ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 464อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 465อ่านอรรถกถา 26 / 466อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรีคาถา ทวาทสกนิบาต
๑. อุบลวัณณาเถรีคาถา

               อรรถกถาเถรีคาถา ทวาทสกนิบาต               
               ๑. อรรถกถาอุบลวรรณาเถรีคาถา               
               ในทวาทสกนิบาต คาถาว่า อุโภ มาตา จ ธีตา จ เป็นต้นเป็นคาถาของพระอุบลวรรณาเถรี มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               พระเถรีแม้รูปนี้ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ก็บังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้วก็ไปเฝ้าพระศาสดา พร้อมกับมหาชนฟังธรรม เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้มีฤทธิ์ จึงถวายมหาทานแก่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ๗ วัน ปรารถนาตำแหน่งนั้น นางกระทำกุศลจนตลอดชีวิต ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์
               ครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ก็ถือปฏิสนธิในพระราชมณเฑียรของพระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกิ กรุงพาราณสี เป็นพระราชธิดาองค์หนึ่งระหว่างพระพี่น้องนาง ๗ พระองค์ ทรงประพฤติพรหมจรรย์อยู่ถึง ๒๐,๐๐๐ ปี สร้างบริเวณถวายพระภิกษุสงฆ์แล้วบังเกิดในเทวโลก.
               ครั้นจุติจากเทวโลกนั้นแล้วก็กลับมาสู่มนุษยโลกอีก บังเกิดในสถานที่ของคนทำงานด้วยมือตนเองเลี้ยงชีวิต ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง. วันหนึ่งนางกำลังเดินไปกระท่อมกลางนา ระหว่างทางเห็นดอกปทุมบานแต่เช้าตรู่ในสระแห่งหนึ่ง จึงลงสู่สระนั้นเก็บดอกปทุมนั้นและใบปทุม สำหรับใส่ข้าวตอก ตัดรวงข้าวสาลีที่คันนา นั่งในกระท่อมคั่วข้าวตอก จัดวางข้าวตอกไว้ ๕๐๐ ดอก.
               ขณะนั้น ที่ภูเขาคันธมาทน์ พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ มายืนไม่ไกลนาง นางเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ก็ถือเอาดอกปทุมพร้อมด้วยข้าวตอกลงจากกระท่อม ใส่ข้าวตอกลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า เอาดอกปทุมปิดบาตรถวาย.
               ขณะนั้น เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าไปได้หน่อยหนึ่ง นางก็ปริวิตกว่า ธรรมดานักบวชไม่ต้องการดอกไม้ จำเราจะไปถือดอกไม้มาประดับเสียเอง จึงไปถือดอกไม้มาจากมือของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็คิดอีกว่า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการดอกไม้ ก็จักไม่ให้วางไว้บนบาตร พระผู้เป็นเจ้าคงจักต้องการแน่แท้ จึงไปวางดอกไม้ไว้บนบาตรอีก ขอขมาพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว กระทำความปรารถนาว่า
               เจ้าพระคุณเจ้าข้า ด้วยผลของข้าวตอกเหล่านี้ของข้าพเจ้า ขอบุตรของข้าพเจ้าจงมีเท่าจำนวนข้าวตอก [๕๐๐] ด้วยผลของดอกปทุม ขอดอกปทุมจงผุดขึ้นทุกๆ ย่างก้าว ในสถานที่ข้าพเจ้าบังเกิดแล้วบังเกิดอีก.
               พระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะไปยังภูเขาคันธมาทน์ ทั้งที่นางเห็นอยู่นั่นแล แล้วก็วางดอกปทุมนั้นไว้เป็นเครื่องเช็ดเท้า ใกล้บันไดเหยียบของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ณ เงื้อมเขานันทมูลกะ.
               ด้วยผลของกรรมนั้น แม้นางก็ถือปฏิสนธิในเทวโลก นับแต่นางบังเกิดแล้ว ปทุมดอกใหญ่ก็ผุดทุกๆ ย่างก้าวของนาง นางจุติจากเทวโลกนั้นแล้วก็บังเกิดในห้องปทุม ในสระปทุมแห่งหนึ่งใกล้เชิงภูเขา.
               ดาบสองค์หนึ่งอาศัยเชิงภูเขานั้นอยู่ ดาบสนั้นไปสระแต่เช้าตรู่เพื่อล้างหน้า เห็นดอกปทุมนั้นก็ครุ่นคิดว่า ปทุมดอกนี้ใหญ่กว่าดอกอื่นๆ แต่ดอกอื่นๆ บานแล้ว ดอกนี้ยังตูมอยู่ น่าที่จะมีเหตุในดอกปทุมนั้น จึงลงน้ำจับปทุมดอกนั้น. ปทุมดอกนั้น พอดาบสนั้นจับเท่านั้นก็บาน ดาบสก็เห็นเด็กหญิงนอนอยู่ภายในห้องดอกปทุม และนับแต่เห็นแล้วก็ได้ความรักประดุจธิดา จึงนำไปบรรณศาลาพร้อมกับดอกปทุมให้นอนบนเตียง.
               ลำดับนั้น น้ำนมก็เกิดที่หัวนิ้วแม่มือด้วยบุญญานุภาพของนาง เมื่อปทุมดอกนั้นเหี่ยว ดาบสก็นำปทุมดอกอื่นมาใหม่ให้นางนอน. นับตั้งแต่นางสามารถวิ่งมาวิ่งไปได้ ดอกปทุมก็ผุดขึ้นทุกย่างก้าว ผิวพรรณแห่งเรือนร่างของนางก็เหมือนสีทองบัวบก ผิวนางไม่ถึงผิวพรรณเทวดา ก็ล้ำผิวพรรณมนุษย์ เมื่อบิดาไปแสวงหาผลาผล นางก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ ณ บรรณศาลา.
               ต่อมาวันหนึ่ง สมัยนางเจริญวัยแล้ว เมื่อบิดาไปแสวงหาผลาผล พรานป่าผู้หนึ่งพบนางแล้วคิดว่า ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายที่จะมีรูปอย่างนี้ไม่น่ามี ดังนั้นจำเราจักทดลองนาง จึงนั่งคอยรอให้ดาบสกลับมา.
               เมื่อบิดากลับมา นางก็เดินสวนทางไปรับหาบและคณโฑน้ำ และเมื่อบิดามานั่งแล้ว ก็แสดงธรรมเนียมหน้าที่ของตน. ครั้งนั้น พรานป่านั้นก็รู้ว่านางเป็นมนุษย์ จึงนั่งกราบดาบส. ดาบสจึงเชื้อเชิญพรานป่านั้น ด้วยเผือกมันผลไม้กับน้ำดื่มแล้วถามว่า พ่อมหาจำเริญ ท่านจักพักอยู่ที่นี้หรือจักไป. เขาตอบว่า จักไปเจ้าข้า ในที่นี้จักทำอะไรได้.
               ดาบสกล่าวว่า เหตุการณ์ที่ท่านเห็นแล้วนี้ ท่านจักไม่พูดในสถานที่ท่านไปแล้วได้ไหม. เขาตอบว่า ถ้าพระคุณเจ้าไม่ประสงค์ เหตุไรข้าจึงจะพูดเล่าเจ้าข้า ไหว้ดาบสกระทำเครื่องหมายไว้ที่กิ่งไม้และเครื่องหมายที่ต้นไม้ โดยอาการที่พอจะจำหนทางได้เวลาจะมาอีก แล้วกลับไป.
               แม้พรานป่านั้นไปกรุงพาราณสีแล้วก็เฝ้าพระราชา พระราชาตรัสถามว่า เจ้ามาทำไม. เขากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระบาทเป็นพรานป่าของพระองค์พบนางแก้วที่น่าอัศจรรย์ใกล้เชิงเขา จึงมาเฝ้าพระเจ้าข้า แล้วกราบทูลเรื่องถวายทุกประการ.
               ท้าวเธอทรงสดับคำของพรานป่าแล้ว ก็รีบเสด็จไปยังเชิงเขาตั้งค่ายพักพลในที่ไม่ไกลนัก จึงพร้อมด้วยพรานป่ากับเหล่าทหารเสด็จไปที่บรรณศาลานั้น ในเวลาที่ดาบสฉันเสร็จแล้วนั่งพักอยู่ ทรงไหว้ ทรงทำปฏิสันถารแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง. พระราชาทรงวางเครื่องบริขารสำหรับบรรพชิตไว้แทบเท้าของดาบสตรัสว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำอะไรบางอย่างในที่นี้แล้วก็จักไป.
               ดาบสถวายพระพรว่า โปรดแสดงไปเถิด มหาบพิตร. ตรัสว่า ข้าพเจ้าจักไปเจ้าข้า ได้ยินมาว่า บริษัทที่เป็นข้าศึกมีอยู่ใกล้พระคุณเจ้า บริษัทนั้นไม่สมควรแก่บรรพชิต จงไปเสียกับข้าพเจ้าเถิดนะ เจ้าข้า. ทูลว่า ขึ้นชื่อว่าจิตใจของมนุษย์ ทำให้พอใจได้ยาก นางจะอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากได้อย่างไร. ตรัสว่า นับตั้งแต่ข้าพเจ้าชอบใจนาง ข้าพเจ้าก็อาจจะตั้งนางไว้ในตำแหน่งสูงสุดของผู้คนทั้งหลาย แล้วทำนุบำรุงนะเจ้าข้า.
               ดาบสสดับพระราชดำรัส จึงเรียกธิดาตามนามที่ตั้งไว้ครั้งยังเล็กว่าลูกปทุมวดี ด้วยการเรียกครั้งเดียวเท่านั้น นางก็ออกจากบรรณศาลามายืนไหว้บิดา ขณะนั้น บิดาจึงกล่าวกะนางว่า ลูกเอ๋ย เจ้าก็โตเป็นสาวแล้ว จะอยู่ในที่นี้นับแต่พระราชาทรงพบแล้ว ไม่ผาสุกดอกนะ จงตามเสด็จไปกับพระราชาเสียเถิดนะลูกนะ.
               นางรับคำบิดาว่า ดีละพ่อท่าน ไหว้แล้วก็ยืนร้องไห้อยู่.
               พระราชาทรงดำรัสว่า จำเราจักยึดจิตใจบิดาของนางไว้ ทรงวางกองกหาปณะไว้ที่ตรงนั้นนั่นเอง แล้วทรงทำอภิเษก ท้าวเธอทรงนำนางไปยังพระนครของพระองค์ นับแต่เสด็จกลับมาแล้วก็มิได้ทรงสนพระทัยสตรีอื่นๆ ทรงอภิรมย์อยู่กับนาง.
               สตรีเหล่านั้นมีปกติริษยาอยู่แล้ว ประสงค์จะทำนางให้แตกกันระหว่างพระราชา จึงพากันเพ็ดทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม สตรีผู้นี้มิใช่มนุษย์ดอกเพคะ ทูลกระหม่อมเคยทอดพระเนตรเห็นดอกปทุมผุดขึ้นในถิ่นที่มนุษย์สัญจรไปที่ไหนเล่าเพคะ นางผู้นี้ต้องเป็นยักษิณีแน่ ขอทูลกระหม่อมโปรดเนรเทศมันไปเสียเถิดเพคะ.
               พระราชาทรงสดับคำของสตรีเหล่านั้น ก็ได้แต่ทรงนิ่งอึ้ง.
               ต่อมา เมืองชายแดนของพระราชาเกิดแข็งเมือง ท้าวเธอทรงพระดำริว่า พระนางปทุมวดีมีพระครรภ์แก่ จึงทรงพักพระนางไว้ในพระนคร แล้วเสด็จไปยังเมืองชายแดน. ครั้งนั้น สตรีเหล่านั้นจึงให้สินบนแก่หญิงรับใช้ผู้ปรนนิบัติพระนาง สั่งว่า
               พอทารกของพระนางประสูติออกมา เจ้าจงนำออกไปแล้ว เอาเลือดทาไม้ท่อนหนึ่งวางไว้ใกล้ๆ ไม่นานนัก พระนางปทุมวดีก็ประสูติพระมหาปทุมกุมารพระองค์เดียวเท่านั้นถือปฏิสนธิในพระครรภ์ พระกุมารอีก ๔๙๙ พระองค์บังเกิดเป็นสังเสทชกำเนิด ในเวลาที่พระมหาปทุมกุมารบรรทม ประสูติออกจากพระครรภ์ของพระมารดา
               ขณะนั้น หญิงรับใช้ของพระนางรู้ว่า พระนางยังไม่ได้พระสติ ก็เอาเลือดทาไม้ท่อนหนึ่งแล้ววางไว้ใกล้ๆ แล้วให้สัญญาณแก่สตรีเหล่านั้น สตรีทั้ง ๕๐๐ คนก็รับพระกุมารไปคนละองค์ส่งไปสำนักช่างกลึง ให้นำกล่องตลับมาใส่พระกุมารที่แต่ละคนรับไว้ ให้บรรทมในกล่องตลับนั้น ตีตราข้างนอกกล่องวางไว้.
               ฝ่ายพระนางปทุมวดีรู้สึกพระองค์แล้วรับสั่งถามหญิงรับใช้ว่า ข้าคลอดแล้วหรือแม่คุณ หญิงรับใช้พูดตะคอกเอากะพระนางว่า
               พระแม่เจ้าจะได้ทารกมาแต่ไหนเล่า แล้ววางท่อนไม้ทาเลือดไว้เบื้องพระพักตร์ทูลว่า นี้ทารกที่ประสูติออกจากพระครรภ์ของ พระแม่เจ้าละ พระนางทอดพระเนตรเห็นท่อนไม้นั้นก็ทรงโทมนัสให้ผ่าท่อนไม้นั้นโดยเร็วแล้วตรัสสั่งว่า
               เจ้าจงนำออกไป ถ้าใครเห็นก็จะอายเขา หญิงรับใช้นั้นรับพระราชเสาวนีย์แล้ว ทำเป็นเหมือนว่าหวังดี ก็ผ่าท่อนไม้ใส่เข้าไปในเตาไฟ.
               ฝ่ายพระราชาเสด็จกลับจากเมืองชายแดน ทรงนับถือฤกษ์ยาม ตรัสสั่งให้จัดค่ายพักพลประทับอยู่ภายนอกพระนคร
               ขณะนั้น สตรีเหล่านั้นพากันออกไปรับเสด็จพระราชากราบทูลว่า
               ข้าแต่พระทูลกระหม่อม พระองค์คงไม่ทรงเชื่อพวกข้าพระบาท คำที่พวกข้าพระบาทกราบทูล เป็นเหมือนมิใช่เหตุการณ์ ขอพระองค์โปรดเรียกหญิงรับใช้ของพระมเหสีมาสอบถามสิ เพคะ พระเทวีของพระองค์ประสูติเป็นท่อนไม้.
               พระราชาไม่ทันทรงสอบสวนเหตุการณ์นั้น เข้าพระทัยว่าผู้นี้เห็นจะไม่ใช่ชาติมนุษย์แน่ จึงทรงขับไล่พระนางออกไปจากพระราชมณเฑียร.
               พร้อมกับพระนางเสด็จออกจากพระราชมณเฑียร ดอกปทุมก็หายไป แม้แต่พระฉวีวรรณแห่งพระสรีระก็เผือดลงไป พระนางลำพังพระองค์เสด็จดำเนินไประหว่างถนน.
               ขณะนั้น หญิงวัยแก่ผู้หนึ่งพบพระนางก็เกิดรักประดุจว่าลูกสาวตน จึงถามว่าลูกเอ๋ย เจ้าจะไปไหนเล่า. พระนางตรัสตอบว่า ดิฉันเป็นคนจรมากำลังเดินตรวจหาที่อยู่จ้ะ. หญิงแก่กล่าวว่ามาที่นี้สิลูก แล้วพาพระนางไปที่อยู่ จัดแจงอาหารเลี้ยง.
               เมื่อพระนางประทับอยู่ ณ ที่นั้นโดยทำนองนี้นั่นแล สตรี ๕๐๐ คนนั้นก็ร่วมใจกันกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม เมื่อพระองค์เสด็จพักค่ายอยู่ ข้าพระบาทมีความปรารถนาว่า เมื่อพระทูลกระหม่อมของพวกข้าพระบาท ชนะสงครามเสด็จกลับมา พวกข้าพระบาทจักทำพลีกรรมบวงสรวงเล่นกีฬาทางน้ำถวายแก่เทวดาแม่พระคงคา ขอพระทูลกระหม่อมโปรดประกาศความข้อนี้ด้วยเพคะ.
               พระราชาทรงยินดีตามคำของสตรีเหล่านั้น ได้เสด็จไปเพื่อทรงเล่นกีฬาทางน้ำ ณ แม่พระคงคา.
               สตรีเหล่านั้นต่างถือกล่องตลับ ที่แต่ละคนรับไว้อย่างปกปิด พากันไปยังแม่น้ำ คลุมผ้าไว้เพื่อปกปิดกล่องตลับเหล่านั้น กระโดดลงน้ำปล่อยกล่องตลับไป กล่องตลับแม้เหล่านั้นไปพร้อมกันติดอยู่ที่ตาข่ายซึ่งเขาคลี่ไว้ใต้กระแสน้ำทั้งหมด.
               ต่อนั้น พวกราชบุรุษก็ยกตาข่ายขึ้น เวลาที่พระราชาทรงกีฬาทางน้ำแล้วเสด็จขึ้นจากน้ำก็เห็นกล่องตลับเหล่านั้น ก็นำมาเฝ้าพระราชา.
               พระราชาทรงตรวจดูกล่องตลับ ตรัสถามว่าพ่อเอ๋ย อะไรอยู่ในกล่องตลับ. กราบทูลว่า ไม่ทราบเกล้า พระเจ้าข้า.
               ท้าวเธอโปรดให้เปิดกล่องเหล่านั้นตรวจดู ทรงให้เปิดกล่องตลับของพระมหาปทุมกุมารเป็นกล่องแรก ก็แต่ในวันที่เขาให้พระกุมารเหล่านั้นทุกพระองค์บรรทมในกล่องตลับ น้ำนมก็บังเกิดที่หัวพระองคุลี เพราะบุญฤทธิ์.
               ท้าวสักกเทวราชโปรดให้จารึกพระอักษรไว้ภายในกล่องตลับ เพื่อให้พระราชานั้นหมดสงสัยว่า พระกุมารเหล่านั้นบังเกิดในพระครรภ์ของพระนางปทุมวดีเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี. ครั้งนั้น สตรี ๕๐๐ คนเป็นศัตรูของพระนางปทุมวดี ใส่พระกุมารเหล่านั้นลงในกล่องตลับแล้วโยนลงน้ำ ขอพระราชาโปรดทรงทราบเหตุการณ์นี้.
               พอเปิดกล่องตลับ พระราชาทรงอ่านอักษรพบพระกุมาร ทรงยกพระมหาปทุมกุมารขึ้น รีบเร่งเทียมรถ ตรัสสั่งว่าพวกเจ้าจงจัดม้า วันนี้ เราจักเข้าไปภายในพระนครทำให้สะใจสำหรับผู้หญิงบางจำพวก แล้วเสด็จขึ้นพระมหาปราสาท วางถุงทรัพย์พันกหาปณะบนคอช้าง โปรดให้ตีกลองร้องป่าวไปในพระนครว่า ผู้ใดพบพระนางปทุมวดี ผู้นั้นจงรับทรัพย์พันกหาปณะนี้ไป.
               พระนางปทุมวดีสดับคำประกาศนั้นแล้วได้ให้สัญญาณแก่มารดาว่า แม่จ๋าจงรับถุงทรัพย์พันกหาปณะจากคอช้างสิจ๊ะ. มารดากล่าวว่า แม่รับทรัพย์เช่นนั้นไม่ได้ดอกจ้ะ. แม้มารดาเมื่อถูกพระนางบอกครั้งที่สองครั้งที่สาม จึงถามว่าลูกเอ๋ย แม่จะพูดว่าอย่างไรเล่าจึงจะรับทรัพย์ได้.
               พระนางจึงตรัสว่า ลูกสาวฉันเขาพบพระนางปทุมวดีจ้ะ แล้วรับเอา. มารดาคิดว่า เรื่องนั้นจะจริงหรือไม่ก็ช่างเถิด แล้วก็ไปรับเอาถุงทรัพย์พันกหาปณะ.
               ครั้งนั้น ผู้คนทั้งหลายถามนางว่า แม่พบพระนางปทุมวดีหรือจ้ะแม่.
               นางกล่าวว่า ฉันไม่พบดอกจ้ะ ลูกสาวฉันเขาว่าเขาพบจ้ะ.
               ผู้คนเหล่านั้นถามว่า ก็ลูกสาวของแม่อยู่ที่ไหนเล่าแม่แล้วก็ไปกับนาง จำพระนางปทุมวดีได้ ก็หมอบลงแทบเท้าทั้งสอง.
               เวลานั้น นางรู้ว่า ผู้นี้คือพระนางปทุมวดีเทวี จึงกล่าวว่า ข้อที่พระมเหสีของพระราชาเช่นนี้อยู่ปราศจากอารักขาเห็นปานนี้ เป็นกรรมที่ทำอย่างหนักสำหรับสตรีหนอ.
               ราชบุรุษแม้เหล่านั้นให้ทำความสะอาดที่ประทับอยู่ของพระนางปทุมวดีแล้ว ล้อมไว้ด้วยม่าน ตั้งกองอารักขาไว้ที่ประตู กลับไปกราบทูลพระราชา. พระราชาทรงส่งพระวอทองไป.
               พระนางปทุมวดีรับสั่งว่า หม่อมฉันจักไม่ไปโดยวิธีอย่างนี้ ขอได้ทรงโปรดให้ลาดเครื่องอันวิจิตรด้วยผ้าเปลือกไม้อย่างดี ในระหว่างตั้งแต่ที่อยู่ของหม่อมฉันไปจนถึงกรุงราชคฤห์ ให้ติดเพดานผ้าอันวิจิตรด้วยดาวทองไว้ข้างบน เมื่อเครื่องอลังการทุกอย่างที่โปรดส่งมาเพื่อประดับ ประดับตกแต่งแล้ว หม่อมฉันจักเดินไปด้วยเท้า ชาวพระนครจักเห็นสมบัติของหม่อมฉันด้วยวิธีอย่างนี้.
               พระราชารับสั่งว่า พวกเจ้าจงทำให้ต้องพระทัยของพระนางปทุมวดีเถิด.
               ลำดับนั้น พระนางปทุมวดีทรงประดับเครื่องประดับทุกอย่างแล้ว ทรงพระดำริจักเสด็จไปพระราชนิเวศน์ ก็เริ่มเดินทาง. ครั้งนั้น ดอกปทุมทั้งหลายก็ผุดชำแรกเครื่องลาดอันวิจิตรด้วยผ้าเปลือกไม้อย่างดี ในที่ๆ พระนางย่างพระบาทเหยียบไปๆ พระนางครั้นทรงแสดงสมบัติของพระองค์แก่มหาชนแล้วก็เสด็จขึ้นพระราชนิเวศน์ ให้พระราชทานเครื่องลาดอันวิจิตรด้วยผ้าเหล่านั้นทั้งหมดแก่หญิงแก่นั้นเป็นค่าเลี้ยงดู.
               ฝ่ายพระราชารับสั่งให้เรียกสตรี ๕๐๐ คนนั้นมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนพระเทวี เราให้ผู้หญิงเหล่านี้เป็นทาสีของเจ้า. พระนางทูลว่า ดีละเพคะทูลกระหม่อม ขอได้โปรดให้ประกาศไปทั่วพระนครว่า พระราชทานหญิงเหล่านี้ให้เป็นสิทธิ์แก่หม่อมฉันแล้ว. พระราชาก็ให้ตีกลองป่าวประกาศว่า หญิง ๕๐๐ คนที่เป็นศัตรูของพระนางปทุมวดี เราได้มอบให้เป็นทาสีของพระนางแล้ว
               พระนางทรงทราบว่า ทั่วพระนครต่างกำหนดรู้ว่า หญิงเหล่านั้นเป็นทาสีกันแล้ว จึงกราบทูลถามพระราชาว่า ทูลกระหม่อมเพคะ หม่อมฉันจะทำทาสีของหม่อมฉันให้เป็นไทแก่ตัวได้ไหมเพคะ. รับสั่งว่า เทวี เจ้าปรารถนาก็ได้สิ. จึงทูลว่า เมื่อเป็นดังนั้น ขอได้โปรดให้ตีกลองป่าวประกาศอีกว่าหญิง ๕๐๐ คนที่ทรงให้ตีกลองป่าวประกาศพระราชทานให้เป็นทาสีของปทุมวดี ได้ทรงทำให้เป็นไทหมดทุกคนแล้ว.
               เมื่อพระราชาทรงทำหญิงเหล่านั้นให้เป็นไทแล้ว พระนางก็ทรงมอบพระราชโอรส ๔๙๙ พระองค์ไว้ในมือสตรีเหล่านั้น เพื่อให้เลี้ยงดู พระมหาปทุมราชกุมารพระองค์เดียว ทรงรับเลี้ยงดูด้วยพระองค์เอง.
               อยู่ต่อมา เมื่อพระราชกุมารเหล่านั้นถึงวัยเล่น พระราชาก็โปรดให้สร้างสถานที่เล่นนานาชนิดไว้ในพระราชอุทยาน.
               คราวมีพระชันษาได้ ๑๖ พรรษา พระราชกุมารเหล่านั้นทุกพระองค์พร้อมพระทัยกัน ทรงเล่นในสระมงคลโบกขรณีที่ดาดาษด้วยดอกปทุม ในพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นดอกปทุมใหม่บานและดอกปทุมเก่าร่วงหล่นจากขั้ว ทรงดำริว่า ชราเห็นปานนี้ยังมาถึงอนุปาทินนกสังขารที่ไม่มีวิญญาณครองนี้หนอ จะป่วยกล่าวไปไยว่าชราจะไม่มาถึงสรีระของพวกเราเล่า แม้สรีระนี้ก็คงจักมีคติอย่างนี้เหมือนกัน ทรงยึดถือให้เป็นอารมณ์แล้ว ก็บังเกิดพระปัจเจกโพธิญาณทุกพระองค์ เสด็จลุกขึ้นประทับนั่งขัดสมาธิ ณ กลีบดอกปทุมทั้งหลาย.
               ลำดับนั้น พวกราชบุรุษที่ตามเสด็จไปกับพระราชกุมารเหล่านั้น รู้ว่าวันเวลาล่วงไปมากแล้ว จึงทูลว่า พระลูกเจ้าพระเจ้าข้า ขอทรงโปรดทราบเวลาของพระองค์เถิด.
               พระราชกุมารเหล่านั้นก็ทรงนิ่ง.
               พวกราชบุรุษจึงไปกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระราชกุมารทั้งหลายประทับนั่งเหนือกลีบปทุมทั้งหลาย เมื่อพวกข้าพระบาททูลก็ไม่ยอมเปล่งพระวาจาเลย พระเจ้าข้า.
               พระราชารับสั่งว่า พวกเจ้าจงให้พระราชกุมารเหล่านั้นประทับนั่งตามความพอพระทัยเถิด.
               พระราชกุมารเหล่านั้นได้รับอารักขาตลอดคืนยังรุ่ง จนอรุณขึ้นก็ยังคงประทับนั่งเหนือกลีบดอกปทุมอยู่อย่างนั้น. พวกราชบุรุษเข้าเฝ้าวันรุ่งขึ้นทูลว่า ข้าแต่เทวะ ขอโปรดทรงทราบเวลาเถิด พระเจ้าข้า.
               รับสั่งว่า พวกเราไม่ได้เป็นเทวะ พวกเราชื่อว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าต่างหากเล่า.
               พวกราชบุรุษทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า พระองค์ตรัสคำหนัก ธรรมดาว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างพระองค์ดอก พระเจ้าข้า. พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นต้องทรงผมและหนวด ๒ องคุลี ทรงบริขาร ๘ สวมอยู่ที่พระกายสิ พระเจ้าข้า.
               พระราชกุมารเหล่านั้นทรงลูบพระเศียรด้วยพระหัตถ์เบื้องขวา ทันใดนั้นเอง เพศคฤหัสถ์ก็หายไป บริขาร ๘ ก็สวมที่พระกาย ต่อนั้นก็เหาะไปยังเงื้อมเขาชื่อนันทมูลกะ ทั้งที่มหาชนเห็นๆ อยู่นั่นเอง.
               ฝ่ายพระนางปทุมวดีเทวีทรงโศกเศร้าพระทัยว่า เรามีบุตรมากก็กลายเป็นคนไร้บุตรไปเสียแล้ว ด้วยความเศร้าโศกนั้นเอง ก็เสด็จทิวงคตไปบังเกิดในสถานที่ของคนทำงานด้วยมือตนเองเลี้ยงชีพ ในหมู่บ้านใกล้ประตู กรุงราชคฤห์ ต่อมามีสามี วันหนึ่งนำข้าวยาคูไปนาเพื่อให้สามี เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ในจำนวนบุตรของตนเหล่านั้นเอง กำลังเหาะมาเวลาภิกษาจาร จึงรีบรุดไปบอกสามีว่า นายเจ้าขา ดูพระปัจเจกพุทธเจ้าสิ เรานิมนต์ท่านมาฉันเถิด.
               สามีกล่าวว่า ธรรมดานกสมณะเหล่านี้ย่อมสัญจรไปอย่างนี้ แม้ในที่อื่น. นกสมณะเหล่านั้น ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าดอกจ้ะ.
               พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นก็ลงมาในที่ไม่ไกล จากที่คนทั้งสองกำลังพูดกัน.
               หญิงคนนั้นก็ถวายโภชนะคือ ข้าวสวยและกับส่วนของตนในวันนั้นแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นแล้วนิมนต์ว่า พรุ่งนี้ขอท่านทั้ง ๘ องค์โปรดรับภิกษาหารของข้าพเจ้านะเจ้าคะ.
               พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า ดีละ ท่านอุบาสิกา, สักการะของท่านก็จงมีเท่าวันนี้ อาสนะก็จงมีไว้ ๘ ที่แต่ท่านเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าอื่นๆ มากก็พึงทำจิตใจของท่านให้เลื่อมใสไว้นะ.
               วันรุ่งขึ้น หญิงคนนั้นก็ปูอาสนะไว้ ๘ ที่ จัดแจงเครื่องสักการสัมมานะไว้สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์แล้วก็นั่งคอย.
               พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ได้รับนิมนต์ ก็ให้สัญญาแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าอื่นๆ ว่า ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย วันนี้ ท่านทั้งหลายอย่าไปที่อื่น ทั้งหมดจงช่วยกันทำการสงเคราะห์มารดาของท่านเถิด.
               พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นฟังคำของพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์นั้นแล้วร่วมใจกันทุกองค์ เหาะไปปรากฏองค์อยู่ใกล้ประตูเรือนของมารดา แม้นางเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามากองค์ ก็ไม่หวั่นไหว เพราะได้สัญญามาก่อนแล้ว ก็นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นทุกองค์เข้าไปยังเรือนให้นั่งเหนืออาสนะ.
               เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นนั่งตามลำดับ องค์ที่ ๙ ก็เนรมิตอีก ๘ อาสนะ ตนเองก็นั่งอาสนะใกล้ เรือนก็ขยายออกไปเท่ากับจำนวนอาสนะที่เพิ่มขึ้น เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมดนั่งเรียบร้อยแล้วอย่างนี้ หญิงนั้นก็ถวายสักการะที่ตนจัดแจงสำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ จนเพียงพอแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ แล้วนำดอกอุบลขาบ ๘ กำ มาวางไว้แทบเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ตนนิมนต์มาเท่านั้น กล่าวทำความปรารถนาว่า พระคุณเจ้าข้า ขอวรรณะแห่งสรีระของข้าพเจ้าจงเป็นเหมือนวรรณะข้างในของดอกอุบลขาบเหล่านี้ ในสถานที่ข้าพเจ้าเกิดแล้วเกิดเล่าด้วยนะเจ้าคะ.
               พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายกระทำอนุโมทนาแก่มารดาแล้ว ก็พากันไปยังภูเขาคันธมาทน์.
               แม้นางก็กระทำกุศลจนตลอดชีวิต จุติจากมนุษยโลกแล้วก็บังเกิดในเทวโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ก็ถือปฏิสนธิในสกุลเศรษฐี กรุงสาวัตถี บิดามารดาก็ตั้งชื่อของนางว่าอุบลวรรณา เพราะมีผิวพรรณเสมอด้วยวรรณะของดอกอุบลขาบ.
               สมัยนั้น เวลาที่นางเติบโตเป็นสาวแล้ว พระราชาทั้งหลายทั่วชมพูทวีปพากันส่งทูตไปยังสำนักเศรษฐีว่า ขอจงให้ธิดาแก่เราเถิด พระราชาผู้ชื่อว่าไม่ส่งทูตไปไม่มีเลย ดังนั้นเศรษฐีจึงคิดว่า เราไม่อาจจะยึดเหนี่ยวน้ำพระทัยของพระราชาได้ทั้งหมด แต่จำเราจักทำอุบายอย่างหนึ่งดังนี้แล้ว จึงเรียกธิดามาถามว่า ลูกเอ๋ย บวชเสียได้ไหมลูก.
               คำของบิดาได้เป็นประหนึ่งน้ำมันที่เคี่ยวแล้วร้อยครั้ง รดลงที่ศีรษะ เพราะนางมีภพสุดท้ายแล้ว เพราะฉะนั้น นางจึงตอบบิดาว่า ลูกจักบวชจ้ะพ่อจ๋า.
               เศรษฐีนั้นก็ทำสักการะแก่นาง นำไปสำนักภิกษุณีแล้วให้บวช เมื่อนางบวชได้ไม่นานนัก วาระตามกาล [เวร] ในโรงอุโบสถก็มาถึง นางจุดประทีปแล้วกวาดโรงอุโบสถยืนถือนิมิตแห่งเปลวประทีป ตรวจดูบ่อยๆ ก็ทำฌานที่มีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ให้บังเกิด กระทำฌานนั้นนั่นแลให้เป็นบาท ก็บรรลุพระอรหัต แม้อภิญญาและปฏิสัมภิทา ก็สำเร็จพร้อมกับพระอรหัตผลนั่นแล.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในคัมภีร์อปทานว่า๑-
               พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ผู้เป็นผู้นำ ทรงอุบัติในแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป.
               ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในสกุลเศรษฐีที่รุ่งโรจน์ด้วยรัตนะนานาชนิด ณ กรุงหังสวดี เปี่ยมด้วยความสุขเป็นอันมาก.
               ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระมหาวีระพระองค์นั้น ฟังพระธรรมเทศนา เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงเกิดความเลื่อมใสถึงพระชินพุทธเจ้าเป็นสรณะ
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้นำ ทรงยกย่องภิกษุณีผู้มีความละอาย ผู้คงที่ ฉลาดในสมาธิและฌานว่าเป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้มีฤทธิ์.
               ครั้งนั้น ข้าพระองค์มีจิตยินดีตาม จำนงหวังตำแหน่งนั้นจึงนิมนต์พระทศพลผู้นำโลก พร้อมทั้งพระสงฆ์ให้เสวย ๗ วัน ถวายจีวรแด่พระศาสดา ถือพวงมาลัย ๗ พวง มีกลิ่นเหมือนดอกอุบล วางไว้แทบเบื้องพระบาทพระศาสดา บูชาพระญาณ หมอบด้วยเศียรเกล้าลงที่พระบาท ได้กราบทูลคำนี้ว่า
               ข้าแต่พระมหาวีระมุนีผู้นำ ภิกษุณีเช่นใดทรงยกย่องแล้ว ในกัปที่ ๘ นับแต่กัปนี้ไป ข้าพระองค์จักเป็นภิกษุณีเช่นนั้น ถ้าความปรารถนาสำเร็จ.
               ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะข้าพระองค์ว่า ดูก่อนแม่นาง เจ้าเป็นคนประเสริฐ ในอนาคตกาลจะได้มโนรถความปรารถนานั้น.
               แสนกัปนับแต่กัปนี้ไป พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม โดยพระโคตร ทรงสมภพในราชสกุลพระเจ้าโอกกากราช จักเป็นศาสดาในโลก.
               เจ้าจะมีรูปสวย มียศ มีนามว่าอุบลวรรณา จักเป็นทายาทในธรรมของพระองค์ เป็นโอรสถูกเนรมิตโดยธรรม จักเป็นผู้ชำนาญในอภิญญา กระทำตามคำสอนของพระศาสดา สิ้นอาสวะทุกอย่าง จักเป็นสาวิกาของพระศาสดา.
               ครั้งนั้น ข้าพระองค์มีจิตยินดี มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระชินพุทธเจ้าผู้นำโลก พร้อมทั้งพระสงฆ์จนตลอดชีวิต.
               ด้วยกรรมที่ทำมาดีนั้นและด้วยการตั้งใจไว้ชอบ ข้าพระองค์ละกายมนุษย์แล้วก็ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จุติจากนั้นแล้วข้าพระองค์ก็เกิดในหมู่มนุษย์ ได้ถวายบิณฑบาตที่ปิดด้วยดอกปทุมแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า.
               ในกัปที่ ๙๑ นับแต่กัปนี้ไป พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ผู้นำ ผู้มีพระเนตรงาม ผู้มีพระจักษุในธรรมทั้งปวง ทรงอุบัติ.
               ครั้งนั้น ข้าพระองค์เป็นธิดาเศรษฐีในกรุงพาราณสี ราชธานีแห่งแคว้นกาสี นิมนต์พระสัมพุทธเจ้าผู้นำโลกพร้อมทั้งพระสงฆ์ถวายมหาทาน บูชาพระผู้นำพิเศษด้วยดอกอุบล ได้ปรารถนาความงามแห่งผิวพรรณด้วยใจ.
               ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เป็นพราหมณ์มียศมาก เป็นยอดของศาสดาทั้งหลายอุบัติแล้ว.
               ครั้งนั้น พระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกิ เป็นจอมนรชน ในกรุงพาราณสีราชธานีแห่งแคว้นกาสี ทรงเป็นอุปฐากบำรุงพระกัสสปพุทธเจ้าผู้ทรงแสวงคุณยิ่งใหญ่.
               ข้าพระองค์เป็นราชธิดาองค์ที่สองของพระเจ้ากิกินั้น พระนามว่าสมณคุตตา ฟังธรรมของพระชินพุทธเจ้าผู้เลิศแล้ว ชอบพระทัยการบรรพชา แต่พระชนกของพวกข้าพระองค์ไม่ทรงอนุญาต ครั้งนั้น พวกข้าพระองค์อยู่แต่ในพระราชมณเฑียร ไม่เกียจคร้าน ท่องเที่ยวอยู่ถึงสองหมื่นปี.
               พระราชธิดาทรงเข้าอยู่โกมาริพรหมจรรย์ [ไม่มีพระสวามี] เสวยสุข ยินดีเนืองนิตย์ในการบำรุงพระพุทธเจ้า ทรงมีมุทิตาจิต พระธิดา ๗ พระองค์ คือ สมณี สมณคุตตา ภิกขุนี ภิกขุทาสิกา ธัมมา สุธัมมา สังฆทาสิกา ครบ ๗ ปัจจุบันคือ ข้าพระองค์ [อุบลวรรณา] เขมาผู้มีปัญญา ปฏาจารา กุณฑลา [กุณฑลเกสา] กิสาโคตมี ธัมมทินนา วิสาขาครบ ๗.
               ด้วยกรรมที่ทำมาดีเหล่านั้นและด้วยการตั้งใจไว้ชอบ ข้าพระองค์ละกายมนุษย์แล้วก็ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จุติจากนั้นแล้วข้าพระองค์ก็เกิดในสกุลใหญ่ในหมู่มนุษย์ ได้ถวายผ้าอย่างดีเนื้อเกลี้ยงสีเหลืองแด่พระอรหันต์.
               ข้าพระองค์จุติจากนั้นแล้วก็เกิดในสกุลพราหมณ์ กรุงอริฏฐบุรี เป็นธิดาของติริฏิวัจฉพราหมณ์ ชื่อว่าอุมมาทันตี งามจับใจ จุติจากนั้นแล้ว ข้าพระองค์เกิดในสกุลหนึ่งในชนบท เฝ้าไร่ข้าวสาลีซึ่งไม่กว้างนัก
               ครั้งนั้น ข้าพระองค์พบพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ถวายข้าวตอก ๕๐๐ ดอกซึ่งปิดด้วยปทุม ปรารถนาบุตร ๕๐๐ คน แม้บุตรเหล่านั้นก็ปรารถนา ข้าพระองค์ครั้นถวายของอร่อยๆ แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว จุติจากนั้นก็ไปเกิดในดอกปทุมขนาดใหญ่ในป่า ได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้ากาสี อันมหาชนสักการะบูชาแล้ว ให้กำเนิดพระราชโอรส ๕๐๐ พระองค์
               คราวที่พระราชโอรสเหล่านั้นเจริญพระชันษาแล้ว ทรงเล่นกีฬาในน้ำ ทรงเห็นดอกปทุมมีกลีบหล่น ก็ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า.
               ข้าพระองค์นั้นต้องพลัดพรากจากพระโอรสเหล่านั้นซึ่งเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า [สุตวีระ] ก็เศร้าโศก จุติแล้ว ก็ไปเกิดในหมู่บ้านใกล้ข้างภูเขาอิสิคิลิ.
               เมื่อใด พระสุตพุทธะทั้งหลายรับข้าวยาคูของพวกบุตรและแม้ของตนเองแล้วไป ข้าพระองค์พบพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต ก็รำลึกถึงบุตรทั้งหลาย เมื่อนั้น ท่อน้ำนมของข้าพระองค์ก็คัด เพราะความรักบุตร.
               แต่นั้น ข้าพระองค์เลื่อมใสแล้วก็ได้ถวายข้าวยาคูแก่พระสุตพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยมือตนเอง.
               ข้าพระองค์จุติจากนั้นแล้ว ก็มาถึงนันทนวัน อุทยานสวรรค์ชั้นไตรทศ [ดาวดึงส์].
               ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์เสวยสุขและทุกข์ ท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ ยอมสละชีวิต ก็เพื่อประโยชน์ของพระองค์.
               ข้าแต่พระมหาวีระผู้มีปัญญา ผู้ทรงความรุ่งโรจน์ ข้าพระองค์เป็นธิดาของพระองค์ กรรมที่ทำยากเป็นอันมาก และกรรมที่ทำได้แสนยาก ข้าพระองค์ก็ทรงทำแล้ว.
               พระราหุลและข้าพระองค์เกิดในสมภพเดียวกัน มีใจประกอบด้วยสมานฉันท์ตลอดหลายร้อยชาติเป็นอันมาก บังเกิดร่วมกัน และแม้แต่ชาติเดียวกัน เมื่อถึงภพสุดท้าย แม้เราทั้งสองก็มีสมภพต่างกัน.
               ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ทรงชี้แจงความประชุมของพระชินพุทธเจ้าผู้เลิศพระองค์ก่อนๆ ทรงชี้แจงกุศลบารมีเป็นอันมากของข้าพระองค์ ก็เพื่อประโยชน์ของพระองค์
               ข้าแต่พระมหามุนี กุศลกรรมอันใด ข้าพระองค์บำเพ็ญแล้ว ขอโปรดทรงระลึกถึงกุศลกรรมอันนั้น งดเว้นอภัพพฐาน ห้ามกันอนาจารได้.
               ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์ยอมสละชีวิตก็เพื่อประโยชน์ของพระองค์ ทุกข์มีมากอย่าง และสมบัติก็มีมากอย่างอย่างนี้.
               เมื่อถึงภพสุดท้าย ข้าพระองค์เกิดในสกุลเศรษฐีมีทรัพย์มาก ประสบสุขที่จัดไว้เสร็จแล้วอย่างนั้น รุ่งโรจน์ด้วยรัตนะนานาชนิด มั่งคั่งด้วยกามสมบัติทุกอย่าง ในกรุงสาวัตถี.
               ข้าพระองค์พรั่งพร้อมด้วยความงดงามแห่งรูป ได้รับยกย่องในตระกูลทั้งหลาย อันมหาชนสักการะบูชา นับถือและยำเกรงแล้ว.
               ข้าพระองค์ล้ำคนทั้งหลายด้วยความงามแห่งรูปและสิริ อันบุตรเศรษฐีหลายร้อยปรารถนาอยากได้.
               ข้าพระองค์ละเรือนบวชไม่มีเรือนยังไม่ทันถึงครึ่งเดือน ก็บรรลุสัจจะ ๔.
               ข้าพระองค์จักเนรมิตรถเทียมม้า ๔ ตัว ด้วยฤทธิ์มาถวายบังคมพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของโลก เป็นผู้มีสิริ.
               ข้าพระองค์เป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์ ในทิพโสต ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพระองค์ชำนาญเจโตปริยญาณ. ข้าพระองค์รู้ปุพเพนิวาสญาณ ชำระทิพยจักษุ สิ้นอาสวะทุกอย่าง บัดนี้ ไม่มีการเกิดอีก.
               ญาณในอรรถ ธรรม นิรุตติและปฏิภาณของข้าพระองค์บริสุทธิ์ไร้มลทิน เพราะอานุภาพของพระผู้ทรงแสวงคุณอันยิ่งใหญ่.
               ชั่วขณะ ชนจำนวนนับพันก็น้อมเอาจีวร บิณฑบาต คิลานปัจจัยและเสนาสนะ เข้ามาโดยรอบ.
               พระชินพุทธเจ้าทรงยินดีในคุณข้อนั้น ทรงเป็นผู้นำพิเศษในบริษัททั้งหลาย ทรงสถาปนาข้าพระองค์ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า เป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย.
               พระศาสดาข้าพระองค์ก็ปรนนิบัติแล้ว. คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพระองค์ก็กระทำเสร็จแล้ว. ภาระหนัก ข้าพระองค์ก็ปลงลงแล้ว. ตัณหาที่นำไปในภพ ข้าพระองค์ก็ถอนเสียแล้ว.
               ข้าพระองค์ออกจากเรือนบวชไม่มีเรือน เพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์อันนั้น ธรรมเป็นที่สิ้นสังโยชน์ทุกอย่าง ข้าพระองค์ก็บรรลุตามลำดับแล้ว.
               กิเลสทั้งหลาย ข้าพระองค์ก็เผาเสียแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพระองค์ก็กระทำเสร็จแล้ว.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๑๕๙ อุบลวรรณาเถรีอปทาน

               ก็พระเถรีรูปนี้ คราวใด พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังโคนต้นมะม่วงของนายคัณฑะ เพื่อทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ ใกล้ประตูกรุงสาวัตถี คราวนั้นก็เข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วก็กราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักกระทำปาฏิหาริย์ ผิว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาต แล้วบันลือสีหนาท.
               พระศาสดาทรงทำเหตุนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติ เหตุเกิดเรื่อง ประทับนั่งท่ามกลางบริษัทพระอริยะ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงสถาปนาพระภิกษุณีทั้งหลายไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะตามลำดับ จึงทรงสถาปนาพระเถรีรูปนี้ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้มีฤทธิ์.
               พระอุบลวรรณาเถรีนั้นยับยั้งอยู่ด้วยสุขในฌาน สุขในผลและสุขในพระนิพพาน วันหนึ่งพิจารณาถึงโทษ ความทรามและความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย เมื่อกล่าวย้ำคาถาที่พระเถรีเกิดความสลดใจ เฉพาะการอยู่ร่วมสามี ระหว่างมารดากับธิดาที่กล่าวไว้แล้วแก่ท่านพระคงคาตีริยเถระ จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถานี้ว่า
                                   เราทั้งสองคือมารดาและธิดาเป็นหญิงร่วมสามี
                         กัน เรานั้นมีความสลดใจ ขนลุก ที่ไม่เคยมี.
                                   น่าตำหนิจริงๆ กามทั้งหลาย ไม่สะอาด กลิ่น
                         เหม็น มีหนามมาก ที่เราทั้งสองคือมารดากับธิดาเป็น
                         ภริยาร่วม (สามี) กัน.
                                   เรานั้นเห็นโทษในกามทั้งหลาย เห็นเนกขัมมะ
                         การบวชเป็นทางเกษมปลอดโปร่ง จึงออกจากเรือน
                         บวชไม่มีเรือน.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุโภ มาตา จ ธีตา จ มยํ อาสุํ สปตฺติโย ความว่า เราทั้งสองคือมารดาและธิดา ได้เป็นหญิงร่วมสามีกันและกัน.
               เล่ากันว่า ภริยาของพ่อค้าคนหนึ่งในกรุงสาวัตถีตั้งครรภ์ขึ้นมาในเวลาใกล้รุ่ง นางก็ไม่รู้เรื่องการตั้งครรภ์นั้น. พอสว่าง พ่อค้าก็บรรทุกสินค้าลงในเกวียนเดินทางมุ่งไปกรุงราชคฤห์ เมื่อเวลาล่วงไป ครรภ์ของนางก็เติบโต จนแก่เต็มที่.
               ครั้งนั้น แม่ผัวพูดกะนางว่า ลูกชายเราก็จากไปเสียนานและเจ้าก็มีครรภ์ เจ้าไปทำชั่วมาหรือ.
               นางก็กล่าวว่า นอกจากลูกชายของแม่ ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักชายอื่น. แม่ผัวฟังนางแล้วไม่เชื่อ จึงขับไล่นางออกไปจากเรือน.
               นางก็ไปตามหาสามี ไปถึงกรุงราชคฤห์ตามลำดับ ขณะนั้น ลมกัมมัชวาตก็ปั่นป่วน นางก็เข้าไปยังศาลาหลังหนึ่งใกล้ๆ ทางแล้วก็คลอดลูก นางคลอดลูกชายคล้ายรูปทอง ให้นอนบนศาลาอนาถา แล้วออกไปหาน้ำข้างนอกศาลา.
               ขณะนั้น นายกองเกวียนคนหนึ่งเป็นคนไม่มีลูกเดินมาทางนั้น คิดว่าทารกของหญิงไม่มีสามี จักเป็นลูกของเรา จึงเอาทารกนั้นมอบไว้ในมือนางนม.
               ต่อมา มารดาของทารกนั้นทำกิจเรื่องน้ำแล้ว กลับมาไม่เห็นลูกก็เศร้าโศกคร่ำครวญ ไม่เข้าไปกรุงราชคฤห์แต่เดินทางต่อไป.
               หัวหน้าโจรคนหนึ่งพบนางในระหว่างทางเกิดจิตปฏิพัทธ์ จึงเอานางทำเป็นภริยาของตน. นางอยู่ในเรือนโจรนั้น ก็คลอดลูกหญิงออกมาคนหนึ่ง วันหนึ่ง นางยืนอุ้มลูกหญิงอยู่ทะเลาะกับสามีก็โยนลูกลงบนเตียง ศีรษะของเด็กหญิงแตกหน่อยหนึ่ง ต่อนั้น นางกลัวสามี ก็กลับไปกรุงราชคฤห์ท่องเที่ยวไปตามอำเภอใจ ลูกชายของนางโตเป็นหนุ่มไม่รู้ว่าเป็นมารดา ก็เอามารดาเป็นภริยาของตน.
               ต่อมา เขาไม่รู้ว่าลูกสาวหัวหน้าโจรนั้นเป็นน้องสาว ก็แต่งงานนำมาเรือน เขานำมารดาและน้องสาวมาเป็นภริยาของตนอยู่กันมาอย่างนี้ ด้วยเหตุนั้น คนแม้ทั้งสองนั้นจึงอยู่กันอย่างพร้อมเพรียง.
               ต่อมาวันหนึ่ง มารดาแก้มวยผมของลูกสาวหาเหาเห็นแผลเป็นที่ศีรษะ คิดว่าหญิงคนนี้คงเป็นลูกสาวเราแน่แล้วก็ถาม เกิดความสลดใจจึงไปสำนักภิกษุณีแล้วบวช กระทำกิจเบื้องต้นเสร็จแล้วอยู่อย่างสงัด พิจารณาทบทวนถึงการปฏิบัติแต่ก่อนของตน ก็ได้กล่าวคาถาว่า อุโภ มาตา จ ธีตา จ เป็นต้น
               ก็พระเถรีนี้กล่าวย้ำคาถาที่หญิงนั้นกล่าวไว้แล้วเหล่านั้น โดยเห็นโทษในกามทั้งหลาย จึงกล่าวว่า อุโภ มาตา จ ธีตา จ เป็นอาทิ.
               ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า พระเถรีนั้นยับยั้งอยู่ด้วยสุขในฌาน สุขในผลและสุขในพระนิพพาน จึงได้กล่าวสามคาถาเหล่านี้
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสุจี ได้แก่ ชื่อว่าอสุจี เพราะกิเลสและของไม่สะอาดไหลออก.
               บทว่า ทุคฺคนฺธา ได้แก่ กลิ่นเน่า เพราะกลิ่นเหม็นคลุ้งไป.
               บทว่า พหุกณฺฏกา ได้แก่ ชื่อว่ามีกิเลสดุจหนามมากอย่าง เพราะอรรถว่าทิ่มแทงสุจริต โดยเป็นข้าศึก.
               จริงอย่างนั้น กิเลสเหล่านั้น ท่านกล่าวว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยหอกและหลาว.
               บทว่า ยตฺถ ได้แก่ ในกามเหล่าใดที่บุคคลพึงบริโภค.
               บทว่า สหภริยา ได้แก่ เป็นภริยาเสมอกัน. อธิบายว่า ร่วมสามีเดียวกัน.
               สองคาถาว่า ปุพฺเพนิวาสํ เป็นต้น พระเถรีซึ่งพิจารณาคุณวิเศษที่ตนบรรลุแล้ว เกิดปีติโสมนัส จึงกล่าว.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เจโตปริจฺจญาณํ ได้แก่ เจโตปริยญาณก็ทำให้แจ้งแล้ว หรือเชื่อมความว่า บรรลุแล้ว.
                         ข้าพระองค์จักเนรมิตรถเทียมม้า ๔ ตัวมาถวายบังคม
                         พระยุคลบาทของพระพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของโลกผู้มีสิริ.

               คาถานี้ คราวใด พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังโคนต้นมะม่วงของนายคัณฑะ เพื่อทรงทำยมกปาฏิหาริย์คราวนั้น พระเถรีนี้เนรมิตรถเห็นปานนั้น เข้าไปเฝ้าพร้อมกับรถนั้น กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จักทำปาฏิหาริย์ เพื่อทำลายความมัวเมาของเดียรถีย์ขอทรงโปรดอนุญาตเถิด พระเจ้าข้า แล้วยืนในสำนักพระศาสดา.
               พระเถรีกล่าวหมายถึงเรื่องปาฏิหาริย์นั้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทฺธิยา อภินิมฺมิตฺวา จตุรสฺสํ รถํ อหํ อธิบายว่า ข้าพระองค์เนรมิตรถเทียมม้า ๔ ตัว ด้วยฤทธิ์แล้ว ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ยืน ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง.
               มารถามเชิงขู่พระเถรีว่า
                                   ท่านเข้าไปยังต้นไม้ที่ออกดอกบานถึงยอด
                         ยืนอยู่ผู้เดียวที่โคนไม้ เพื่อนไรๆ ของท่านก็ไม่มีเลย
                         ท่านไม่กลัวความสามหาวของพวกนักเลงเจ้าชู้หรือ.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุปุปฺผิตคฺคํ ความว่า มียอดออกดอกบานดี คือบานสะพรั่งทั่วทั้งต้นแต่ยอด.
               บทว่า ปาทปํ แปลว่า ต้นไม้ในที่นี้ท่านหมายเอาต้นสาละ.
               บทว่า เอกา ตุวํ ความว่า ท่านยืนอยู่ผู้เดียวในที่นี้.
               บทว่า น จาปิ ตุยฺหํ ทุติยตฺถิ โกจิ ความว่า แม้ใครๆ ที่เป็นสหายของท่าน เป็นผู้อารักขาไม่มี.
               อีกอย่างหนึ่ง โดยรูปสมบัติ เพื่อนแม้ไรๆ ของท่านก็ไม่มี หญิงที่มีรูปสวยไม่มีใครเสมอ ยืนอยู่ลำพังคนเดียวในที่สงัดจากชนนี้.
               บทว่า น ตฺวํ พาเล ภายสิ ธุตฺตกานํ ความว่า ดูก่อนแม่สาวรุ่น ท่านไม่กลัวถ้อยคำของพวกชายเจ้าชู้. อธิบายว่า พวกนักเลงที่ทำการเกี้ยว.
               เขาว่า วันหนึ่ง มารเห็นพระเถรีนั่งพักผ่อนกลางวัน ณ ป่าสาละที่ออกดอกบาน ต้องการจะตัดพระเถรีให้ขาดจากวิเวก เมื่อทดลองจึงกล่าวคาถานี้.
               ลำดับนั้น พระเถรีเมื่อจะคุกคามมารนั้น จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้โดยอานุภาพของตนว่า
                                   ต่อให้นักเลงนับจำนวนแสนเช่นนี้ มารุมล้อม
                         ขนของเราก็ไม่หวั่นไม่ไหว มารเอย ท่านผู้เดียวจัก
                         ทำอะไรเราได้ เรานั้นหายตัวได้ เข้าท้องท่านก็ได้
                         ยืนระหว่างคิ้ว ท่านก็ไม่เห็นเราได้
                                   เราเป็นผู้ชำนาญในจิต อบรมอิทธิบาทอย่างดี
                         แล้ว อภิญญา ๖ เราก็ทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระ
                         พุทธเจ้า เราก็ทำเสร็จแล้ว.
                                   กามทั้งหลาย เปรียบด้วยหอกและหลาวเป็น
                         เครื่องบีบคั้นขันธ์ทั้งหลาย ท่านเอ่ยถึงความยินดีใน
                         กามอันใด บัดนี้เราไม่มีความยินดีอันนั้น.
                                   ความเพลิดเพลินในกามทั้งปวง เราขจัดเสีย
                         แล้วกองแห่งความมืด [อวิชชา] เราก็ทำลายเสียแล้ว
                                   ดูก่อนมารผู้มีบาป ท่านจงรู้ไว้เถิด ดูก่อนมาร
                         ผู้กระทำที่สุด ถึงตัวท่านเราก็ขจัดเสียแล้ว.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตํ สหสฺสานิปิ ธุตฺตกานํ สมาคตา เอทิสกา ภเวยฺยุํ ความว่า ท่านเป็นเช่นใด เหล่านักเลงแม้จำนวนหลายแสนเช่นนั้น คือเห็นปานนั้น พึงมาชุมนุมกัน.
               บทว่า โลมํ น อิญฺเช นปิ สมฺปเวเธ ความว่า แม้มาตรว่าขนไม่พึงหวั่นไม่พึงไหว.
               บทว่า กึ เม ตุวํ มาร กริสฺสเสโก ความว่า ดูก่อนมาร ท่านผู้เดียวจักทำอะไรเราได้
               บัดนี้ พระเถรีเมื่อจะชี้แจงว่า มารไม่สามารถทำอะไรๆ แก่ตนได้ จึงกล่าวคาถาว่า เอสา อนฺตรธายามิ เป็นต้น.
               คาถานั้นมีความว่า
               ดูก่อนมาร เรานั้นยืนอยู่ต่อหน้าท่าน ก็หายตัวได้ ท่านมองไม่เห็น เราเข้าท้องท่าน ทั้งที่ไม่รู้นั่นแหละก็ได้ ยืนอยู่ระหว่างคิ้วก็ได้ และเรายืนอยู่อย่างนั้น ท่านก็ไม่เห็น.
               หากจะถามว่า เพราะเหตุไร
               ก็ตอบได้ว่า เพราะเราชำนาญในจิตอบรมอิทธิบาทดีแล้ว.
               อธิบายว่า ดูก่อนมาร เราเป็นได้ เพราะจิตของเราชำนาญแล้ว แม้อิทธิบาท ๔ เราก็อบรมดีแล้ว ทำให้มากแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงสามารถ เพราะอยู่ในอิทธิวิสัยตามที่กล่าวมาแล้ว.
               ข้อนอกนั้นทั้งหมดง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลัง.

               จบอรรถกถาอุบลวรรณาเถรีคาถาที่ ๑               
               จบอรรถกถาทวาทสกนิบาต               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรีคาถา ทวาทสกนิบาต ๑. อุบลวัณณาเถรีคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 464อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 465อ่านอรรถกถา 26 / 466อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=9536&Z=9568
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=34&A=4990
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=34&A=4990
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :