราะเหตุที่พระอรหัตและพระนิพพาน ท่านเรียกว่าธรรมเป็นที่สิ้นโมหะ ฉะนั้นจึงชื่อว่าโมหักขยา เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้ตั้งอยู่ด้วยดีแล้วในอริยสัจ ๔ เพราะเหตุธรรมเป็นที่สิ้นโมหะ และเพราะบรรลุพระนิพพานและอรหัต แม้ในเวลาไม่เข้าสมาบัติก็ไม่หวั่นไหว เหมือนภูเขา จะป่วยกล่าวไปไยถึงผู้เข้าสมาบัติเล่า.
               บัดนี้เมื่อจะแสดงว่า ชื่อว่าบาปนี้ ภิกษุผู้มีศีลไม่สะอาดเท่านั้นย่อมประพฤติ ส่วนภิกษุผู้มีศีลสะอาดหาประพฤติไม่ ก็บาปสำหรับผู้มีศีลสะอาดนั้น แม้มีประมาณน้อย ก็ปรากฏเป็นของหนัก จึงกล่าวคาถามีอาทิว่า อนงฺคณสฺส ดังนี้.
               คำแห่งคาถานั้นมีอธิบายดังนี้ว่า
               ความชั่วมีประมาณเท่าปลายขนทราย ประมาณเท่าปลายผม แม้มีประมาณเล็กน้อยแห่งบาป ของสัปบุรุษผู้ชื่อว่าไม่มีกิเลสเครื่องยียวน เพราะไม่มีกิเลสเครื่องยียวนมีราคะเป็นต้น ผู้แสวงหาธรรมอันสะอาดหาโทษมิได้ ตั้งแผ่ทั่วโลกธาตุปรากฏเป็นเพียงอากาศ เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายว่า ไม่พึงหวังบุคคลผู้เช่นเราในกรรมเห็นปานนี้.
               เมื่อจะให้โอวาทว่า เพราะเหตุที่พวกคนอันธพาลทำความว่าร้ายเห็นปานนั้น ให้เกิดขึ้นแม้ในผู้ไม่มีกิเลส ฉะนั้นผู้ใคร่ต่อประโยชน์พึงรักษาตนโดยเคารพ. จึงกล่าวคาถามีอาทิว่า นครํ ยถา ดังนี้.
               คาถานั้นมีอธิบายว่า
               เหมือนอย่างว่า ปัจจันตนครอันมนุษย์ชาวเมืองปัจจันตนครกระทำประตูและกำแพงเป็นต้นให้มั่นคง ชื่อว่าทำให้มั่นคงในภายใน เมื่อกระทำเชิงเทินแลคูเป็นต้นให้มั่นคง ชื่อว่าทำให้มั่นคงในภายนอก เพราะฉะนั้น ชื่อว่ากระทำให้เป็นอันคุ้มครองทั้งภายในและภายนอกฉันใด พวกเธอทั้งหลายก็ฉันนั้น จงอย่าปล่อยสติที่เธอเข้าไปตั้งไว้ ปิดทวารทั้ง ๖ ที่เป็นไปในภายในแล้ว รักษาทวารไว้แล้ว กระทำทวารเหล่านั้นให้มั่นคงด้วยการไม่ยึดถือโดยประการที่อายตนะภายนอก ๖ ที่ยึดถือไว้ เป็นไปเพื่อกระทบอายตนะภายใน ไม่ละสติที่รักษาทวาร โดยไม่ให้เข้าไปสู่อายตนะเหล่านั้น เที่ยวไปอยู่ ชื่อว่าคุ้มครองตน.
               เพราะเหตุไร?
               เพราะขณะอย่าได้ล่วงเธอทั้งหลายไปเสีย.
               จริงอยู่ ขณะทั้งหมดนี้ คือขณะเป็นที่อุบัติแห่งพระพุทธเจ้า ขณะได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ขณะอุบัติในมัชฌิมประเทศ ขณะได้สัมมาทิฏฐิ ขณะไม่บกพร่องอายตนะ ๖ ย่อมล่วงบุคคลผู้ไม่คุ้มครองตนด้วยอาการอย่างนี้, ขณะนั้น อย่าล่วงท่านทั้งหลายไปเสียดังนี้แล.
               พระเถระ ครั้นโอวาทบริษัทพร้อมด้วยราชบริพารด้วยคาถานี้ ด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อจะประกาศความที่ตนมีจิตเสมอในมรณะและชีวิต และกิจที่ตนทำเสร็จแล้วอีก จึงกล่าวคำว่า นาภินนฺทามิ มรณํ ไม่ยินดียิ่งซึ่งความตายดังนี้เป็นต้น.
               คำนั้นมีอรรถดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
               ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เห็นกาลปรินิพพานแห่งตนปรากฏ จึงให้โอวาทแก่พวกเหล่านั้นโดยสังเขปนั่นแล.
               เมื่อจะประกาศพระนิพพาน จึงกล่าวคาถาสุดท้าย.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺปาเทถปฺปมาเทน ความว่า เธอทั้งหลายจงยังสิกขา ๓ มีทานและศีลเป็นต้น ที่ควรให้ถึงพร้อม ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด, จงเป็นผู้ไม่ประมาทในการตามรักษาศีลอันเป็นไปแก่คฤหัสถ์ อันต่างด้วยประโยชน์ในปัจจุบันและประโยชน์ในเบื้องหน้า ในการตามประกอบสมถะและวิปัสสนาภาวนา.
               บทว่า เอสา เม อนุสาสนี ความว่า การพร่ำสอนว่า ท่านทั้งหลายจงไม่ประมาทในทานและศีลเป็นต้น นี้เป็นคำพร่ำสอน คือเป็นโอวาทของเรา.
               ครั้นแสดงข้อปฏิบัติอันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างนี้แล้ว เมื่อจะถือเอาที่สุดแห่งข้อปฏิบัติอันเป็นประโยชน์ตน จึงกล่าวว่า เอาเถอะ เราจักปรินิพพาน เราเป็นผู้หลุดพ้นแล้วในที่ทุกสถาน.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิปฺปมุตฺโตมฺหิ สพฺพธิ ความว่า เราเป็นผู้หลุดพ้นแล้วจากกิเลสและภพทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง เพราะเหตุนั้น เราจักปรินิพพานโดยส่วนเดียวฉะนี้แล.
               ก็แล ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วนั่งขัดสมาธิเข้าฌานมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์ เมื่อไฟลุกโพลงอยู่ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.

               จบอรรถกถาขทิรวนิยเรวตเถรคาถาที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา จุททสกนิบาต ๑. เรวตเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 380อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 381อ่านอรรถกถา 26 / 382อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=7214&Z=7241
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=6063
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=6063
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :