ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 62อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 63อ่านอรรถกถา 26 / 64อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ มหารถวรรคที่ ๕
๑๓. จูฬรถวิมาน

               อรรถกถาจูฬรถวิมาน               
               จูฬรถวิมาน มีคาถา ทฬฺหธมฺมา นิสารสฺส เป็นต้น.
               จูฬรถวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร?
               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว พร้อมด้วยแบ่งพระบรมธาตุ สถาปนาพระสถูปสำหรับพระศาสดาไว้ในที่นั้นๆ เมื่อพระสาวกที่ได้คัดเลือกเพื่อสังคายนาพระธรรม มีพระมหากัสสปเถระเป็นประมุขอยู่ในที่นั้นๆ กับบริษัทของตนๆ ด้วยเห็นแก่เวไนยสัตว์ จนถึงวันเข้าพรรษา ท่านพระมหากัจจายนะอยู่ในเขตป่าแห่งหนึ่ง ในปัจจันตประเทศ.
               สมัยนั้น พระเจ้าอัสสกราชครองราชสมบัติอยู่ในโปตลินคร แคว้นอัสสกะ กุมารพระนามว่าสุชาต เป็นพระโอรสของอัครมเหสีของพระเจ้าอัสสกราชนั้น มีพระชนมายุได้ ๑๖ ปี ถูกพระบิดาเนรเทศจากแว่นแคว้นเพราะยื้อแย่งราชสมบัติกับพระเทวีน้อย จึงเข้าป่า อาศัยพวกพรานอยู่ในป่า.
               เล่ากันมาว่า กุมารนั้นบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ตั้งอยู่ในคุณเพียงศีล ตายอย่างปุถุชน บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่ในดาวดึงส์นั้นชั่วอายุ เที่ยวไปเที่ยวมาอยู่ในสุคตินั้นแล ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในครรภ์ของอัครมเหสีของพระเจ้าอัสสกราช ในแคว้นอัสสกะ
               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ได้ ๓๐ ปี เขาได้มีนามว่าสุชาต เจริญด้วยบริวารเป็นอันมาก.
               เมื่อพระชนนีของสุชาตกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าอัสสกราชได้ตั้งราชธิดาองค์อื่นไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี. ต่อมาพระนางได้ประสูติพระโอรส พระราชาทอดพระเนตรเห็นโอรสของพระนาง ก็ทรงเลื่อมใสได้ประทานพรว่า ที่รัก เจ้าจงถือเอาพรที่เจ้าปรารถนา พระนางทำเป็นรับพรไว้แต่พักไว้ก่อน (ยังไม่กล่าวขอพร).
               เมื่อสุชาตกุมารมีพระชันษาได้ ๑๒ พรรษา. พระนางจึงกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นลูกของหม่อมฉันแล้วมีจิตเลื่อมใส ได้พระราชทานพรไว้ บัดนี้ขอพระองค์โปรดพระราชทานพรนั้นเถิด. ตรัสว่า จงรับเอาเถิดเทวี.
               พระนางกราบทูลว่า ขอพระองค์โปรดพระราชทานราชสมบัติแก่ลูกของหม่อมฉันนะเพคะ. ตรัสว่า ฉิบหายละอีถ่อย สุชาตกุมารลูกคนโตของฉันซึ่งเป็นเสมือนเทพกุมาร ยังอยู่ เหตุไร เจ้าจึงกล่าวอย่างนี้. ทรงปฏิเสธ พระเทวียืนคำบ่อยๆ ก็ผูกพระทัยไม่ได้.
               วันหนึ่งทูลว่า ข้าแต่เทวะ ถ้าพระองค์ยังดำรงอยู่ในสัจจะ ก็ขอได้โปรดพระราชทานเถิด
               พระราชาทรงเสียพระทัยว่า เราได้พลั้งให้พรแก่หญิงผู้นี้ และนางก็มาพูดอย่างนี้ ตรัสเรียกสุชาตกุมารมาตรัสบอกความเรื่องนั้น น้ำพระเนตรไหล.
               พระกุมารเห็นพระบิดาทรงโศกเศร้า ก็เสียพระทัยน้ำพระเนตรไหล กราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ โปรดทรงอนุญาตเถิด ข้าพระองค์จักไปที่อื่น. พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ตรัสว่า พ่อจักสร้างเมืองใหม่ให้เจ้า เจ้าควรอยู่ในเมืองนั้น. พระกุมารก็ไม่ปรารถนา. เมื่อพระราชาตรัสว่า พ่อจักส่งไปอยู่ในสำนักพระราชาสหายของพ่อดังนี้ ก็ไม่ทรงเห็นด้วยแม้ข้อนั้น กราบทูลอยู่อย่างเดียวว่า ข้าแต่เทวะ ข้าพระองค์จักไปป่า.
               พระราชาสวมกอดพระโอรส จุมพิตที่พระเศียรตรัสว่าเมื่อพ่อล่วงลับไปแล้ว เจ้าจงมาครองราชสมบัติในนครนี้ ทรงปล่อยไปแล้ว.
               พระกุมารนั้นเข้าป่าอาศัยพวกพรานอยู่ วันหนึ่งไปล่าเนื้อ เทพบุตรองค์หนึ่งเป็นสหายที่ประเสริฐในครั้งที่เขาเป็นสมณะ จำแลงรูปเป็นเนื้อ มาล่อเขาด้วยความหวังดี วิ่งไปใกล้ที่อยู่ของท่านพระมหากัจจายนะแล้วหายไป. พระกุมารนั้นคิดจักจับเนื้อตัวนี้ในบัดนี้ จึงวิ่งเข้าไปถึงที่อยู่ของพระเถระ ไม่เห็นเนื้อ เห็นแต่พระเถระนั่งอยู่นอกบรรณศาลา จึงได้ยืนกั้นปลายลูกธนูในที่ใกล้พระเถระนั้น
               พระเถระแลดูเขา ทราบเรื่องที่เป็นไปของเขาทั้งหมดตั้งแต่ต้น เมื่อจะอนุเคราะห์ ทำเป็นไม่รู้ เมื่อทำการสงเคราะห์ได้ถามว่า
               ท่านสอดธนูไว้มั่น ยืนจ้องธนูไม้แก่นอยู่ ท่านเป็นกษัตริย์ หรือราชกุมาร หรือเป็นพรานป่า.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทฬฺหธมฺมา แปลว่า สอดธนูไว้มั่น.
               ธนูที่ใช้สองพันแรงคน ท่านเรียกว่าสอดธนูไว้มั่น และที่ว่าธนูที่ใช้สองพันแรงคน ได้แก่ธนูที่เมื่อยกขึ้น น้ำหนักแห่งหัวโลหะเป็นต้นที่ผูกไว้ที่สาย จับคันธนูยกขึ้นพ้นดินชั่วแค่ลูกธนู.
               บทว่า นิสารสฺส ได้แก่ ธนูของต้นไม้ที่มีแก่นดียิ่ง คือมีแก่นดีเลิศ. อธิบายว่า ธนูที่ทำด้วยไม้แก่น.
               บทว่า โอลุพฺภ ได้แก่ กั้น.
               บทว่า ราชญฺโญ แปลว่า ราชกุมาร.
               บทว่า วเนจโร แปลว่า ผู้เที่ยวไปในป่า.
               ลำดับนั้น พระกุมารนั้นเมื่อประกาศตน จึงตรัสว่า
               ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นโอรสของพระเจ้าอัสสกะ เที่ยวไปในป่า ข้าแต่ภิกษุ ข้าพเจ้าขอบอกนามของข้าพเจ้าแก่ท่าน คนทั้งหลายรู้จักข้าพเจ้าว่าสุชาต ข้าพเจ้าแสวงหาเนื้อจึงหยั่งลงสู่ป่าใหญ่ ไม่เห็นเนื้อ เห็นแต่ท่าน จึงได้ยืนอยู่.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺสกาธิปติสฺส แปลว่า พระเจ้าอัสสกะผู้เป็นใหญ่ในอัสสกรัฐ. พระกุมารเรียกพระเถระว่า ภิกษุ.
               บทว่า มิเค คเวสมาโน ความว่า แสวงหาเนื้อมีสุกรเป็นต้น คือเที่ยวล่าเนื้อ.
               พระเถระได้ฟังดังนั้น เมื่อกระทำปฏิสันถารกับกุมารนั้น ทูลว่า
               ท่านผู้มีบุญมาก ท่านมาดีแล้ว ท่านมาไม่เลวเลย ท่านจงรับเอาน้ำจากที่นี้ล้างเท้าทั้งสองของท่านเถิด นี้เป็นน้ำดื่มเย็น นำมาแต่ซอกเขา ท่านราชโอรส ครั้นเสวยน้ำแล้วโปรดเสด็จเข้าไปประทับนั่งบนสันถัตเถิด.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อทุราคตํ ความว่า ท่านผู้มีบุญมาก การมาในที่นี้ของท่าน เว้นจากการมาร้ายชื่อว่ามาดีแล้ว. อธิบายว่า การมาร้ายแม้น้อยของท่านไม่มี เพราะให้เกิดปีติโสมนัสทั้งแก่ท่านและแก่อาตมา.
               ปาฐะว่า อธุนาคตํ มาไม่นาน ดังนี้ก็มี ความว่า มาในบัดนี้.
               บทว่า สนฺถตฺสมึ อุปาวิส ความว่า อย่าประทับนั่งบนพื้นที่ไม่มีเครื่องลาด โปรดประทับนั่งบนเครื่องลาดหญ้าโน้น.
               ลำดับนั้น พระราชกุมารรับการปฏิสันถารของพระเถระตรัสว่า
               ข้าแต่พระมหามุนี วาจาของท่านงามหนอ น่าฟัง ไม่มีโทษ มีประโยชน์ ไพเราะ ท่านรู้แล้วกล่าวแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เถิด.
               ท่านอยู่ในป่า ยินดีอะไร ข้าแต่ท่านฤษีผู้ประเสริฐสุด ท่านถูกถามแล้วโปรดบอกทีเถิด พวกข้าพเจ้าพิจารณาคำของท่านแล้ว พึงประพฤติโดยเอื้อเฟื้อซึ่งบทที่ประกอบด้วยอรรถและธรรม.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กลฺยาณี แปลว่า ดี คืองาม.
               บทว่า สวนียา แปลว่า ควรที่จะฟัง.
               บทว่า เนลา แปลว่า ปราศจากโทษ.
               บทว่า อตฺถวตี ความว่า ประกอบด้วยประโยชน์ คือประกอบด้วยประโยชน์มีประโยชน์ปัจจุบันเป็นต้น.
               บทว่า วคฺคุ แปลว่า ไพเราะ.
               บทว่า มนฺตฺวา แปลว่า รู้แล้ว คือกำหนดแล้วด้วยปัญญา.
               บทว่า อตฺถํ ได้แก่ ไม่ปราศจากประโยชน์ คือนำมาซึ่งประโยชน์โดยส่วนเดียว.
               บทว่า อิสินิสภ แปลว่า ผู้ประเสริฐสุดในฤาษีทั้งหลาย เช่นกับบุรุษอาชาไนย.
               บทว่า วจนปถํ แปลว่า คำ ก็คำนั่นแล ท่านกล่าวว่าวจนปถะ เพราะเป็นอุบายให้บรรลุประโยชน์.
               บทว่า อตฺถธมฺมปทํ สมาจเรมเส ความว่า พวกข้าพเจ้าจะปฏิบัติส่วนแห่งธรรมมีศีลเป็นต้นที่นำมาซึ่งประโยชน์ในภพนี้และภพหน้า.
               บัดนี้ พระเถระเมื่อกล่าวสัมมาปฏิบัติของตน ซึ่งสมควรแก่พระราชกุมารนั้น จึงทูลว่า
               ดูก่อนกุมาร เราชอบใจการไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง การงดเว้นลักขโมย งดเว้นการประพฤติล่วงเกิน งดเว้นดื่มน้ำเมา งดบาปธรรม ความประพฤติสงบ ความเป็นพหูสูต ความเป็นคนกตัญญู ธรรมเหล่านี้ กุลบุตรสรรเสริญในปัจจุบัน อันวิญญูชนพึงสรรเสริญ.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อารติ สมจริยา จ ได้แก่ การงดเว้นขาดจากบาปธรรมตามที่กล่าวแล้ว และความประพฤติสงบมีความสงบกายเป็นต้น.
               บทว่า พาหุสจฺจํ ได้แก่ ความเป็นพหูสูตทางปริยัติ.
               บทว่า กตญฺญุตา ได้แก่ การรู้อุปการะที่คนเหล่าอื่นกระทำแก่ตน.
               บทว่า ปาสํสา ความว่า อันกุลบุตรทั้งหลายผู้ต้องการประโยชน์พึงสรรเสริญโดยการกระทำทั่วไป.
               บทว่า ธมฺมา เอเต ได้แก่ ธรรมมีอหิงสาเป็นต้นตามที่กล่าวแล้ว.
               บทว่า ปสํสิยา แปลว่า อันวิญญูชนทั้งหลายพึงสรรเสริญ.
               พระเถระกล่าวสัมมาปฏิบัติที่สมควรแก่พระราชกุมารนั้นอย่างนี้แล้ว ตรวจดูอายุสังขารด้วยอนาคตังสญาณ เห็นว่าอายุของเขาเหลือเพียงห้าเดือนเท่านั้น เพื่อจะให้เขาสลดใจแล้วตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัตินั้นมั่นคง จึงกล่าวคาถานี้ว่า
               ดูก่อนราชโอรส ท่านจงรู้เถิดว่า อีกห้าเดือนข้างหน้าท่านจักสิ้นพระชนม์ ท่านจงเปลื้องตนเถิด.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺตานํ ปริโมจย ความว่า ท่านจงเปลื้องตนจากทุกข์ในอบาย.
               ต่อนั้น พระกุมารเมื่อถามอุบายหลุดพ้นสำหรับตน จึงตรัสว่า
               ข้าพเจ้าจะไปชนบทไหนหนอ จะทำอะไร จะทำกิจของบุรุษอะไรๆ หรือจะใช้วิชาอะไร จึงจะไม่แก่ไม่ตาย.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กตมํ สวาหํ ได้แก่ ข้าพเจ้าจะไปชนบทไหน. ความว่า ไหนหนอ เพิ่มคำว่า กตวา ในบทว่า กึ กมฺมํ กิญฺจิ โปริสํ.
               บทว่า โปริสํ แปลว่า กิจของบุรุษ.
               ต่อนั้น พระเถระเพื่อจะแสดงธรรมแก่เขา ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
               ดูก่อนราชโอรส ไม่มีประเทศที่สัตว์ไปแล้วไม่แก่ไม่ตาย ไม่มีกรรม วิชาและกิจของบุรุษ ที่สัตว์ทำแล้วไม่แก่ไม่ตาย ผู้มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก แม้เหล่ากษัตริย์ครองแว่นแคว้น มีทรัพย์และข้าวเปลือกมาก แม้ท่านเหล่านั้นไม่แก่ไม่ตาย ก็หาไม่.
               ท่านที่เป็นนักศึกษา เป็นบุตรของชาวอันธกะและชาวเวณฑุ ผู้สามารถแกล้วกล้า ประหารฝ่ายปรปักษ์ แม้ท่านเหล่านั้น เสมอด้วยสิ่งยั่งยืนก็ต้องพินาศ ถึงอายุขัยสิ้นอายุ.
               กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาลและปุกกุสะ และพวกชาติอื่นๆ แม้คนเหล่านั้นไม่แก่ไม่ตาย หามีไม่ ท่านที่ร่ายมนต์พรหมจินดามีองค์ ๖ และท่านที่ใช้วิชาอื่นๆ แม้ท่านเหล่านั้นไม่แก่ไม่ตาย หามีไม่.
               อนึ่ง พวกฤษีผู้สงบ สำรวมจิตบำเพ็ญตบะ แม้ท่านผู้บำเพ็ญตบะเหล่านั้นก็ต้องละทิ้งร่างกายไปตามกาล แม้พระอรหันต์ทั้งหลายผู้อบรมตนแล้ว ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ สิ้นบุญและบาปแล้ว ก็ยังทอดทิ้งกายนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยตฺถ คนฺตฺวา ความว่า ไปประเทศใด เข้าถึง คือถึงกรรม วิชาและกิจของบุรุษด้วยกายประโยคและด้วยประโยคนอกนี้ พึงเป็นผู้ไม่แก่ไม่ตาย.
               ชื่อว่ามีทรัพย์มาก เพราะมีทรัพย์ที่รวบรวมเก็บไว้มากประมาณร้อยโกฏิเป็นต้นเป็นอย่างต่ำ. ชื่อว่ามีโภคะมาก เพราะมีโภคะที่เป็นเสบียงมาก คือกหาปณะมีสามหม้อเป็นต้น.
               บทว่า รฏฺฐวนฺโต ได้แก่ เจ้าของแว่นแคว้น. อธิบายว่า ปกครองแว่นแคว้นปริมาณหลายโยชน์.
               บทว่า ขตฺติยา แปลว่า ชาติกษัตริย์.
               บทว่า ปหูตธนธญฺญาเส ได้แก่ สั่งสมทรัพย์และข้าวเปลือกมาก คือสั่งสมทรัพย์และข้าวเปลือกพอกินพอใช้ได้เจ็ดแปดปี สำหรับตนและบริวาร.
               บทว่า โน เตปิ อชรามรา ความว่า มีความแก่และความตายเป็นธรรมดาทีเดียว. อธิบายว่า แม้ความเป็นผู้มีทรัพย์มากเป็นต้น ก็ห้ามความแก่และความตายที่อยู่เหนือท่านเหล่านั้นไม่ได้.
               บทว่า อนฺธกเวณฺฑุปุตฺตา ความว่า ปรากฏว่าเป็นบุตรของชาวอันธกะและชาวเวณฑุ.
               บทว่า สูรา ได้แก่ ผู้มีความสามารถ.
               บทว่า วีรา ได้แก่ ผู้มีความกล้า.
               บทว่า วิกกนฺตปฺปหาริโน ความว่า มีปกติข่มครอบกำลังของข้าศึกแล้วประหารได้ด้วยความเป็นผู้สามารถและแกล้วกล้านั่นแล.
               บทว่า วิทฺธสฺตา ได้แก่ ทำให้พินาศ.
               บทว่า สสฺสตีสมา ได้แก่ เสมอด้วยของยั่งยืนทั้งหลายมีพระจันทร์และพระอาทิตย์เป็นต้น โดยสืบตระกูลกัน. ความว่า แม้ท่านเหล่านั้นก็ไปตามตระกูลที่เป็นไปได้ไม่นานเลย.
               บทว่า ชาติยา ได้แก่ โดยชาติของตน ความว่า แม้ชาติที่ประเสริฐกว่าก็ห้ามชราและมรณะของคนเหล่านั้นไม่ได้.
               บทว่า มนฺตํ ได้แก่ เวท.
               บทว่า ฉฬงฺคํ ได้แก่ มีองค์ ๖ โดยองค์ทั้ง ๖ กล่าวคือ กัปปศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์ นิรุตติศาสตร์ สิกขาศาสตร์ ฉันโทวิจิติศาสตร์และโชติศาสตร์.
               บทว่า พฺรหฺมจินฺติตํ ได้แก่ อันพรหมฤษีทั้งหลายมีอัฏฐกฤษีเป็นต้นคิดแล้ว คือเห็นแล้วด้วยปัญญาจักษุ.
               บทว่า สนฺตา ได้แก่ มีกายกรรมและวจีกรรมสงบระงับแล้ว.
               บทว่า สญฺญตตฺตา ได้แก่ มีจิตสำรวมแล้ว.
               บทว่า ตปสฺสิโน ได้แก่ ผู้อาศัยตบะ.
               บัดนี้ พระกุมารเมื่อตรัสสิ่งที่ตนพึงทำ จึงตรัสว่า
               ข้าแต่พระมหามุนี คาถาทั้งหลายของท่านเป็นสุภาษิต มีประโยชน์ ข้าพเจ้าเพ่งพินิจตามสุภาษิตนั้นแล้ว และขอท่านโปรดเป็นสรณะของข้าพเจ้าด้วยเถิด.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิชฺฌตฺโตมฺหิ ได้แก่ เป็นผู้เพ่งพินิจ คือไปแล้วด้วยความเข้าใจด้วยสัญญาในโอชะแห่งธรรม.
               บทว่า สุภฏฺเฐน แปลว่า ที่กล่าวแล้วด้วยดี.
               ลำดับนั้น พระเถระเมื่อพร่ำสอนพระกุมารนั้น ได้ภาษิตคาถานี้ว่า
               ท่านจงอย่าถึงอาตมาเป็นสรณะเลย อาตมาถึงพระมหาวีรศากยบุตรใดเป็นสรณะ ท่านจงถึงพระมหาวีรศากยบุตรนั้นเป็นสรณะเถิด.
               ต่อนั้น พระราชกุมารตรัสอย่างนี้ว่า
               ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ พระศาสดาของท่านพระองค์นั้นประทับอยู่ในชนบทไหน แม้ข้าพเจ้าก็จักไปเฝ้าพระชินะผู้หาบุคคลเปรียบมิได้.
               พระเถระทูลอีกว่า
               พระศาสดาเป็นบุรุษอาชาไนย มีพระสมภพแต่ราชสกุลพระเจ้าโอกกากราช ในชนบททิศตะวันออก แต่พระองค์เสด็จปรินิพพานเสียแล้ว.
               พระเถระกล่าวว่า ปุรตฺถิมสฺมึ ชนปเท ในคาถานั้น เพราะมัชฌิมประเทศอยู่ทางทิศตะวันออก จากประเทศที่พระเถระนั่งอยู่.
               ราชโอรสนั้นฟังธรรมเทศนาของพระเถระอย่างนี้แล้ว มีใจเลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ในสรณะและศีล เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า
               ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ถ้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาของท่านยังดำรงพระชนม์อยู่ ถึงไกลหลายพันโยชน์ ข้าพเจ้าก็จะไปเฝ้าใกล้ๆ แต่เพราะพระศาสดาของท่านเสด็จปรินิพพานเสียแล้ว ข้าพเจ้าก็ขอถึงพระมหาวีระผู้เสด็จปรินิพพานแล้วเป็นสรณะ ขอถึงพระพุทธเจ้า ทั้งพระธรรมอันยอดเยี่ยม ทั้งพระสงฆ์ ผู้เป็นสรณะของมนุษย์และเทวดา ว่าเป็นสรณะ.
               ข้าพเจ้าของดเว้นปาณาติบาตทันที ของดเว้นอทินนาทานในโลก ไม่ดื่มน้ำเมา และไม่กล่าวเท็จ เป็นผู้ยินดีด้วยภริยาของตน.
               พระราชกุมารตั้งอยู่ในสรณะและศีลอย่างนี้แล้ว.
               พระเถระก็ทูลอย่างนี้ว่า ดูก่อนราชกุมาร ไม่มีประโยชน์ที่ท่านจะอยู่ป่าในที่นี้ ท่านจะมีชีวิตอยู่ไม่นาน ภายใน ๕ เดือนเท่านั้น ท่านจักสิ้นพระชนม์ ฉะนั้น ท่านควรไปยังสำนักพระราชบิดาของท่าน ทำบุญทั้งหลายมีให้ทานเป็นต้น พึงเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ดังนี้แล้วแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ในสำนักของตนให้.
               ราชกุมารนั้นเมื่อจะไป ตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าจักไปจากที่นี้ตามคำของท่าน แม้ท่านก็พึงไปในที่นั้น เพื่ออนุเคราะห์ข้าพเจ้า ทราบว่าพระเถระรับนิมนต์แล้ว ไหว้ ทำประทักษิณแล้วเสด็จไปนครของพระบิดาเข้าไปยังอุทยาน แจ้งให้กราบทูลพระราชาทรงทราบว่าตนมาแล้ว.
               พระราชาทรงสดับเรื่องนั้น พร้อมด้วยบริวารเสด็จไปอุทยาน สวมกอดพระกุมาร นำเข้าในเมือง มีพระราชประสงค์จะอภิเษก.
               พระกุมารทูลว่า ข้าแต่เทวะ ข้าพระองค์มีอายุน้อย จากนี้ไป ๔ เดือนก็จักตาย ข้าพระองค์จะต้องการอะไรด้วยราชสมบัติ ข้าพระองค์จักอาศัยพระองค์ทำบุญเท่านั้น แล้วประกาศคุณของพระเถระและอานุภาพของพระรัตนตรัย.
               พระราชาทรงสดับดังนั้น ทรงสลดพระทัย เลื่อมใสในพระรัตนตรัยและพระเถระ โปรดให้สร้างวิหารใหญ่ แล้วทรงส่งทูตไปสำนักของพระมหากัจจายนเถระ แม้พระเถระก็ได้มาอนุเคราะห์พระราชาและมหาชน.
               พระราชาพร้อมด้วยข้าราชบริวารเสด็จไปต้อนรับแต่ไกลทีเดียว นิมนต์พระเถระให้เข้าวิหาร บำรุงด้วยปัจจัยสี่โดยเคารพ ตั้งอยู่ในสรณะและศีลทั้งหลาย.
               พระกุมารสมาทานศีลทั้งหลาย บำรุงพระเถระและภิกษุทั้งหลายโดยเคารพ ให้ทาน ฟังธรรม ล่วงไปสี่เดือนก็สิ้นพระชนม์ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์. รถขนาดเจ็ดโยชน์ประดับด้วยรัตนะเจ็ดเกิดขึ้นด้วยบุญญานุภาพของเทวบุตรนั้น เทวบุตรนั้นมีอัปสรเป็นบริวารหลายพัน.
               พระราชาทรงทำสักการะสรีระของพระกุมาร และถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ ทำการบูชาพระเจดีย์ มหาชนประชุมกันในที่นั้น แม้พระเถระพร้อมด้วยบริวารก็ได้เข้าไปยังประเทศนั้น.
               ครั้งนั้น เทวบุตรตรวจดูกุศลกรรมที่ตนทำไว้ คิดด้วยความเป็นผู้กตัญญูว่า เราจักไปไหว้พระเถระและจักทำศาสนคุณให้ปรากฏ ขึ้นรถทิพย์มาปรากฏรูปให้เห็นพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก ลงจากรถไหว้แทบเท้าพระเถระ ทำปฏิสันถารกับบิดา เข้าไปยืนประคองอัญชลีอยู่ใกล้พระเถระ.
               พระเถระไต่ถามเทวบุตรนั้นด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
               พระอาทิตย์มีรัศมีมาก ส่องแสงไปในท้องฟ้าตามลำดับตลอดทิศประการไรๆ รถใหญ่ของท่านนี้ก็มีประการอย่างนั้น แผ่แสงไปโดยรอบกว้างร้อยโยชน์ หุ้มด้วยแผ่นทองโดยรอบ คานรถนั้นวิจิตรด้วยแก้วมุกดาและแก้วมณี มีลายทองและเงิน ทำด้วยแก้วไพฑูรย์ สร้างไว้อย่างดีสง่างาม งอนรถสร้างด้วยแก้วไพฑูรย์ แอกรถวิจิตรด้วยแก้วทับทิม แม้ม้า (เทียมรถ) ก็ประดับด้วยทองและเงิน สง่างาม วิ่งเร็วทันใจ ท่านนั้นยืนสง่าอยู่ในรถทอง มีพาหนะเทียมม้าพันหนึ่ง ดังท้าวสักกะจอมทวยเทพ
               ดูก่อนท่านผู้มียศ อาตมาขอถามท่านผู้ชาญฉลาด ยศอันโอฬารนี้ ท่านได้มาอย่างไร.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สหสฺสรํสี แปลว่า พระอาทิตย์. ก็พระอาทิตย์นั้น ท่านเรียกว่าสหสฺสรํสี เพราะมีรัศมีหลายพัน.
               บทว่า ยถา มหปฺปโภ ได้แก่ มีรัศมีเหมาะแก่ความใหญ่ของตน เหมือนอย่างว่า ดวงไฟที่เสมอเหมือนกับดวงอาทิตย์โดยความใหญ่ ย่อมไม่มีฉันใด ที่เสมอเหมือนแม้โดยรัศมีก็ไม่มีฉันนั้น.
               จริงอย่างนั้น ดวงอาทิตย์นั้นย่อมแผ่แสงสว่างถึงสามทวีปใหญ่ในขณะเดียวกัน.
               บทว่า ทิสํ ยถา ภาติ นเภ อนุกฺกมํ ความว่า พระอาทิตย์เมื่อโคจรคล้อยเคลื่อนไปตลอดทิศ อย่างไรทีเดียว ย่อมส่องแสงสว่างโชติช่วงในท้องฟ้า คือในอากาศอย่างไร คือด้วยประการใด.
               บทว่า ตถาปกาโร ได้แก่ มีอาการเช่นนั้น.
               บทว่า ตวายํ ตัดบทเป็น ตว อยํ แปลว่า ของท่านนี้.
               บทว่า สุวณฺณปฏฺเฏหิ แปลว่า ด้วยแผ่นที่สำเร็จด้วยทอง.
               บทว่า สมนฺตโมตฺถโฏ ได้แก่ ถูกปิดโดยรอบ.
               บทว่า อุรสฺส ตัดบทเป็น อุโร อสฺส แปลว่า คานของรถนั้น. ท่านเรียกโคนงอนรถว่าคานของรถ ก็มี.
               บทว่า เลขา ได้แก่ ลายมีมาลากรรมลายดอกไม้และลดากรรมลายเครือเถาเป็นต้น ที่สำเร็จด้วยแก้วไพฑูรย์. ท่านกล่าวว่า สุวณฺณสฺส จ รูปิยสฺส จ ดังนี้ เพราะลายเหล่านั้นปรากฏบนแผ่นทองและแผ่นเงินทั้งหลาย.
               บทว่า โสเภนฺติ แปลว่า ทำรถให้งาม.
               บทว่า สีสํ ได้แก่ หัวทูบรถ.
               บทว่า เวฬุริยสฺส นิมฺมิตํ แปลว่า สร้างด้วยแก้วไพฑูรย์ ความว่า สำเร็จด้วยแก้วไพฑูรย์.
               บทว่า โลหิตกาย ได้แก่ ด้วยแก้วทับทิม หรือด้วยแก้วมณีแดงอย่างใดอย่างหนึ่ง.
               บทว่า ยุตฺตา แปลว่า ประกอบแล้ว.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า โยตฺตา สุวณฺณสฺส จ รูปิยสฺส จ ความว่า เชือกสำเร็จด้วยทองและสำเร็จด้วยเงิน. อธิบายว่า เครื่องผูกตีนช้าง [ตกปลอก].
               บทว่า อธิฏฺฐิโต ความว่า ยืนข่มที่นี้เสียสิ้นด้วยเทวฤทธิ์ของตน.
               บทว่า สหสฺสวาหโน แปลว่า มีพาหนะเทียมด้วยม้าพันหนึ่ง. อธิบายว่า มีรถเทียมด้วยม้าอาชาไนยพันหนึ่ง เหมือนท้าวสักกะจอมทวยเทพ.
               บทว่า ยสวนฺต เป็นอาลปนะคำร้องเรียก ความว่า ดูก่อนท่านผู้มียศ.
               บทว่า โกวิทํ ได้แก่ มีกุศลญาณ หรือชาญฉลาดในกระบวนการขับรถ.
               บทว่า อยํ อุฬาโร อธิบายว่า ยศอันโอฬารคือใหญ่นี้.
               เทวบุตรถูกพระเถระถามอย่างนี้แล้ว ได้พยากรณ์ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
               ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นราชโอรสชื่อสุชาต ในชาติก่อน และท่านได้อนุเคราะห์ให้ข้าพเจ้าได้ตั้งอยู่ในสัญญมะ ท่านทราบว่าข้าพเจ้าหมดอายุ ได้มอบพระบรมสารีริกธาตุของพระศาสดาด้วยกล่าวว่า ดูก่อนสุชาต เธอจงบูชาพระบรมสารีริกธาตุนี้ การบูชานั้นจักเป็นประโยชน์แก่เธอเอง.
               ข้าพเจ้าได้ขวนขวายบูชาพระบรมสารีริกธาตุนั้น ด้วยของหอมและดอกไม้ทั้งหลาย ครั้นละร่างมนุษย์แล้วได้เข้าถึงนันทนอุทยาน มีอัปสรห้อมล้อม รื่นรมย์ด้วยการฟ้อนรำขับร้องอยู่ในนันทนอุทยาน อันเลิศน่าร่มรื่น ประกอบด้วยฝูงปักษานานาพรรณ.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สรีรํ ได้แก่ พระบรมสารีริกธาตุ.
               บทว่า โหหิติ แปลว่า จักเป็น.
               บทว่า สมุยฺยุโต ความว่า ขวนขวายโดยชอบ คือกระวีกระวาด.
               เทวบุตรตอบเนื้อความที่พระเถระถามอย่างนี้ แล้วไหว้พระเถระ ทำประทักษิณ ลาบิดามารดาแล้วขึ้นรถกลับไปเทวโลกตามเดิม.
               แม้พระเถระก็ได้ทำเนื้อความนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติ เหตุเกิดเรื่อง กล่าวธรรมีกถาโดยพิสดารแก่บริษัทที่ประชุมกัน ธรรมกถานั้นได้เป็นประโยชน์แก่มหาชน.
               ครั้งนั้น พระเถระได้บอกเรื่องทั้งหมดนั้นแก่พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย ในคราวปฐมสังคายนา โดยทำนองที่ตนและเทวบุตรพูดกันนั่นเทียว.
               พระธรรมสังคาหกาจารย์เหล่านั้นได้ยกเรื่องนั้นขึ้นสู่สังคายนาอย่างนั้นแล.

               จบอรรถกถาจูฬรถวิมาน               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ มหารถวรรคที่ ๕ ๑๓. จูฬรถวิมาน จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 62อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 63อ่านอรรถกถา 26 / 64อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=2141&Z=2235
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=30&A=6377
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=30&A=6377
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๑  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :