ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1021 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1028 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1035 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา กปิชาดก
ว่าด้วย คุณธรรมของผู้บริหารคณะ

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภแผ่นดินสูบพระเทวทัตแล้ว จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยตฺถ เวรี นิวสติ ดังนี้.
               ดังจะกล่าวโดยย่อ เมื่อพระเทวทัตเข้าไปสู่แผ่นดินแล้ว ภิกษุทั้งหลายพากันตั้งเรื่องนี้ขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า พระเทวทัตพินาศแล้ว พร้อมกับบริษัท. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่าด้วยเรื่องชื่อนี้ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตพร้อมด้วยบริษัท ไม่ใช่พินาศในแต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนก็พินาศเหมือนกัน แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดกระบี่ มีกระบี่ ๕๐๐ ตัวเป็นบริวารอาศัยอยู่ที่พระราชอุทยาน.
               ฝ่ายพระเทวทัตก็เกิดในกำเนิดกระบี่ มีกระบี่ ๕๐๐ ตัวเป็นบริวาร อาศัยอยู่ในพระราชอุทยานนั้นเหมือนกัน.
               อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อปุโรหิตไปอุทยานอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไป กระบี่เกเรตัวหนึ่งเดินไปก่อน นั่งเจ่าอยู่บนยอดเสาซุ้มประตูอุทยาน ถ่ายอุจจาระรดศีรษะของท่านปุโรหิต เมื่อท่านมองดูข้างบนก็ถ่ายรดหน้าอีก. ท่านหันกลับมาขู่พวกกระบี่ว่า เอาไว้ก่อนเถอะ ข้าฯ จักแก้มือพวกแกภายหลัง แล้วอาบน้ำอีก จึงได้หลีกไป.
               พวกกระบี่ได้บอกพระโพธิสัตว์ ถึงการที่ปุโรหิตนั้นผูกเวรแล้วขู่พวกกระบี่. พระโพธิสัตว์ได้บอกให้กระบี่ตั้งพันทราบว่า ขึ้นชื่อว่า ในสถานที่อยู่ของคู่เวรไม่ควรอยู่ ฝูงกระบี่ทั้งหมดจงพากันหนีไปในที่อื่นเถิด. ฝ่ายกระบี่หัวดื้อพาเอากระบี่ที่เป็นบริวารของตนไปไม่หนีโดยคิดว่า ภายหลังเราจักรู้เองจึงจะไป. ส่วนพระโพธิสัตว์พาเอาบริวารของตนเข้าป่าไป.
               อยู่มาวันหนึ่ง แพะตัวหนึ่งกินข้าวเปลือกที่นางทาสีคนหนึ่งผึ่งแดดไว้ ถูกตีด้วยดุ้นไฟมีไฟไหม้ที่ตัววิ่งหนีไปถูตัวที่ยอดกระท่อมหญ้าหลังหนึ่งชิดโรงช้าง. ไฟนั้นติดกระท่อมหญ้า ลามจากกระท่อมหญ้าไปติดโรงช้าง. ลามจากโรงช้าง ก็ไหม้หลังช้าง. หมอรักษาช้าง ก็รักษาพยาบาลช้าง.
               ฝ่ายปุโรหิตกำลังพิจารณาหาอุบายจับวานรอยู่. ครั้นพระราชาตรัสสั่งถามท่านที่มาเฝ้าว่า อาจารย์ ช้างของเราเป็นแผลเปื่อยกันหลายเชือก หมอรักษาช้างไม่รู้จักการรักษา อาจารย์รู้ยาอะไรบ้างหรือไม่?
               ปุโรหิตทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์รู้
               รา. อะไรล่ะ?
               ปุ. ข้าแต่มหาราช มันเหลวของวานร พระพุทธเจ้าข้า.
               รา. เราจักได้ที่ไหน?
               ปุ. ที่พระราชอุทยานมีวานรมากมิใช่หรือ พระพุทธเจ้าข้า.
               รา. ท่านทั้งหลายจงฆ่าวานรที่พระราชอุทยาน นำเอามันเหลวมา.
               คนแม่นธนูจึงพากันไปยิงวานรทั้ง ๕๐๐ ตัวให้ตายหมด. แต่หัวหน้าวานรตัวเดียวหนีไปได้ ถึงถูกยิงด้วยลูกศร แต่ก็ไม่ล้มตาย ณ ที่นั้นทีเดียว ไปถึงที่อยู่ของพระโพธิสัตว์แล้ว จึงล้มตาย.
               พวกวานรบอกพระโพธิสัตว์ถึงการที่มันได้ถูกยิงว่า หัวหน้าวานรมาถึงที่อยู่ของพวกเราแล้วก็ตาย. พระโพธิสัตว์มานั่งที่ท่ามกลางฝูงวานรพูดว่า ธรรมดาว่าพวกไม่เชื่อโอวาทของบัณฑิตทั้งหลาย อยู่ในที่อยู่ของคู่เวร จักพินาศอย่างนี้ แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ด้วยสามารถแห่งการตักเตือนฝูงวานรว่า :-
               ผู้จองเวรอยู่ ณ ที่ใด บัณฑิตไม่ควรอยู่ ณ ที่นั้น ในที่มีคนจองเวร อยู่คืนเดียวหรือ ๒ คืน ก็เป็นทุกข์.
               คนที่เป็นหัวหน้าใจเบา เมื่อคนใจเบาคล้อยตาม เขาจะทำหน้าที่จองเวร เพราะเหตุแห่งกระบี่ตัวเดียว เขาได้ทำความย่อยยับให้กระบี่ทั้งฝูง.
               ก็คนพาลสำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต บริหารหมู่คณะลุอำนาจความคิดของตน คงนอนตายเหมือนวานรตัวนี้ฉะนั้น.
               คนโง่แต่มีกำลังบริหารหมู่คณะก็ไม่ดี ไม่เป็นประโยชน์แก่เหล่าญาติ เหมือนนกต่อ ไม่เป็นประโยชน์แก่นกทั้งหลายฉะนั้น.
               ส่วนคนฉลาดมีกำลังบริหารหมู่คณะดี เป็นประโยชน์แก่เหล่าญาติ เหมือนท้าววาสวะเป็นประโยชน์แก่ทวยเทพชาวไตรทศฉะนั้น.
               อนึ่ง ผู้ใดเห็นศีล ปัญญาและสุตะ มีในตน ผู้นั้นย่อมประพฤติประโยชน์แก่คนทั้ง ๒ ฝ่าย คือทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
               เพราะฉะนั้น ธีรชนควรชั่งใจดูตัวเอง เหมือนชั่งใจดูศีล ปัญญาและสุตะฉะนั้นแล้ว จึงบริหารหมู่คณะบ้าง อยู่คนเดียวเว้นการบริหารบ้าง.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลหุจิตฺตสฺส ความว่า พึงเป็นผู้มีใจเบา.
               มีคำอธิบายว่า คนใดคล้อยตาม คืออนุวัตรตามมิตรหรือญาติผู้ใจเบา เมื่อคนนั้นคล้อยตาม เขาก็จะเป็นหัวหน้าใจเบา ทำหน้าที่ของผู้จองเวร.
               บทว่า เอกสฺส กปิโน ความว่า สูเจ้าทั้งหลายจงดูเถิด เพราะเหตุกระบี่ใจเบาคือเป็นอันธพาลตัวเดียว เขาได้ทำความย่อยยับ คือความไม่เจริญ ได้แก่ความพินาศใหญ่หลวงนี้ให้แก่กระบี่สิ้นทั้งฝูง.
               บทว่า ปณฺฑิตมานี มีเนื้อความว่า ผู้ใดรู้ตนเองเป็นคนโง่ แต่สำคัญตนว่า เราเป็นผู้ฉลาด ไม่ทำตามโอวาทของท่านผู้ฉลาด ตกอยู่ในอำนาจความคิดของตน ผู้นั้นจะลุอำนาจความคิดของตนแล้ว คงนอนเหมือนกะบี่หัวดื้อตัวนี้แหละนอนตายอยู่.
               บทว่า น สาธุ ความว่า ธรรมดาคนโง่ แต่มีกำลังพร้อมบริหารหมู่คณะ ย่อมไม่ดี คือไม่ปลอดภัย เพราะเหตุไร เพราะเขาไม่มีประโยชน์สำหรับเหล่าญาติ คือนำความพินาศมาให้อย่างเดียว.
               บทว่า สกุณานํว เจกโต ความว่า อุปมาเสมือนหนึ่งว่า บรรดานกกระทาทั้งหลาย นกกระทาที่เป็นนกต่อขันทั้งวัน ก็ไม่ทำให้นกชนิดอื่นตาย ทำให้พวกพ้องของตนเท่านั้นแหละตาย ฉันใด คนโง่ก็ไม่มีประโยชน์แก่หมู่คณะเหล่านั้นเลย. อธิบายว่า ฉันนั้นเหมือนกัน.
               บทว่า หิโต ภวติ ความว่า ธีรชนเป็นผู้ทำประโยชน์เกื้อกูลแก่เหล่าญาตินั่นเอง ด้วยกายบ้าง ด้วยวาจาบ้าง.
               บทว่า อุภินฺนมตฺถํ จรติ ความว่า คนในโลกนี้ ผู้ที่มองเห็นคุณธรรมเหล่านั้นมีศีลเป็นต้นในตนรู้ว่า อาจาระและศีลของเราก็มี ปัญญาก็มี การศึกษาเล่าเรียนก็มี ทราบตามความจริงแล้วบริหารหมู่คณะ ชื่อว่าประพฤติประโยชน์ถ่ายเดียวแก่คนทั้ง ๒ ฝ่าย คือทั้งแก่ตนและผู้อื่น ได้แก่เหล่าญาติผู้เที่ยวห้อมล้อมตน.
               บทว่า ตุเลยฺยมตฺตานํ ตัดบทเป็น ตุเลยฺย อตฺตานํ คือชั่งใจดูตัวเองแล้ว.
               บทว่า ตุเลยฺย ได้แก่ ตุเลตฺวา คือชั่งใจดูแล้ว.
               บทว่า สีลํ ปญฺญํ สุตํปิว ความว่า เหมือนชั่งใจดูศีลเป็นต้นเหล่านั้น มีคำอธิบายไว้ว่า เพราะเหตุที่ธีรชนพิจารณาดูคุณธรรมทั้งหลาย มีศีลเป็นต้นในตนอยู่ ชื่อว่าประพฤติประโยชน์แก่คนทั้ง ๒ ฝ่าย ฉะนั้น ธีรชนควรชั่งใจดูตนเอง เหมือนบัณฑิตชั่งใจดูคุณธรรมมีศีลเป็นต้นเหล่านั้น คือพิจารณาดูว่าเราดำรงอยู่แล้วในศีล ในปัญญา ในสุตะหรือไม่? ทำความที่ตนดำรงอยู่ในคุณธรรมเหล่านั้นให้ประจักษ์แล้ว จึงบริหารหมู่คณะบ้าง อยู่คนเดียวใน ๔ อิริยาบถ เว้นการบริหาร คือเปลี่ยนแปลงบ้าง เพราะว่าผู้จะให้บริษัทอุปัฏฐากบำรุงก็ดี ผู้ประพฤติวิเวกก็ดี ควรจะประกอบด้วยคุณธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ทีเดียว.
               พระมหากษัตริย์เป็นถึงขุนกระบี่ คือพระยาวานร จึงบอกหน้าที่เกี่ยวกับวินัยและการศึกษาเล่าเรียนได้.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกไว้ว่า
               วานรหัวดื้อในครั้งนั้น ได้แก่ พระเทวทัต ในบัดนี้
               ฝ่ายบริวารของวานรหัวดื้อ ได้แก่ บริวารของพระเทวทัต
               ส่วนขุนกระบี่ผู้ฉลาดได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.


               จบ อรรถกถากปิชาดกที่ ๙               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา กปิชาดก ว่าด้วย คุณธรรมของผู้บริหารคณะ จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1021 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1028 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1035 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=4466&Z=4484
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=39&A=3357
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=39&A=3357
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๔  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :