ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 10 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 11 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 12 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก สีลวรรค
ลักขณชาดก ว่าด้วยผู้มีศีล

               พระศาสดา เมื่อเสด็จเข้าไปอาศัยพระนครราชคฤห์ ประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัต จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า โหติ สีลวตํ อตฺโถ ดังนี้
               เรื่องพระเทวทัตจนถึงการประกอบกรรมคือ
               การฆ่าอย่างหนัก จักมีแจ้งใน กัณฑหาลชาดก
               เรื่องการปล่อยช้างธนปาลกะ จักมีแจ้งใน จุลลหังสชาดก
               และการถูกแผ่นดินสูบ จักมีแจ้งใน สมุททพาณิชชาดก ในทวาทสนิบาต.
               สมัยหนึ่ง พระเทวทัตทูลขอวัตถุ ๕ ประการ เมื่อไม่ได้จึงทำลายสงฆ์ พาภิกษุ ๕๐๐ ไปอยู่ที่ คยาสีสประเทศ. ครั้งนั้น ญาณของภิกษุเหล่านั้นได้ถึงความแก่กล้าแล้ว พระศาสดาทรงทราบดังนั้น จึงตรัสเรียกพระอัครสาวกทั้งสอง มาว่า ดูก่อนสารีบุตรและโมคคัลลานะ ภิกษุ ๕๐๐ ผู้เป็นนิสิตของพวกเธอ ชอบใจลัทธิของเทวทัตไปกับพระเทวทัตแล้ว ก็บัดนี้ ญาณของภิกษุเหล่านั้นถึงความแก่กล้าแล้ว พวกเธอจงไปที่นั้นพร้อมกับภิกษุจำนวนมาก แสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้นให้ ภิกษุเหล่านั้นตรัสรู้มรรคผล แล้วจงพามา.
               พระอัครสาวกทั้งสองนั้นจึงไปที่คยาสีสประเทศนั้นนั่นแหละ แสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น ให้ตรัสรู้ธรรมด้วยมรรคผลแล้ว. วันรุ่งขึ้น เวลาอรุณขึ้น จึงพาภิกษุเหล่านั้นมายังพระเวฬุวันวิหารนั่นเทียว. ก็แล ในเวลาที่พระสารีบุตรเถระมาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วยืนอยู่.
               ภิกษุทั้งหลายพากันสรรเสริญพระเถระแล้ว กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเสนาบดี พี่ชายใหญ่ของข้าพระองค์ทั้งหลายอันภิกษุ ๕๐๐ แวดล้อมมาอยู่ งดงามเหลือเกิน ส่วนพระเทวทัตเป็นผู้มีบริวารเสื่อมแล้ว.
               พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรอันหมู่ญาติแวดล้อมมา ย่อมงดงาม แต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็งดงามเหมือนกัน. ฝ่ายพระเทวทัตเสื่อมจากหมู่ญาติ ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้ แม้ในกาลก่อนก็เสื่อมมาแล้วเหมือนกัน.
               ภิกษุทั้งหลายทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อให้ทรงประกาศเรื่องนั้นให้แจ่มแจ้ง
               พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำเหตุ อันระหว่างภพปกปิดไว้ให้ปรากฏ ดังต่อไปนี้
               ในอดีตกาล พระเจ้ามคธพระองค์หนึ่งครองราชสมบัติในนครราชคฤห์ ในแคว้นมคธ. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในกำเนิดมฤคชาติ พอเติบโต มีเนื้อหนึ่งพันเป็นบริวารอยู่ในป่า พระโพธิสัตว์นั้นมีลูก ๒ ตัวคือลักขณะ และกาฬะ. ในเวลาที่ตนแก่ พระโพธิสัตว์นั้นกล่าวว่า ลูกพ่อทั้งสอง บัดนี้ พ่อแก่แล้ว เจ้าทั้งสองจงปกครองหมู่เนื้อนี้ แล้วให้บุตรแต่ละคน รับมอบเนื้อคนละ ๕๐๐. ตั้งแต่นั้น เนื้อแม้ทั้งสองก็ปกครองหมู่เนื้อ.
               ก็ในแคว้นมคธ ในสมัยข้าวกล้าอันเต็มไปด้วยข้าวกล้า อันตรายย่อมเกิดแก่เนื้อทั้งหลายในป่า เนื่องจากพวกมนุษย์ต้องการฆ่าพวกเนื้อที่มากินข้าวกล้า จึงขุดหลุมพราง ปักขวาก ห้อยหินยนต์ [ฟ้าทับเหว] ดักบ่วงมีบ่วงลวง เป็นต้น เนื้อเป็นอันมากพากันถึงความพินาศ พระโพธิสัตว์รู้คราวที่เต็มไปด้วยข้าวกล้า จึงให้เรียกลูกทั้งสองมากล่าวว่า พ่อทั้งสอง สมัยนี้เป็นสมัยที่เต็มแน่นไปด้วยข้าวกล้า เนื้อเป็นอันมากพากันถึงความพินาศ เราแก่แล้วจักยับยั้งอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ด้วยอุบายอย่างหนึ่ง พวกเจ้าจงพา หมู่เนื้อของพวกเจ้าเข้าไปยังเชิงเขาในป่าในเวลาเขาถอนข้าวกล้าแล้ว จึงค่อยมา. บุตรทั้งสองนั้นรับคำของบิดาแล้ว พร้อมด้วยบริวารพากันออกไป.
               ก็พวกมนุษย์ทั้งหลายย่อมรู้หนทางที่พวกเนื้อเหล่านั้นไปและมาว่า ในเวลานี้ พวกเนื้อกำลังลงจากภูเขา ในเวลานี้กำลังขึ้นภูเขา มนุษย์เหล่านั้นพากันนั่งในที่กำบัง ณ ที่นั้น แทงเนื้อเป็นอันมากให้ตาย
               ฝ่ายเนื้อกาฬะ เพราะความที่ตัวโง่ จึงไม่รู้ว่า เวลาชื่อนี้ควรไป จึงพาหมู่เนื้อไปทางประตูบ้าน ทั้งในเวลาเช้าและเวลาเย็น ทั้งเวลาพลบคํ่าและเวลาใกล้รุ่ง พวกมนุษย์ยืนและนั่งตามปรกติ นั่นแล อยู่ในที่นั้นๆ ยังเนื้อเป็นอันมากให้ถึงความพินาศ เนื้อกาฬะนั้นให้เนื้อเป็นอันมาก ถึงความพินาศ เพราะความที่ตนเป็นผู้โง่เขลาอย่างนี้ จึงเข้าป่าด้วยเนื้อมีประมาณน้อยเท่านั้น.
               ส่วนเนื้อลักขณะเป็นบัณฑิตมีปัญญา ฉลาดในอุบาย รู้ว่า เวลานี้ควรไป เนื้อลักขณะนั้นไม่ไปทางประตูบ้าน ไม่ไปเวลากลางวันบ้าง ไม่ไปเวลาพลบคํ่าบ้าง เวลาใกล้รุ่งบ้าง พาหมู่เนื้อไปเวลาเที่ยงคืนเท่านั้น เพราะฉะนั้น เนื้อลักขณะจึงไม่ทำเนื้อแม้ตัวหนึ่ง ให้พินาศเข้าป่าไปแล้ว เนื้อเหล่านั้นอยู่ในป่านั้น ๕ เดือน เมื่อพวกมนุษย์ถอนข้าวกล้าแล้ว จึงพากันลงจากภูเขา.
               เนื้อกาฬะ แม้ไปภายหลังก็ทำ แม้เนื้อทั้งหมดให้ถึงความพินาศ โดยนัยก่อนนั่นแหละ ผู้เดียวเท่านั้นมาแล้ว ส่วนเนื้อลักขณะ แม้เนื้อตัวเดียวก็ไม่ให้พินาศ อันเนื้อ ๕๐๐ ตัวแวดล้อมมายัง สำนักของบิดามารดา.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์เห็นบุตรทั้งสองมา เมื่อปรึกษาหารือกับนางเนื้อ จึงกล่าวคาถาว่า
               ความจริงย่อมมีแก่คนทั้งหลายผู้มีศีล ผู้ประพฤติในการปฏิสันถาร ท่านจงดูเนื้อชื่อลักขณะ ผู้อันหมู่ญาติแวดล้อมกลับมาอยู่ อนึ่ง ท่านจงดูเนื้อชื่อกาฬะนี้ ผู้เสื่อมจากหมู่ญาติ กลับมาแต่ผู้เดียว.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีลวตํ ความว่า ชื่อว่าผู้มีศีล คือสมบูรณ์ด้วยอาจาระ เพราะมีความสุขเป็นปรกติ.
               บทว่า อตฺโถ ได้แก่ ความเจริญ.
               (บทว่า) ปฏิสนฺถารวุตฺตินํ ชื่อว่าผู้มีปรกติประพฤติในปฏิสันถาร เพราะมีปรกติประพฤติในธรรมปฏิสันถารและอามิสปฏิสันถารนั้นแก่ชนเหล่านั้น ผู้มีปรกติประพฤติในปฏิสันถาร ก็ในที่นี้ พึงทราบธรรมปฏิสันถาร เช่นห้ามทำบาป การโอวาทและอนุศาสน์ เป็นต้น พึงทราบอามิสปฏิสันถาร เช่นการให้ได้ที่หากิน การบำรุงเฝ้าไข้ และการรักษาอันประกอบด้วยธรรม ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า ชื่อว่าความเจริญย่อมมีแก่ชนผู้เป็นบัณฑิต ผู้เพียบพร้อมด้วยอาจาระ ผู้ตั้งอยู่ในปฏิสันถาร ๒ เหล่านี้
               บัดนี้ พระโพธิสัตว์เมื่อจะเรียกมารดาของเนื้อเพื่อจะแสดงความเจริญนั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ท่านจงดูเนื้อชื่อลักขณะ ดังนี้ ในคำที่กล่าวนั้นมีความสังเขป ดังนี้ :-
               เธอจงดูบุตรของตน ผู้สมบูรณ์ด้วยอาจาระและปฏิสันถาร ไม่ทำแม้เนื้อตัวหนึ่งให้พินาศ อันหมู่ญาติกระทำไว้ข้างหน้า คือห้อมล้อมมาอยู่
               แต่เออ ก็เธอจงดูเนื้อชื่อกาฬะนี้ ผู้มีปัญญาเขลา ผู้ละเว้นจากสัมปทา คืออาจาระและปฏิสันถาร ผู้เสื่อมจากญาติทั้งหลาย ไม่เหลือญาติแม้สักตัว มาแต่ผู้เดียว.
               ก็พระโพธิสัตว์ชื่นชมบุตรอย่างนี้แล้ว ดำรงอยู่ชั่วอายุ ได้ไปตามยถากรรมแล้ว.
               พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรอันหมู่ญาติห้อมล้อมย่อมงดงาม ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็งดงามเหมือนกัน. พระเทวทัตเสื่อมจากหมู่คณะ ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็เสื่อมแล้วเหมือนกัน.
               ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสเรื่อง ๒ เรื่องสืบอนุสนธิต่อกัน แล้วทรงประชุมชาดก ว่า
               เนื้อกาฬะในครั้งนั้นได้เป็น พระเทวทัต
               แม้บริษัทของเนื้อกาฬะนั้น ในกาลนั้น ได้เป็น บริษัทของพระเทวทัต
               เนื้อชื่อลักขณะในกาลนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร
               แม้บริษัทของเนื้อลักขณะในกาลนั้น ได้เป็น พุทธบริษัท
               มารดาในครั้งนั้น ได้เป็น พระมารดาพระราหุล
               ส่วนบิดาในครั้งนั้น ได้เป็น เรา แล.

               จบอรรถกถาลักขณชาดกที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก สีลวรรค ลักขณชาดก ว่าด้วยผู้มีศีล จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 10 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 11 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 12 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=71&Z=77
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=35&A=4512
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=35&A=4512
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๘  ตุลาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :