ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1057 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1065 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1072 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา ทัฬหธรรมชาดก
ว่าด้วย ความกตัญญู

               พระศาสดา เมื่อเสด็จเข้าไปอาศัยเมืองโกสัมพี ประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ทรงปรารภช้างพังต้นชื่อภัททวดีของพระเจ้าอุเทน แล้วจึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อหญฺจ ทฬฺหธมฺมสฺส ดังนี้.
               ส่วนวิธีที่พระเจ้าอุเทนทรงได้ช้างพังต้นตัวนั้นก็ดี ราชวงศ์ของพระเจ้าอุเทนก็ดี จักมีแจ้งในมาตังคชาดก.
               ก็วันหนึ่ง ช้างพังต้นเดินออกจากพระนครไป ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า มีหมู่พระอริยะห้อมล้อม เสด็จเข้าไปในพระนครด้วยพุทธสิริ หาที่เปรียบมิได้เพื่อบิณฑบาตแต่เช้า จึงหมอบลงแทบบาทมูลของพระพุทธเจ้า ทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้า โอดครวญไปพลางว่า
               ข้าแต่พระสรรเพชญผู้ทรงภาคยธรรม ผู้ทรงช่วยเหลือสัตวโลกทั้งมวล. พระเจ้าอุเทนทรงโปรดปรานหม่อมฉัน ในเวลาที่หม่อมฉันยังสามารถช่วยราชการได้ ในเวลายังรุ่นโดยทรงเห็นว่า ตนเองได้ชีวิตได้ราชสมบัติและพระราชเทวีมาโดยอาศัยหม่อมฉัน จึงได้พระราชทานการเลี้ยงดูมากมาย ทรงตกแต่งที่อยู่ประดับประดาด้วยเครื่องอลังการทั้งหลาย รับสั่งให้ทำการประพรมด้วยของหอม ทรงให้ติดเพดานประดับดาวทองไว้เบื้องบน ให้กั้นม่านที่วิจิตรไว้โดยรอบ ให้ตามประทีปด้วยน้ำมันเจือด้วยของหอม ให้ตั้งกระถางอบควันไว้ ให้วางกระถางทองไว้ในที่สำหรับเทคูถแล้ว ให้หม่อมฉันยืนอยู่บนแท่นที่มีเครื่องลาดอันวิจิตร และได้พระราชทานเครื่องกินที่มีรสเลิศนานาชนิดแก่หม่อมฉัน.
               แต่บัดนี้ เวลาหม่อมฉันไม่สามารถช่วยราชการได้ในเวลาแก่ พระองค์ทรงงดการบำรุงนั้นทุกอย่าง. หม่อมฉันไม่มีที่พึ่ง เป็นผู้ไม่มีปัจจัยเครื่องอาศัย หากินต้นลำเจียกในป่าเลี้ยงชีพ หม่อมฉันไม่มีที่พึ่งอย่างอื่น
               ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์จงทรงให้ พระเจ้าอุเทนทรงรำลึกถึงคุณความดีของหม่อมฉัน แล้วทรงกระทำการบำรุงอย่างเดิม กลับเป็นปกติแก่หม่อมฉัน.
               พระศาสดาตรัสว่า เจ้าจงไปเถิด เราตถาคตจักทูลพระราชา แล้วแต่งตั้งยศให้กลับเป็นปกติ แล้วได้เสด็จไปประตูพระราชนิเวศน์.
               พระราชาได้ให้พระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าไปในพระราชนิเวศน์ของพระองค์ แล้วทรงถวายมหาทานแด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข.
               พระศาสดา เมื่อทรงทำอนุโมทนาในเวลาเสร็จภัตกิจ แล้วได้ตรัสถามว่า ดูก่อนบพิตรมหาราช พังต้นภัททวดีอยู่ที่ไหน พระราชาทูลว่า ไม่ทราบ พระพุทธเจ้าข้า.
               พระศาสดาตรัสถึงคุณความดีของพังภัททวดี ว่า ดูก่อนบพิตรมหาราช ขึ้นชื่อว่าการพระราชทานยศแก่ผู้มีอุปการคุณ แล้วทรงทอดทิ้งในเวลาแก่ ย่อมไม่ควร ควรจะเป็นผู้มีกตัญญูกตเวที.
               พังต้นภัททวดี บัดนี้แก่ทรุดโทรมมาก เป็นสัตว์อนาถา หากินต้นลำเจียกในป่าประทังชีวิตอยู่ การทำให้เขาไร้ที่พึ่งในเวลาแก่ ไม่เหมาะสมแก่พระองค์ แล้วตรัสว่า ขอพระองค์จงทรงทำการบำรุงอย่างเดิมทุกอย่างให้เป็นปกติ ดังนี้แล้วจึงเสด็จหลีกไป.
               พระราชาได้ทรงกระทำอย่างนั้น.
               เสียงเล่าลือได้กระจายไปทั่วพระนครว่า ได้ทราบว่า พระตถาคตเจ้าตรัสถึงคุณความดีของพังต้นภัททวดี แล้วทรงให้พระราชาแต่งตั้งยศเก่าให้กลับคืนตามปกติ. แม้ในหมู่พระสงฆ์ประวัตินั้นก็ปรากฏขึ้น จึงภิกษุทั้งหลายพากันตั้งเรื่องสนทนากันในธรรมสภาว่า ท่านผู้มีอายุ ได้ทราบว่า พระศาสดาตรัสถึงคุณความดีของพังต้นภัททวดี แล้วทรงให้พระเจ้าอุเทนทรงแต่งตั้งยศเก่าให้กลับคืนตามปกติ.
               พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่าด้วยเรื่องชื่อนี้ แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายไม่ใช่ในเวลานี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็กล่าวถึงคุณความดีของพังต้นภัททวดีนี้ แล้วให้พระราชาทรงแต่งตั้งยศตามปกติเหมือนกัน ดังนี้. แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
               ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า ทัฬหธรรม เสวยราชสมบัติในนครพาราณสี.
               ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในตระกูลอำมาตย์ เติบโตแล้วได้รับใช้เป็นมหาดเล็ก พระราชาพระองค์นั้น. ท่านได้ยศสูง ได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งรัตนอำมาตย์จากราชสำนักนั้น.
               กาลครั้งนั้น พระราชาพระองค์นั้นทรงมีช้างพังต้นเชือกหนึ่งชื่อ โอฏฐิพยาธิ มีกำลังวังชามาก วันหนึ่งเดินทางได้ร้อยโยชน์ ทำหน้าที่นำสิ่งของที่ต้องส่งไปถวายพระราชา คือสื่อสาร ในสงครามทำยุทธหัตถี ทำการย่ำยีศัตรู. พระราชาทรงดำริว่า ช้างพังเชือกนี้มีอุปการะแก่เรามาก จึงพระราชทานเครื่องอลังการ คือคชาภรณ์ทุกอย่างแก่พังต้นเชือกนั้น แล้วได้พระราชทานการบำรุงทุกอย่าง เช่นกับที่พระเจ้าอุเทนพระราชทานแก่พังต้นภัททวดี.
               ภายหลังเวลาพังต้นโอฎฐิพยาธินั้นแก่แล้วหมดกำลัง ทรงยึดยศทุกอย่างคืน. ต่อแต่นั้นมา มันก็กลายเป็นช้างอนาถา หากินหญ้าและใบไม้ในป่าประทังชีวิตอยู่.
               อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อภาชนะไม่พอใช้ในราชตระกูล จึงรับสั่งให้หาช่างหม้อเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า ได้ทราบว่าภาชนะไม่พอใช้ ช่างจึงทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์หาโคเทียมเกวียนเข็นโคมัยไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า. พระราชาทรงสดับคำของช่างแล้ว จึงตรัสถามว่า พังต้นโอฏฐิพยาธิของเราอยู่ที่ไหน? อำมาตย์จึงทูลว่า เที่ยวไปตามธรรมดาของตนพระพุทธเจ้าข้า. พระราชาได้พระราชทานพังต้นเชือกนั้นแก่ช่างหม้อด้วยพระดำรัสว่า ต่อแต่นี้ไปจงเทียมพังต้นเชือกนั้นเข็นโคมัย. ช่างหม้อรับพระดำรัสว่า ดีแล้ว พระพุทธเจ้าข้า แล้วได้ทำอย่างนั้น.
               อยู่มาวันหนึ่ง มันออกจากพระนครไปเห็นพระโพธิสัตว์กำลังเข้าพระนคร จบแล้วหมอบแทบเท้าของท่าน โอดครวญพลางกล่าวว่า ข้าแต่นาย พระราชาทรงกำหนดรู้ฉันว่ามีอุปการะมาก ในเวลายังรุ่น ได้พระราชทานยศสูง แต่บัดนี้ เวลาฉันแก่ งดหมดทุกอย่าง ไม่ทรงทำแม้แต่การคิดถึงฉัน ฉันไม่มีที่พึ่ง จึงเที่ยวหากินหญ้าและใบไม้ประทังชีวิตอยู่ บัดนี้ได้พระราชทานฉันผู้ตกยากอย่างนี้ให้ช่างหม้อ เพื่อเทียมยานน้อย เว้นท่านแล้วผู้อื่นที่จะเป็นที่พึ่งของฉันไม่มี ท่านรู้อุปการะที่ฉันทำแก่พระราชาแล้ว ได้โปรดเถิด ขอท่านจงทำยศของฉันที่เสื่อมไปแล้วให้กลับคืนมาตามปกติเถิด
               แล้วได้กล่าวคาถา ๓ คาถาว่า :-
               ก็ฉันเมื่อนำพาราชกิจของพระเจ้าทัฬหธรรม ได้คาดลูกศรไว้ที่หน้าอก มีปกติประพฤติความกล้าหาญในการรบ ก็ไม่ยังพระองค์ให้โปรดปรานได้.
               พระราชาไม่ทรงทราบความเพียรของลูกผู้ชายของฉัน และการสื่อสารที่ฉันทำได้อย่างดีในสงคราม เป็นแน่.
               ฉันนั้นไม่มีพวกพ้อง ไม่มีที่พึ่ง จักตายแน่ๆ มิหนำซ้ำ พระราชายังได้พระราชทานฉันแก่ช่างหม้อ ให้เป็นผู้ขนมูลสัตว์โคมัย.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วหนฺตี ความว่า เมื่อทำลายการนำสาร คือคลังแห่งกำลังในสงคราม ชื่อว่านำพา คือช่วยเหลือราชกิจนั้นๆ. บทว่า นุทนฺตี อุรสิ สลฺลํ ความว่า นำดาบหรือหอกที่ผูกไว้ที่หน้าอกไปเฉพาะเบื้องบนศัตรูทั้งหลายในเวลารบ.
               บทว่า วิกฺกนฺตจารินี ความว่า ถึงความเป็นผู้กล้าหาญในการรบเป็นปกติด้วยการทำความกล้าหาญแล้วพิชิตกำลังของฝ่ายปรปักษ์. มีคำอธิบายว่า ข้าแต่นาย ถ้าหากฉันทำราชกิจเหล่านี้อยู่ ก็ไม่ยังพระราชหฤทัยของพระเจ้าทัฬหธรรมให้ยินดีได้ คือไม่ให้พระองค์พอพระราชหฤทัยแล้วไซร้ บัดนี้ ใครคนอื่นจักยังพระราชหฤทัยของพระองค์ให้ทรงยินดี.
               บทว่า มม วิกฺกมโปริสํ ได้แก่ความบากบั่นของบุรุษที่ฉันได้ทำแล้ว.
               บทว่า สุกตนฺตานิ ความว่า ทำเรียบร้อยแล้ว. ราชกิจทั้งหลายที่ทำเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ ที่เรียก สุกตนฺตานิ คือทำดีแล้ว ในที่นี้เหมือนงานทั้งหลายนั่นแหละ เขาเรียกว่า กมฺมนฺตานิ คือการงานและเหมือนป่านั่นแหละ เขาเรียกว่า วนนฺตานิ.
               บทว่า ทูตวิปฺปหิตานิ จ ความว่า การส่งสารที่ฉันผู้ที่เขาผูกหนังสือไว้ที่คอ แล้วส่งไปโดยบอกว่า จงถวายแก่พระราชาชื่อโน้น แล้วก็เดินไปวันเดียวเท่านั้นตั้งร้อยโยชน์
               บทว่า น นูน ราชา ชานาติ ความว่า พระราชานั้นไม่ทรงทราบ ราชกิจทั้งหลายเหล่านั้นที่ฉันทำถวายพระองค์แน่นอน.
               บทว่า อปรายินี ความว่า ไม่มีที่พึ่งที่ระลึก.
               บทว่า ตทา หิ ได้แก่ ตถา หิ คือ จริงอย่างนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า ตถา หิ นี้เหมือนกัน.
               บทว่า ทินฺนา ความว่า เพราะฉันเป็นผู้ที่พระราชาพระราชทานแก่ช่างหม้อ ทำให้เป็นผู้ขนมูลสัตว์แล้ว.

               พระโพธิสัตว์สดับถ้อยคำของเขาแล้วจึงปลอบใจว่า เจ้าอย่าโศกเศร้าไปเลย ฉันจักทูลพระราชาแล้วให้พระราชทานยศตามปกติ แล้วเข้าไปพระนคร รับประทานอาหารเข้าแล้วไปราชสำนัก ยกเรื่องขึ้นทูลถามว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ทรงมีช้างพังต้นชื่อโอฏฐิพยาธิ มิใช่หรือ? เขาผูกหลาวไว้ที่หน้าอกแล้วช่วยสงครามในที่โน้นและในที่โน้น วันโน้นถูกผูกหนังสือ คือสารที่คอแล้วส่งไปสื่อสาร ได้เดินทางไปร้อยโยชน์. ฝ่ายพระองค์ก็ได้พระราชทานยศแก่เขามาก บัดนี้ เขาอยู่ที่ไหน?
               พระราชาตรัสตอบว่า เราได้ให้เขาแก่ช้างหม้อ เพื่อเข็นโคมัยแล้ว. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงทูลพระองค์ว่า ข้าแต่มหาราช การพระราชทานแก่ช่างหม้อ เพื่อให้เทียมล้อ ที่พระองค์ทรงทำแล้วไม่สมควรเลย.
               แล้วได้ภาษิตคาถา ๔ คาถา โดยการถวายโอวาทพระราชาว่า :-
               คนยังมีหวังอยู่ตราบใด ตราบนั้นก็ยังคบหากันอยู่ เมื่อเขาเสื่อมจากประโยชน์ คนโง่ทั้งหลาย ก็จะทอดทิ้งเขา เหมือนขัตติยราชทรงทอดทิ้งช้างพังต้นฉะนั้น.
               ผู้ใดที่ผู้อื่นทำความดีให้ก่อน สำเร็จประโยชน์ที่ต้องการแล้ว ย่อมไม่รู้คุณ ประโยชน์ทั้งหลายที่เขาปรารถนาแล้วของผู้นั้นจะเสื่อมสลายไป.
               ส่วนผู้ใด ที่คนอื่นทำความดีให้แล้ว สำเร็จประโยชน์ที่ต้องการแล้ว ก็ยังรู้คุณ ประโยชน์ทั้งหลายที่เขาปรารถนาแล้ว ของผู้นั้นจะเพิ่มพูนขึ้น.
               เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย มีจำนวนที่มาประชุมกัน ณ ที่นี้. ขอท่านทุกคนจงเป็นผู้รู้คุณที่ผู้อื่นทำแล้วแก่ตน ท่านทั้งหลายจักสถิตอยู่ในสวรรค์ ตลอดกาลนาน.


               บรรดาคาถาเหล่านั้น คาถาที่ ๑ มีเนื้อความว่า คนบางคนในโลกนี้เป็นชาติแห่งผู้ไม่รู้ คือโง่ก่อน.
               บทว่า ยาวตาสึสตี ความว่า ตราบใดเขายังหวังอยู่ว่า คนนี้จักอาจกระทำสิ่งนี้แก่เรา ตราบนั้นเขาก็ยังคบหาสมาคมคนคนนั้นอยู่ แต่ในเวลาเขาเสื่อมประโยชน์แล้ว คือในเวลาไม่ถึงความเจริญแล้ว ได้แก่เวลาเสื่อมเสียแล้ว คนโง่บางจำพวกก็จะละทิ้งคนๆ นั้น ผู้ดำรงอยู่แล้วในกิจนานาชนิด เหมือนขัตติยราชพระองค์นี้ ทรงละทิ้งช้างพังโอฏฐิพยาธิตัวนี้ ฉะนั้น.
               บทว่า กตกลฺยาโณ ความว่า ผู้มีกัลยาณธรรมที่ผู้อื่นทำแล้วแก่ตน.
               บทว่า กตตฺโถ ความว่า ผู้สำเร็จกิจแล้ว
               บทว่า นาวพุชฺฌติ ความว่า ไม่ระลึกถึงอุปการะนั้นที่คนอื่นทำแล้ว ในเวลาเขาแก่แล้ว คือยึดเอายศแม้ที่ตนให้แล้วอีกคืน.
               บทว่า ปลุชฺชนฺติ ความว่า หักสะบั้นไป คือพินาศไป.
               ด้วยบทว่า เย โหนฺติ อภิปตฺถิตา พระโพธิสัตว์แสดงว่า ขึ้นชื่อว่าคนโง่บางพวกที่ปรารถนาแล้ว จะพินาศทั้งหมด เพราะว่า ความปรารถนานั้นของบุคคลผู้ประทุษร้ายต่อมิตรจะพินาศไป เหมือนพืชที่วางไว้ใกล้ไฟฉะนั้น.
               บทว่า กตตฺโถ มนุพุชฺฌติ ท่านรับเอาแล้วด้วยสามารถแห่งพยัญชนะสนธิ.
               บทว่า ตํ โว วทามิ ความว่า เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวกะท่านทั้งหลาย.
               บทว่า ฐสฺสถ ความว่า ท่านทั้งหลายเป็นคนกตัญญู จักเสวยทิพยสมบัติสถิตอยู่ในสวรรค์ตลอดกาลนาน.

               พระมหาสัตว์ได้ให้โอวาทแก่คนทั้งหมด ตั้งต้นแต่พระราชาที่มาประชุมกันแล้ว.
               พระราชาทรงสดับโอวาทนั้นแล้วได้ทรงแต่งตั้งยศให้ช้างพังต้นโอฏฐิพยาธิตามปกติ พระองค์ทรงดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์แล้ว ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น ตลอดกาลนานแล้ว ได้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกไว้ว่า
               ช้างพังต้นชื่อโอฏฐิพยาธิในครั้งนั้น ได้แก่ พังภัททวดี ในบัดนี้
               พระราชา ได้แก่ พระอานนท์
               ส่วนอำมาตย์ ได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถาทัฬหธัมมชาดกที่ ๔               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ทัฬหธรรมชาดก ว่าด้วย ความกตัญญู จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1057 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1065 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1072 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=4595&Z=4617
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=39&A=4158
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=39&A=4158
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๔  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :