ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 456อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 457อ่านอรรถกถา 26 / 458อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรีคาถา ฉักกนิบาต
๗. คุตตาเถรีคาถา

               ๗. อรรถกถาคุตตาเถรีคาถา               
               คาถาว่า คุตฺเต ยทตฺถํ ปพฺพชฺชา ดังนี้เป็นต้นเป็นคาถาของพระคุตตาเถรี.
               พระเถรีแม้รูปนี้ก็บำเพ็ญบารมีมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สะสมกุศลซึ่งเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานมาในภพนั้นๆ รวบรวมธรรมเครื่องปรุงแต่งวิโมกข์มาโดยลำดับ มีกุศลมูลแก่กล้าแล้ว ท่องเที่ยวไปในสุคติเท่านั้น
               ในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล กรุงสาวัตถีนี้ นางได้มีชื่อว่าคุตตา. คุตตานั้นรู้เดียงสาแล้ว ถูกอุปนิสัยสมบัติคอยตักเตือนอยู่ เกลียดการอยู่ครองเรือน ขออนุญาตบิดามารดาแล้ว ก็บวชในสำนักของพระมหาปชาบดีโคตมี.
               ครั้นบวชแล้วเริ่มตั้งวิปัสสนา ประกอบภาวนาอยู่เนืองๆ จิตของนางก็พล่านไปในอารมณ์ภายนอก เพราะเก็บสะสมมาช้านาน หามีอารมณ์เดียวเป็นสมาธิไม่
               พระศาสดาทรงเห็น เมื่อจะทรงอนุเคราะห์พระเถรีทรงแผ่รัศมีไป เหมือนประทับนั่งในพระคันธกุฎี ทรงแสดงพระองค์คล้ายประทับนั่งบนอากาศใกล้กับนางคุตตานั้น
               เมื่อทรงโอวาทได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า
                                   ดูก่อนคุตตา การละบุตรสมบัติและของรัก ออก
                         บวชเพื่อประโยชน์แก่นิพพานอันใด เธอจงพอกพูน
                         นิพพานอันนั้นเนืองๆ เถิด เธออย่าตกอยู่ในอำนาจ
                         จิตนะ
                                   สัตว์ทั้งหลายผู้ไม่รู้แจ้ง ถูกจิตลวงแล้ว ยินดีใน
                         วิสัยคืออารมณ์ของมาร พากันท่องเที่ยวไปสู่ชาติสงสาร
                         มิใช่น้อย ก็ไม่รู้
                                   ดูก่อนภิกษุณี เธอจงละขาดสังโยชน์อันเป็นส่วน
                         เบื้องต่ำเหล่านี้ คือ กามฉันทะ พยาบาท สักกายทิฏฐิ
                         สีลัพพตปรามาส และวิจิกิจฉาเป็นที่ครบ ๕ เธออย่ากลับ
                         มาสู่กามภพอีกนะ
                                   เธอจงละเว้นราคะ มานะ อวิชชา อุทธัจจะและ
                         ตัดสังโยชน์ทั้งหลาย ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เธอทำ
                         ชาติสงสารให้สิ้นไปแล้ว กำหนดรู้ภพใหม่ หมดความ
                         ทะยานอยาก จักเป็นผู้สงบระงับ เที่ยวไปในปัจจุบัน.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยทตฺถํ ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่การดับสนิทแห่งกิเลส และการดับสนิทแห่งขันธ์อันใด.
               บทว่า หิตฺวา ปุตฺตํ วสุํ ปิยํ ได้แก่ การละเครือญาติและกองแห่งโภคะอันพึงรัก ปรารถนาการบวชในศาสนาของเรา คือการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์.
               บทว่า ตเมว อนุพฺรูเหหิ ได้แก่ เธอพึงเจริญ คือพึงให้นิพพานนั้นถึงพร้อม.
               บทว่า มา จิตฺตสฺส วสํ คมิ ได้แก่ เธออย่าตกอยู่ในอำนาจของจิตที่โกง ซึ่งเติบโตด้วยอารมณ์มีรูปเป็นต้นมานาน.
               ก็เพราะเหตุที่ปุถุชนคนบอด ถูกจิตใดหลอกลวงแล้ว ขึ้นชื่อว่าจิตนั้นเปรียบด้วยมายากล สัตว์เหล่านั้นตกอยู่ในอำนาจของมารย่อมล่วงสงสารไปหาได้ไม่ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสคำว่า จิตฺเตน วญฺจิตา ดังนี้ เป็นต้น.
               บทว่า สํโยชนานิ เอตานิ ความว่า ชื่อว่าสังโยชน์ เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องผูก ๕ อย่าง ตามที่กล่าวแล้ว โดยนัยมีกามฉันทะ พยาบาทเป็นต้นเหล่านั้น.
               บทว่า ปชหิตฺวาน ได้แก่ ตัดขาดแล้วด้วยอนาคามิมรรค.
               บทว่า ภิกฺขุนี เป็นคำเรียกภิกษุณีนั้น.
               บทว่า โอรมฺภาคมนียานิ ได้แก่ เกื้อกูลอุปการะแก่ความเป็นอยู่ของมนุษย์ในกามธาตุ อันเป็นส่วนเบื้องต่ำกว่ารูปธาตุและอรูปธาตุ เพราะเป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในกามธาตุนั้น.
                อักษรทำการเชื่อมบท บาลีว่า โอรมาคมนียานี ก็มีความอย่างนั้นเหมือนกัน.
               บทว่า นยิทํ ปุนเรหิสิ ความว่า เธอจักไม่มาสู่กามภพซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งกามนี้อีกด้วยอำนาจปฏิสนธิ เพราะละสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำได้.
                อักษรทำการเชื่อมบท.
               บาลีว่า อิตฺถํ ก็มี มีความว่า ความเป็นอย่างนี้ คือกามภพ.
               บทว่า ราคํ ได้แก่ รูปราคะและอรูปราคะ.
               บทว่า มานํ ได้แก่ มานะจะพึงฆ่าด้วยอรหัตมรรค แม้ในบทว่า อวิชฺชญฺจ อุทฺธจฺจญฺจ นี้ก็มีนัยเหมือนกัน.
               บทว่า วิวชฺชิย ได้แก่ ข่มไว้ได้ด้วยวิปัสสนา.
               บทว่า สํโยชนานิ เฉตฺวาน ได้แก่ ตัดซึ่งสังโยชน์ทั้งหลายส่วนเบื้องสูง ๕ อย่างมีรูปราคะเป็นต้นเหล่านั้นได้เด็ดขาดแล้ว.
               บทว่า ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสสิ ความว่า เธอจักบรรลุที่สุดแห่งวัฏทุกข์แม้ทั้งสิ้น.
               บทว่า เขเปตฺวา ชาติสํสารํ ได้แก่ ทำความเป็นไปแห่งสงสารมีชาติเป็นมูล ให้สิ้นไปแล้ว.
               บทว่า นิจฺฉาตา ได้แก่ หมดตัณหา.
               บทว่า อุปสนฺตา ได้แก่ เข้าไปสงบระงับ ด้วยความเข้าไปสงบกิเลสทั้งหลายโดยประการทั้งปวง.
               คำที่เหลือมีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้น.
               เมื่อพระศาสดาทรงภาษิตคาถาเหล่านี้อย่างนี้แล้ว พอจบคาถา พระเถรีก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ โดยทำนองที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงภาษิตไว้ เป็นอุทานนั่นแล ด้วยเหตุนั้นแล คาถาเหล่านั้นจึงชื่อว่าเถรีคาถา.

               จบอรรถกถาคุตตาเถรีคาถาที่ ๗               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรีคาถา ฉักกนิบาต ๗. คุตตาเถรีคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 456อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 457อ่านอรรถกถา 26 / 458อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=9367&Z=9380
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=34&A=4328
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=34&A=4328
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :