ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1806 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1826 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1839 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา ตักการิยชาดก
ว่าด้วย การพูดดีเป็นศรีแก่ตัว

               พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภภิกษุชื่อโกกาลิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อหเมว ทุพฺภาสิตํ ภาสิ พาโล ดังนี้.
               ความพิสดารว่า ภายในพรรษาหนึ่ง พระอัครสาวกทั้งสองท่านประสงค์จะละหมู่อยู่อย่างเงียบๆ ทูลลาพระศาสดา ไปถึงที่อยู่ของพระโกกาลิกะในโกกาลิกรัฐ กล่าวกะเธออย่างนี้ว่า โกกาลิกะผู้มีอายุ เรากับเธอถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จักอยู่เป็นผาสุกตลอดไตรมาสนี้ เราขออยู่จำพรรษา ณ ที่นี้แหละ.
               เธอตอบว่า ผู้มีอายุ ก็ท่านอาศัยผมแล้วจักอยู่สำราญได้ไฉนเล่า.
               พระอัครสาวกตอบว่า ผู้มีอายุ ถ้าเธอไม่บอกแก่ใครๆ ว่า พระอัครสาวกอยู่จำพรรษาที่นี้ เราจะพึงอยู่สบาย นี้เราอาศัยเธออยู่เป็นผาสุก.
               เธอถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมอาศัยท่าน พึงอยู่เป็นผาสุกได้อย่างไร.
               ตอบว่า เราจักบอกธรรม จักกล่าวธรรมกถาแก่เธอตลอดไตรมาส นี้เธออาศัยเราอยู่เป็นผาสุก.
               พระโกกาลิกะกล่าวว่า ผู้มีอายุ เชิญท่านอยู่ตามอัธยาศัยเถิด และได้ถวายเสนาสนะที่สมควรแก่ท่านทั้งสอง.
               พระอัครสาวกทั้งสองพากันอยู่สบายด้วยความสุขในผลสมาบัติ. ใครๆ มิรู้การที่ท่านพากันอยู่ ณ ที่นี้. ท่านทั้งสองจำพรรษาแล้ว ปวารณาแล้ว ก็พากันบอกพระโกกาลิกะนั้นว่า อาวุโส เราอาศัยเธออยู่กันอย่างสบายแล้ว จักพากันไปถวายบังคมพระศาสดา. เธอรับคำว่า สาธุ แล้วพาพระอัครสาวกทั้งสองเที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้านใกล้ๆ. พระเถระทั้งหลายกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ก็พากันออกจากบ้าน.
               พระโกกาลิกะส่งพระเถระเหล่านั้นแล้วกลับไปบอกคนทั้งหลายว่า อุบาสกทั้งหลาย พวกแกเหมือนเดรัจฉาน ช่างไม่รู้เสียเลยว่าพระอัครสาวกทั้งสองอยู่ในวิหารตลอด ๓ เดือน บัดนี้เล่า ท่านก็กลับไปเสียแล้ว.
               คนทั้งหลายพากันกล่าวว่า เหตุไรเล่า พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่แจ้งแก่พวกผมให้ทราบ แล้วพากันถือเภสัชมีเนยใสและน้ำมันเป็นต้น และเครื่องนุ่งห่มคือผ้าเป็นอันมาก เข้าไปหาพระเถระไหว้แล้วต่างกราบเรียนว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ โปรดอภัยแก่พวกกระผมเถิด.
               พระโกกาลิกะดำริว่า พระเถระทั้งสองมักน้อยสันโดษ คงไม่รับผ้าเหล่านี้ด้วยตน คงให้แก่เรา จึงไปสู่พระเถระทั้งหลายกับพวกอุบาสกนั่นเอง. พระเถระทั้งสองมิได้รับอะไรๆ ไว้เพื่อตนทั้งไม่สั่งให้เขาถวายแก่พระโกกาลิกะ เพราะท่านมุ่งอบรมภิกษุอยู่. พวกอุบาสกพากันอ้อนวอนว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เมื่อพระคุณเจ้าไม่รับคราวนี้ ก็นิมนต์มาที่นี้อีกเพื่ออนุเคราะห์พวกกระผม.
               พระเถระเจ้ารับแล้ว พากันไปสู่สำนักพระศาสดา.
               พระโกกาลิกะผูกอาฆาตว่า พระเถระเหล่านี้ เมื่อตนไม่รับก็ไม่บอกให้เขาให้แม้แก่เรา.
               ฝ่ายพระเถระทั้งสองพักอยู่ในสำนักพระศาสดาหน่อยหนึ่ง ก็พาภิกษุ ๕๐๐ รูปผู้เป็นบริวารของตนๆ เที่ยวจาริกไปกับภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป จนถึงโกกาลิกรัฐ. พวกอุบาสกเหล่านั้นก็พากันต้อนรับ พาพระเถระไปสู่วิหารนั้นเอง กระทำสักการะใหญ่ทุกๆ วัน. เภสัชและเครื่องนุ่งห่ม คือผ้าเกิดขึ้นมามากมาย. พวกภิกษุผู้ที่มากับพระเถระ พากันเลือกจีวรให้แก่พวกภิกษุที่มากันเท่านั้น ไม่ได้ให้แก่พระโกกาลิกะ. แม้พระเถระก็มิได้บอกให้เธอ.
               โกกาลิกะไม่ได้จีวรก็ด่าตัดพ้อพระเถระว่า สารีบุตรและโมคคัลลานะปรารถนาน้อย เมื่อก่อนเขาให้ลาภไม่รับ บัดนี้รับเสียจนล้นเหลือ ไม่มองดูผู้อื่นๆ เลย.
               พระเถระทั้งหลายดำริว่า โกกาลิกะประสบอกุศลเพราะอาศัยพวกเรา พร้อมด้วยบริวารพากันออกไป แม้จะถูกหมู่ชนพากันอาราธนาว่า พระคุณเจ้านิมนต์อยู่อีกสักสองสามวันเถิด ก็มิได้ปรารถนาจะกลับ.
               ลำดับนั้น ภิกษุรูปหนึ่งกล่าวว่า อุบาสกทั้งหลาย พระเถระทั้งหลายจักอยู่ได้อย่างไร พระเถระผู้ชิดชอบของพวกท่าน ทนการอยู่ของภิกษุเหล่านี้ไม่ได้.
               อุบาสกเหล่านั้นพากันไปสู่สำนักของพระโกกาลิกะนั้น กล่าวว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ ได้ยินว่า พระคุณเจ้าทนการอยู่ในสำนักของพระเถระไม่ได้ นิมนต์ไปเถิดขอรับ จงขอให้พระเถระเจ้าทั้งสองรับขมาแล้วนิมนต์กลับมา หรือไม่เช่นนั้น พระคุณเจ้าจงหนีไปอยู่ที่อื่นเถิด.
               พระโกกาลิกะจำไปอ้อนวอนพระเถระทั้งหลายด้วยความกลัวพวกอุบาสก.
               พระเถระทั้งหลายต่างกล่าวว่า ผู้มีอายุ เธอจงไปเสียเถิด พวกเราจักไม่กลับละ.
               เธอเมื่อไม่อาจนิมนต์พระเถระให้กลับได้ ก็กลับไปวิหารนั่นแล.
               ลำดับนั้น พวกอุบาสกพากันถามเธอว่า พระคุณเจ้าข้า พระคุณเจ้านิมนต์พระเถระกลับหรือ ก็กล่าวว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่สามารถนิมนต์ให้กลับได้.
               ลำดับนั้น พวกอุบาสกต่างคิดว่า เมื่อภิกษุผู้มีบาปกรรมนี้ยังอยู่ในวิหารนี้ พวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักจักไม่อยู่ พวกเราต้องไล่เธอไปเสีย แล้วพากันกล่าวกะเธอว่า พระคุณเจ้าข้า พระคุณเจ้าอย่าอยู่ที่นี้เลย พระคุณเจ้าจะพึ่งพาอาศัยอะไรๆ พวกข้าพเจ้าไม่ได้ละ.
               เธอถูกพวกเหล่านั้นชังน้ำหน้าเสียแล้ว ก็ถือบาตรจีวรไปพระเชตวัน เข้าเฝ้าพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามก ลุอำนาจความปรารถนาลามกเสียแล้ว.
               ลำดับนั้น พระศาสดารับสั่งกะเธอว่า โกกาลิกะ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย จงยังจิตให้เลื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด.
               ท่านโกกาลิกะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์มัวเชื่อพระอัครสาวกของพระองค์ ข้าพระองค์ได้เห็นประจักษ์แล้วว่า พวกนี้ล้วนเลวๆ มีลับลมคมในทุศีลทั้งนั้น.
               แม้พระศาสดาจะตรัสห้ามถึงสามครั้ง ก็คงกล่าวอย่างนั้น แล้วลุกจากอาสนะหลีกไป.
               พอเธอหันไปเท่านั้น ทั่วร่างก็เกิดตุ่มประมาณเท่าเมล็ดผักกาด ค่อยเจริญโดยลำดับ ถึงขนาดมะตูมสุกแล้วแตกน้ำเหลืองและเลือดไหลโทรมกาย. เธอต้องระทดเจ็บแสบนอนอยู่ ณ ซุ้มพระทวารพระเชตวัน
               ถึงพรหมโลกได้มีเรื่องเกรียวกราวกันว่า พระอัครสาวกทั้งสองถูกพระโกกาลิกะด่า.
               ลำดับนั้น ตุทีพรหมอุปัชฌาย์ของเธอทราบเรื่องนั้น จึงมาดำริว่า จักให้เธอขมาพระเถระทั้งหลายเสีย ยืนในอากาศกล่าวว่า โกกาลิกะ ท่านทำกรรมหยาบคายนัก ท่านจงให้พระอัครสาวกเลื่อมใสเถิด.
               เธอถามว่า ผู้มีอายุ ท่านเป็นใครเล่า
               เราชื่อว่า ตุทีพรหม
               เธอกลับเอ็ดเอามหาพรหมว่า ผู้มีอายุ ท่านนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์แล้วว่า เป็นพระอนาคามีมิใช่หรือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วว่า ธรรมดาว่า พระอนาคามีมีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นสภาวะ ท่านคงเป็นยักษ์ที่กองขยะเป็นแน่.
               ท้าวมหาพรหมนั้น เมื่อมิอาจให้เธอเชื่อถือถ้อยคำได้ ก็กล่าวว่า ท่านนั้นเองจักปรากฏตามคำของท่าน แล้วไปสู่พรหมโลกชั้นสุทธาวาสทันที.
               ฝ่ายภิกษุโกกาลิกะก็ตายไปบังเกิดในปทุมนรก.
               ท้าวสหัมบดีพรหมรู้ความที่เธอเกิดในที่นั้นแล้ว จึงกราบทูลแด่พระตถาคต.
               พระศาสดาตรัสเล่าแก่พวกภิกษุ
               พวกภิกษุเมื่อกล่าวถึงโทษของเธอ พากันสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ได้ยินว่า โกกาลิกภิกษุด่าพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ บังเกิดในปทุมนรกเพราะอาศัยปากของตน.
               พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่โกกาลิกะถูกถ้อยคำกำจัดเสีย เสวยทุกข์เพราะปากของตน แม้ในกาลก่อนก็เสวยทุกข์เพราะปากของตนแล้วเหมือนกันดังนี้ แล้วจึงทรงนำอดีตนิทานมาเล่าดังต่อไปนี้.
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี ปุโรหิตของท้าวเธอเป็นคนตาเหลือง มีเขี้ยวงอกออกมา. นางพราหมณีของเขาเล่นชู้กับพราหมณ์อื่น. แม้พราหมณ์ผู้เป็นชู้นั้นก็มีลักษณะเช่นนั้นเหมือนกัน.
               ปุโรหิตเฝ้าห้ามนางพราหมณีบ่อยๆ เมื่อไม่อาจห้ามปรามกันได้ ก็คิดว่าเราไม่อาจจะฆ่าไอ้ไพรีของเรานี้ด้วยมือตนได้ ต้องหาอุบายฆ่ามันเสียให้ได้. เขาก็เข้าเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช พระนครของพระองค์เป็นพระนครชั้นเลิศในสกลชมพูทวีป พระองค์เล่าก็เป็นพระอัครราชา ประตูพระนครด้านทักษิณของพระองค์ผู้ทรงนามว่าอัครราชาเช่นนี้ สร้างไว้ชั่วไม่เป็นมงคลเลย พระเจ้าข้า.
               พระราชาตรัสสั่งว่า ควรจะได้อะไรเล่า.
               เขากราบทูลว่า ต้องรื้อประตูเก่าเสีย หาไม้ที่ประกอบด้วยมงคลมา ให้พลีแก่ฝูงภูตผู้รักษาพระนคร แล้วตั้งพระทวารใหม่ตามมงคลฤกษ์ พระเจ้าข้า.
               พระราชารับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้น เชิญท่านทำอย่างนั้นเถิด.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมาณพชื่อว่าตักการิยะ เรียนศิลปะในสำนักของเขา. ปุโรหิตให้รื้อประตูเก่าตั้งใหม่แล้ว กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ประตูสำเร็จแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันฤกษ์งามต้องทำพลียกพระทวารมิให้ล่วงพ้นฤกษ์นั้นไปได้ พระเจ้าข้า.
               พระราชารับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านอาจารย์ควรจะได้อะไรเพื่อประกอบพิธีพลีกรรม.
               เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระทวารมีศักดิ์ใหญ่ต้องเชิญเทพดาผู้มีศักดิ์ให้เข้าครอบครอง จำต้องฆ่าพราหมณ์ผู้บริสุทธิ์ทั้งสองฝ่ายคนหนึ่งมีนัยตาเหลือง มีเขี้ยวงอกออกมา เอาเนื้อและเลือดของเขาทำพลีกรรม แล้วเอาอ่างฝังลงไปใต้พระทวาร ตั้งพระทวารบนนั้น อย่างนี้จึงจักเกิดสวัสดีแก่พระองค์และแก่พระนคร พระเจ้าข้า.
               พระราชารับสั่งว่า ดีละท่านอาจารย์ เชิญท่านฆ่าพราหมณ์เช่นนั้นแล้วยกประตูพระนครเถิด. เขาดีใจเกิดลำพองว่า พรุ่งนี้เป็นได้เห็นหลังปัจจามิตรละ ครั้นไปถึงเรือนของตนก็ไม่อาจรักษาปากไว้ได้ ละล่ำละลักบอกเมียว่า อีคนชั่ว อีคนจัณฑาล ตั้งแต่นี้มึงจะชมชื่นกับใครเล่า พรุ่งนี้กูจะฆ่าชู้ของมึงพลีกรรมเสีย.
               ภรรยาเถียงว่า เขาไม่มีผิด จักฆ่าเสียเพราะเหตุอะไรเล่า.
               เขาตอบว่า พระราชารับสั่งให้กูทำพลีกรรม ด้วยเนื้อและเลือดของพราหมณ์ที่มีเขี้ยว และตาเหลืองตั้งพระทวาร ก็ชู้ของมึงมีเขี้ยวและตาเหลือง กูจักฆ่ามันทำพลีกรรมเสีย.
               นางจึงส่งข่าวไปถึงสำนักของชู้ว่า ข่าวว่า พระราชาทรงประสงค์จะฆ่าพวกพราหมณ์ผู้มีเขี้ยวและตาเหลืองทำพลีกรรม ถ้าเธออยากจะมีชีวิตอยู่ ก็จงชักชวนพวกพราหมณ์ผู้มีลักษณะเช่นเดียวกับเธอหนีไปเสียให้ทันกาลทีเดียวเถิด. เขาทำตามนั้น.
               ข่าวนั้นได้เลื่องลือไปในพระนคร พวกพราหมณ์ที่มีเขี้ยวและตาเหลืองทุกคนพากันหนีออกจากพระนครทุกแห่ง. ปุโรหิตมิได้ล่วงรู้ความศัตรูหนีไปแล้ว เข้าเฝ้าพระราชาแต่เช้าตรู่ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ที่โน่นมีพวกพราหมณ์ผู้มีเขี้ยวและตาเหลือง โปรดรับสั่งจับเถิดพระเจ้าข้า. พระราชาทรงส่งพวกอำมาตย์ไป.
               พวกอำมาตย์เหล่านั้นไม่เห็นเขาก็พากันมากราบทูลว่า ข่าวว่าหนีไปเสียแล้ว พระเจ้าข้า.
               พระราชาทรงรับสั่งว่า ค้นดูในที่อื่นซิ. แม้จะพากันเที่ยวค้นในพระนครทุกแห่งก็มิได้พบ เมื่อมีพระดำรัสว่า จงค้นผู้อื่นจากคนนั้นซิ ก็พากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เว้นท่านปุโรหิตเสียแล้ว คนอื่นๆ ไม่มีรูปเป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
               พระราชารับสั่งว่า เราไม่อาจฆ่าปุโรหิตได้.
               พวกนั้นพากันกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์ประสงค์อะไรเช่นนั้น เพราะท่านปุโรหิตเป็นตัวการ แม้นไม่ยกพระทวารในวันนี้แล้ว พระนครก็จักเป็นอันไม่ได้รับคุ้มครอง ท่านอาจารย์ก็บอกอยู่ว่า พ้นวันนี้ไปแล้วต้องรออีกปีหนึ่งจึงได้ฤกษ์ เมื่อพระนครไม่มีประตูตั้งปี จักเปิดโอกาสแก่พวกข้าศึกได้ พวกเราต้องฆ่าพราหมณ์นี้ ให้พวกพราหมณ์ผู้อื่นที่ฉลาดทำพลีกรรมยกพระทวารเถิด พระเจ้าข้า.
               พระราชารับสั่งว่า ก็พวกพราหมณ์ผู้อื่นที่ฉลาดเหมือนท่านอาจารย์ยังจะมีอยู่หรือ.
               พวกนั้นพากันกราบทูลว่า มีอยู่พระเจ้าข้า อันเตวาสิกของเขาเองชื่อตักการิยมาณพ โปรดประทานตำแหน่งปุโรหิตแก่เขา แล้วทรงกระทำการมงคลเกิด พระเจ้าข้า.
               พระราชาตรัสเรียกเขามาให้กระทำสัมมานาการ แล้วประทานตำแหน่งปุโรหิต ทรงสั่งเพื่อกระทำอย่างนั้น. เขาได้ไปสู่ประตูพระนครด้วยบริวารเป็นอันมาก. ราชบุรุษทั้งหลายพากันมัดปุโรหิต พามาด้วยอานุภาพแห่งพระราชา.
               พระมหาสัตว์ให้ขุดหลุมในที่ที่จะตั้งพระทวารให้ลงม่านล้อมรอบเข้าอยู่ในม่านกับอาจารย์.
               อาจารย์มองดูหลุมพลางทอดอาลัย ไม่ได้ใครเป็นที่พำนักแก่ตน พึงรำพึงว่า เราเป็นผู้จัดแจงความฉิบหายทั้งนั้น เพราะเรามันโง่ไม่อาจจะคุ้มครองปากของตนได้ รีบไปบอกแก่อีตัวร้าย ตัวของเราเองนำการฆ่ามาให้ตน.
               เมื่อจะสนทนากับพระมหาสัตว์ จึงได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า
               ดูก่อนพ่อตักการิยะ ฉันเองเป็นคนโง่เขลากล่าวคำชั่วช้าเหมือนกบในป่า ร้องเรียกงูมาให้กินตนฉะนั้น ฉันจะตกลงไปในหลุมนี้ ได้ยินมาว่า บุคคลที่พูดล่วงเลยขอบเขตไม่ดีเลย.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุพฺภาสิตํ ภาสิ ความว่า เราได้กล่าวคำอันเป็นทุพภาษิต.
               บทว่า ภงฺโกว ความว่า เรานั่นแหละย่อมกล่าวแต่คำชั่วๆ เหมือนกบอยู่ในป่าร้องเรียกงูให้มากัดกินตนฉะนั้น.
               บทว่า ตกฺการิเย ความว่า คนโง่เรียกเขาซึ่งเพศหญิงอันเป็นชื่อของเขาจึงกล่าวอย่างนั้น.

               พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้นแล้ว กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า
               บุคคลผู้กล่าวล่วงเลยขอบเขต ย่อมได้ประสบการจองจำ การถูกฆ่า ความเศร้าโศกและความร่ำไห้ ข้าแต่ท่านอาจารย์ ชนทั้งหลายจะฝังท่านลงในหลุม เพราะเหตุใด ท่านต้องติเตียนตัวท่านเอง เพราะเหตุนั้น.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อติเวลภาณี ความว่า คนที่พูดล่วงเลยขอบเขตคือพูดล่วงประมาณ ไม่ยังประโยชน์ให้สำเร็จ อธิบายว่า ไม่ดี.
               บทว่า โสกปริเทวญฺจ ความว่า ดูก่อนอาจารย์ คนที่พูดล่วงเลยเวลาอย่างนี้แหละ ย่อมถูกฆ่าและถูกจองจำ ถึงความเศร้าโศก ร่ำไห้ด้วยเสียงเอ็ดอึง.
               บทว่า ครหาสิ ความว่า ท่านไม่ต้องติเตียนผู้อื่นดอก พึงติเตียนตนเอง.
               บทว่า เอตฺโต แปลว่า ในเพราะเหตุนี้.
               บทว่า อาจริย ตํ ความว่า อาจารย์ ชนทั้งหลายกำลังจะฝั่งท่านในหลุมที่ท่านขุดไว้อยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้น ท่านพึงติเตียนตนเองเท่านั้น.

               พระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวแล้วอย่างนี้ จึงกล่าวต่อไปว่า ท่านอาจารย์ ท่านไม่รักษาวาจา ถึงความทุกข์ผู้เดียวเท่านั้นก็หาไม่ แม้คนพวกอื่นก็ถึงความทุกข์เหมือนกัน
               แล้วนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้
               เล่ากันมาว่า ในกาลก่อน ในกรุงพาราณสีได้มีหญิงแพศยาคนหนึ่งนามว่ากาลี น้องชายของนางชื่อว่าตุณฑิละ. วันหนึ่ง นางกาลีรับเงิน ๑,๐๐๐ กระษาปณ์. แต่ตุณฑิละเป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา ทั้งเป็นนักเลงเล่นการพนัน. นางให้ทรัพย์เขา เขาเอาทรัพย์ที่ได้แล้วๆ ไปทำลายฉิบหายหมด. ถึงนางจะห้ามปรามเขาก็ไม่สามารถที่จะห้ามได้.
               วันหนึ่งเขาเล่นการพนันแพ้ ต้องจำนำผ้านุ่ง เอาเสื่อลำแพนนุ่งมาสู่เรือนของนาง. ก็พวกสาวใช้ของนางต่างได้รับกำชับไว้ว่า เวลาตุณฑิละมาถึง ไม่ต้องให้อะไร จับคอเขาไล่ออกไปเสีย. พวกนั้นจึงพากันทำอย่างนั้น. เขาไปยืนร้องไห้อยู่ใกล้ประตู.
               ลำดับนั้น ลูกชายของเศรษฐีคนหนึ่งนำทรัพย์มาให้นางกาลีครั้งละ ๑,๐๐๐ กระษาปณ์เป็นนิตย์. วันหนึ่งเห็นเขาก็ถามว่า ตุณฑิละเอ๋ย ร้องไห้ทำไม.
               ตุณฑิละตอบว่า นายจ๋า ผมแพ้การพนันนั้นมาหาพี่สาวของผม พวกสาวใช้เหล่านั้นมันพากันจับคอผมไล่ออกมา.
               เขาบอกว่า ถ้าเช่นนั้นรอก่อน ฉันจะช่วยบอกพี่สาวของแกให้ แล้วก็ไปบอกนางว่า น้องชายของเธอนุ่งเสื่อลำแพนยืนอยู่ที่ประตู ทำไมเธอถึงไม่ให้ผ้าผ่อนเขาบ้างละ.
               นางตอบว่า ฉันไม่ให้ละ ถ้าคุณมีแก่ใจ คุณก็ให้เขาซิ.
               ก็ในเรือนหญิงแพศยานั้นมีธรรมเนียมประพฤติติดต่อกันมาดังนี้ จากเงิน ๑,๐๐๐ กระษาปณ์ ๕๐๐ กระษาปณ์เป็นของหญิงแพศยา ๕๐๐ กระษาปณ์เป็นมูลค่าของผ้าของหอมและดอกไม้ ชายที่พากันมานุ่งผ้าที่ได้ในเรือนนั้นอยู่ตลอดคืน รุ่งขึ้นเมื่อจะไป ก็ผลัดผ้านั้นไว้ นุ่งผ้าที่ตนนำมานั้นแลกลับไป
               เหตุนั้น ลูกชายเศรษฐีจึงนุ่งผ้าที่นางให้ แล้วให้ของตนแก่ตุณฑิละ.
               เขานุ่งผ้าแล้วส่งเสียงตวาด ตามประสาคนเข้าโรงเหล้า.
               ฝ่ายนางกาลีเล่าก็สั่งพวกสาวใช้ไว้ว่า พรุ่งนี้เวลาลูกชายเศรษฐีคนนี้จะไป พวกเจ้าจงช่วยกันแย่งเอาไว้ พวกนั้นเวลาลูกชายเศรษฐีนั้นออกมา ก็กรูกันเข้าไปราวกับจะปล้น ช่วยกันดึงเอาผ้าไว้เสียจนเขาต้องเปลือยกายจึงปล่อยว่า ที่นี้ไปได้ละพ่อหนุ่ม เขาต้องเดินออกมาทั้งเปลือยๆ ฉะนั้น คนพากันยิ้มทั่ว เขาละอายรำพึงรำพันว่า เราทำมันเองทีเดียว เรานั่นแหละไม่สามารถรักษาปากของตนได้.
               เมื่อจะแสดงความข้อนี้ เขาจึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า
               เราจะซักถามตุณฑิละเพื่อประโยชน์อะไรเล่า นางกาลีซิควรทำกะน้องชายของเขาเอง เราถูกแย่งผ้าจนเป็นคนเปลือยกาย แม้เรื่องนี้ก็เหมือนกับเรื่องของท่านเป็นอันมาก.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุ ตาทิโสว ความว่า จริงอยู่ แม้เศรษฐีบุตรได้รับทุกข์เพราะกรรมที่ตนทำนั้นเอง เพราะเหตุนั้น แม้ท่านก็เป็นเสมือนเหตุที่เกิดขึ้นแห่งทุกข์นี้ เพราะเหตุมากมาย.

               แม้อีกเรื่องหนึ่ง ในกรุงพาราณสี โดยความเลินเล่อของคนเลี้ยงแพะทั้งหลาย เมื่อแพะสองตัวขวิดกันในที่หากิน นกกะลิงตัวหนึ่งคิดว่า บัดนี้เองไอ้สองตัวนี้ต้องหัวแตกตาย เราต้องห้ามมันไว้แล้วห้ามว่า ลุงอย่าขวิดกันเลยน่ะ เมื่อมันไม่เชื่อถ้อยคำคงขวิดกันอยู่นั่นเอง ก็โดดเกาะที่หลังบ้างที่หน้าบ้างอ้อนวอนไป เมื่อไม่สามารถจะห้ามได้ก็พูดว่า ถ้าอย่างนั้น ก็จงฆ่ากูเสียก่อนแล้วค่อยขวิดกัน โดดเข้าไประหว่างหัวของมันทั้งสอง มันชนกันโผงเดียว นกนั้นเหมือนถูกบดในหินบด ถึงความพินาศด้วยเรื่องที่ตนกระทำนั้นเอง.
               เมื่อพระมหาสัตว์จะแสดงเหตุแม้อื่นอีกนี้ จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า
               นกกะลิงตัวใดมิได้ชนกับเขาเลย เข้าไปจับอยู่ในระหว่างศีรษะแพะทั้งสองซึ่งกำลังขวิดกันอยู่ นกกะลิงตัวนั้น ก็ถูกศีรษะแพะบดขยี้แล้ว ณ ที่นั้นเอง แม้เรื่องนี้ก็เหมือนกับเรื่องของท่านเป็นอันมาก.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เมณฺฑนฺตรํ แปลว่า ในระหว่างแพะทั้งสอง.
               บทว่า ปจฺจุปติ ความว่า โดดเข้าไป คือได้ตั้งอยู่ในระหว่าง คือท่ามกลางแห่งศีรษะแพะทั้งสอง.
               บทว่า ปึสิโต แปลว่า ถูกแพะขวิดเอาแล้ว.

               ฝ่ายพวกนายโคบาลชาวกรุงพาราณสีอีกพวกหนึ่ง เห็นต้นตาลเผล็ดผล ก็ปีนขึ้นต้นหนึ่งเพื่อจะเอาผล เมื่อกำลังปลิดผลตาลทิ้งลงมา งูเห่าดำตัวหนึ่งเลื้อยออกจากจอมปลวกขึ้นต้นตาล พวกที่ยืนอยู่ข้างล่าง แม้จะช่วยกันเอาไม้เป็นต้นตี ก็ไม่อาจห้ามมันได้.
               พวกนั้นจึงร้องบอกคนที่อยู่บนต้นว่า งูเลื้อยขึ้นต้นตาล งูเลื้อยขึ้นต้นตาล คนนั้นกลัวร้องเสียงดังลั่น. คนที่อยู่ข้างล่างเอาผ้านุ่งที่เหนียวแน่นมาผืนหนึ่ง ถือไว้คนละมุมทั้งสี่มุมแล้วร้องบอกว่า จงโดดลงมาในผ้านี้. ผู้นั้นกลั้นใจโดดลงมากลางผืนผ้าระหว่างคนทั้งสี่ ด้วยอำนาจการตกของผู้นั้น คนทั้ง ๔ นั้นไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ ต่างเอาหัวชนกันหัวแตกตายหมด.
               พระมหาสัตว์ เมื่อแสดงเหตุนี้ จึงกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า
               คน ๔ คนจะป้องกันคนเดียว ช่วยกันจับชายผ้าไว้คนละชาย ก็เหมือนกับเรื่องของท่านเป็นอันมาก.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โปฏฺฐกํ แปลว่า ผ้า.
               บทว่า สพฺเพว เต ความว่า คนทั้ง ๔ คนนั้นช่วยกันถือผ้าไว้ พากันศีรษะแตกนอนตายแล้ว.

               อีกเรื่องหนึ่ง พวกโจรขโมยแพะชาวกรุงพาราณสี ร่วมกันขโมยแพะได้ตัวหนึ่งในเวลากลางคืน คิดกันว่าจักกินในป่าในเวลากลางวัน แล้วช่วยกันมัดปากเพื่อไม่ให้มันร้อง แล้วเอาไปซ่อนไว้ในกอไผ่ รุ่งขึ้นชวนกันไปเพื่อจะกินมัน ต่างลืมอาวุธพากันไปแล้ว. พวกนั้นพูดกันว่า จักฆ่าแพะย่างเนื้อกินเอาอาวุธมาซิ ไม่เห็นอาวุธในมือแม้สักคนหนึ่ง ต่างก็พูดกันว่า ถึงแม้จะปราศจากอาวุธก็ฆ่ามันได้ แต่ก็ไม่อาจแล่เนื้อได้ ปล่อยมันไปเถิดนะ บุญของมันยังมีอยู่แล้วก็ปล่อยไป.
               ครั้งนั้น ช่างสานคนหนึ่งถือเอาไม้ไผ่แล้วคิดว่าจะกลับมาเอาไม้ไผ่อีก จึงซุกมีดตัดไม้ไผ่ไว้ในกองใบไผ่หลีกไป. แพะดีใจว่า ข้าพ้นตายแล้ว คะนองเล่นอยู่ที่โคนก่อไผ่ ดีดด้วยเท้าหลังทำให้มีดนั้นตกลงมา. พวกโจรได้ยินเสียงมีด ก็ช่วยกันค้นพบมีดนั้นแล้วต่างดีใจ ฆ่าแพะกินเนื้อเสีย.
               แพะแม้นั้นก็ตาย เพราะเรื่องที่ตนกระทำเองด้วยประการฉะนี้
               เมื่อจะแสดงเหตุนี้ จึงกล่าวคาถาที่ ๖ ว่า
               นางแพะที่ถูกโจรทั้งหลายผูกมัดไว้ในพุ่มก่อไผ่คึกคะนองเอาเท้าหลังดีดไปกระทบมีดตกลงมา พวกโจรก็เอามีดนั้นเองเชือดคอนางแพะฉันใด แม้เรื่องนี้ก็เหมือนกับเรื่องของท่านเป็นอันมาก.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเวกฺขิปนฺติ ความว่า แพะที่ถูกมัดไว้ที่กอไผ่เล่นคะนองดีดเท้าหลัง.

               ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว พระโพธิสัตว์จึงแสดงว่า ธรรมดาผู้ที่รักษาถ้อยคำของตนไว้พูดพอเหมาะ ย่อมพ้นทุกข์ปางตายได้ นำเรื่องกินนรมาเล่าดังต่อไปนี้
               ได้ยินว่า บุตรพรานชาวกรุงสาวัตถีผู้หนึ่งไปยังป่าหิมพานต์ ใช้อุบายอย่างหนึ่งจับกินนรคู่ผัวเมียมาได้ถวายแด่พระราชา. พระราชาทอดพระเนตรเห็นกินนรอันมิเคยทอดพระเนตร ทรงพอพระหทัย ตรัสถามว่า พ่อพราน พวกนี้มีคุณอะไร.
               นายพรานกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พวกเหล่านี้ร้องเพลงไพเราะ ฟ้อนรำยวนใจ พวกมนุษย์ไม่รู้ที่จะร้องรำได้อย่างนี้เลย พระเจ้าข้า.
               พระราชาประทานทรัพย์เป็นอันมากแก่นายพราน แล้วตรัสกะกินนรทั้งคู่ว่า ร้องรำไปซิ.
               กินนรทั้งคู่คิดกันว่า ถ้าเราจะร้องเพลงคงไม่อาจทำพยัญชนะให้บริบูรณ์ได้ การจับผิดก็จะมี ฝูงคนต้องติเตียนเรา ต้องฆ่าเรา อนึ่ง เมื่อเรากล่าวมากไปก็จะเป็นมุสาวาทได้ เพราะเกรงมุสาวาท แม้จะถูกพระราชาตรัสซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่ยอมร้องรำ พระราชาทรงกริ้ว
               เมื่อจะทรงสั่งให้ฆ่าเสียเอาเนื้อย่างมาถวาย จึงตรัสพระคาถาที่ ๗ ว่า
               พวกนี้มิใช่เทวดา มิใช่บุตรคนธรรพ์ พวกนี้เป็นเนื้อ พวกนี้ถูกนำมาด้วยอำนาจประโยชน์ เจ้าทั้งหลายจงย่างมันตัวหนึ่ง สำหรับอาหารมื้อเย็น อีกตัวหนึ่งสำหรับอาหารมื้อเช้า.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิคา อิเม ความว่า ถ้าพวกเหล่านี้เป็นเทวดา หรือคนธรรพ์ไซร้ พึงฟ้อนและพึงขับร้องได้ แต่พวกนี้เป็นเนื้อเป็นสัตว์เดียรัจฉาน.
               บทว่า อตฺถวสาภตา อิเม ความว่า พวกนี้ถูกนำมาสู่เงื้อมมือของเราด้วยอำนาจแห่งประโยชน์ เพราะถูกพรานผู้หวังประโยชน์นำมา ในบรรดามันเหล่านั้น สูทั้งหลายจงย่างมันตัวหนึ่งในอาหารมื้อเย็น อีกตัวหนึ่งในอาหารมื้อเช้าเถิด.

               กินรีดำริว่า พระราชากริ้วแล้ว คงจักให้ฆ่าเสียโดยไม่ต้องสงสัย บัดนี้เป็นเวลาที่ต้องพูดกันละ จึงกล่าวคาถาต่อไปว่า
               คำทุพภาษิตทั้งแสนคำ ก็ไม่ถึงแม้ส่วนเสี้ยวของคำสุภาษิต กินนรรังเกียจคำทุพภาษิตจึงเศร้าหมอง เพราะเหตุนั้น กินนรจึงนิ่งเฉยเสีย ไม่ใช่นิ่งเฉยเพราะความโง่เขลา.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สงฺกมาโน กิเลโส ความว่า บางคราวเราเมื่อพูดก็พูดคำอันเป็นทุพภาษิต กินนร เมื่อรังเกียจคำทุพภาษิตย่อมเศร้าหมอง คือย่อมลำบากด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ขับร้องให้แก่ท่าน หาใช่ขับเพราะความโง่ไม่.

               พระราชาทรงโปรดกินรี จึงตรัสพระคาถาต่อไปว่า
               กินรีตัวนี้กล่าวแก้เราได้แล้ว เจ้าทั้งหลายจงปล่อยกินรีตัวนั้นไป อนึ่ง จงนำไปส่งให้ถึงเขาหิมพานต์ ส่วนกินนรตัวนี้ เจ้าทั้งหลาย จงส่งไปให้โรงครัวใหญ่ จงย่างมันสำหรับอาหารเช้า แต่เช้าทีเดียว.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยา เมสา แก้เป็น ยา เมเอสา.
               บทว่า เทนฺตุ ความว่า จงให้เพื่อประโยชน์โรงครัวใหญ่.

               กินนรฟังพระดำรัสของพระราชาแล้วคิดว่า ท้าวเธอนี้คงให้ฆ่าเราผู้ไม่กล่าวเสียเป็นแน่ บัดนี้ เราควรจะพูด ดังนี้ แล้วจึงกล่าวคาถาต่อไปว่า
               ข้าแต่มหาราชเจ้า ฝูงปศุสัตว์พากันพึ่งฝน ประชาชนนี้เล่าพากันพึ่งปศุสัตว์ พระองค์ทรงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระบาท ภรรยาก็พึ่งข้าพระองค์ บรรดาข้าพระบาททั้งคู่ ตัวหนึ่งรู้ว่าอีกตัวหนึ่งตายแล้ว ตนเองพ้นแล้วจากความตาย จึงจะไปสู่ภูผาได้ พระเจ้าข้า.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปชฺชุนฺนนาถา ความว่า สัตว์เลี้ยงมีหญ้าเป็นอาหาร ชื่อว่ามีเมฆฝนเป็นที่พึ่ง.
               บทว่า ปสุนาถา อยํ ปชา ความว่า ประชาคือมนุษย์นี้ อาศัยโครส ๕ ชื่อว่าผู้มีปศุสัตว์เป็นที่พึ่งเป็นหลักอาศัย.
               บทว่า ตฺวํ นาโถสิ ความว่า พระองค์เป็นที่พึ่งของข้าพระองค์.
               บทว่า อมฺหนาถา มม ภริยา ความว่า ข้าพระองค์ก็เป็นที่พึ่งของภรรยานั้น.
               บทว่า ทวินฺนมญฺญตรํ ญตฺวา มุตฺโต คจฺเฉยฺย ปพฺพตํ ความว่า ในระหว่างข้าพระองค์ทั้งคู่ ตัวหนึ่งต้องรู้ว่าตัวหนึ่งตายแล้ว ตนเองรอดตายแล้ว จึงไปสู่หิมพานต์ภายหลัง คือเมื่อข้าพระองค์ทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมไม่ทอดทิ้งกัน เพราะฉะนั้น แม้มาตรว่าพระองค์ทรงประสงค์จะส่งกินรีนี้ไปสู่หิมพานต์ โปรดฆ่าข้าพระองค์เสียก่อนส่งนางไปภายหลัง.

               ก็แล กินนรครั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพระบาททั้งสอง ใช่จะนิ่งเสียเพราะปรารถนาจะขัดพระดำรัสของพระองค์ก็หามิได้ แต่เพราะเห็นโทษของการพูดมาก จึงมิได้กราบทูลสนองพระบัญชา
               กล่าวคาถา ๒ คาถานี้ว่า
               ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน ความนินทาทั้งหลายมิใช่จะหลีกให้พ้นไปโดยง่ายเลย ชนทั้งหลายมีฉันทะต่างๆ กัน ซึ่งควรจะซ่องเสพ คนหนึ่งได้รับการสรรเสริญด้วยธรรมข้อใด คนอื่นได้ความนินทาด้วยคุณธรรมข้อนั้นเอง.
               โลกทั้งปวงมีจิตยิ่งด้วยจิตของคนอื่น โลกทั้งปวงชื่อว่ามีจิตในจิตของตน สัตว์ทั้งปวงที่เป็นปุถุชนต่างก็มีจิตใจต่างกัน สัตว์ทั้งปวงในโลกนี้ไม่พึงเป็นไปในอำนาจแห่งจิตของใคร.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุปริวชฺชยาถ ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ชื่อว่านินทา ใครๆ ไม่สามารถจะหลีกเสียได้ง่ายเลย.
               บทว่า นานา ชนา ความว่า ฝูงชนมีความพอใจต่างๆ กัน.
               บทว่า เยนว ความว่า คนหนึ่งได้รับยกย่องด้วยคุณมีศีลเป็นต้นอันใด ด้วยคุณข้อนั้นแหละ คนอื่นได้รับความนินทา ความจริง เพราะกล่าวในฝูงกินนร ข้าพระองค์ย่อมได้ความยกย่องเพราะไม่กล่าวในหมู่มนุษย์ย่อมได้ความนินทา ด้วยอาการอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่านินทาย่อมเป็นสิ่งหลีกได้ยาก ข้าพระองค์นั้นคิดว่า เราจักได้ความยกย่องจากสำนักพระองค์อย่างไรเล่า.
               บทว่า สพฺโพ โลโก ปรจิตฺเตน อติจิตฺโต ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ธรรมดาอสัตบุรุษมีจิตยิ่งด้วยจิตมีการฆ่าสัตว์เป็นต้น สัตบุรุษมีจิตยิ่งด้วยจิตมีเจตนางดเว้นจากการฆ่าสัตว์เป็นต้น ชาวโลกทั้งมวลย่อมมีจิตยิ่งด้วยจิตของคนอื่น ด้วยประการดังนี้.
               บทว่า จิตฺตวาสมฺหิ จิตฺเต ความว่า ก็ชาวโลกทั้งมวล ชื่อว่ามีจิตด้วยจิตของตนทั้งทรามหรือประณีต.
               บทว่า ปจฺเจกจิตฺตา ความว่า สัตว์ทั้งหมดมากประเภทต่างคนต่างมีจิตใจเฉพาะตน ในบรรดาสรรพสัตว์เหล่านั้น กินนรีก็ดี อย่างข้าพระองค์ก็ดี คนอื่นก็ดี ไม่น่าประพฤติไปในความคิดอ่านของใครๆ สักคนหนึ่ง จะเป็นของพระองค์หรือของผู้อื่นก็ตามที เพราะเหตุนั้น พระองค์อย่าทรงพิโรธข้าพระองค์ว่า ผู้นี้ไม่ประพฤติเป็นไปในอำนาจจิตของเรา ด้วยสรรพสัตว์ย่อมไม่ลุอำนาจจิตของตนไปได้ พระเจ้าข้า.

               กินนรแสดงธรรมแก่พระราชาด้วยประการฉะนี้.
               พระราชาทรงโสมนัสว่า กินนรนี้เป็นบัณฑิตกล่าวถูกต้องทีเดียว จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
               กินนรพร้อมด้วยกินรีผู้ภรรยา เป็นผู้นิ่งไม่พูด เป็นผู้กลัวภัย ได้กล่าวแก้แล้วในบัดนี้ กินนรนั้นชื่อว่าพ้นแล้วในบัดนี้ เป็นผู้มีความสุขหาโรคมิได้ เพราะว่า การเปล่งวาจาดีนำมาซึ่งประโยชน์แก่นรชนทั้งหลาย.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วาจา คิเรวตฺถวตี นรานํ ความว่า วาจา คือคำที่ควรเปล่งย่อมมีประประโยชน์ คือนำมาซึ่งประโยชน์แก่สัตว์เหล่านี้.

               พระราชารับสั่งให้กินนรทั้งคู่จับอยู่ในกรงทอง รับสั่งให้หาพรานคนนั้น และให้ปล่อยด้วยพระดำรัสว่า เจ้าจงไปปล่อยกินนรคู่นี้ ณ ที่ที่จับได้นั้นเถิด.
               ฝ่ายพระมหาสัตว์กล่าวว่า ท่านอาจารย์ ดูเถิด กินนรทั้งคู่รักษาวาจาไว้อย่างนี้ เมื่อถึงคราวตายก็รอดตายได้ด้วยสุภาษิตที่ตนกล่าวนั้นเอง ส่วนท่านถึงทุกข์ใหญ่หลวง เพราะพูดชั่ว.
               ครั้นแสดงอุทาหรณ์นี้แล้ว ก็ปลอบว่า ท่านอาจารย์อย่ากลัวเลย ผมจักให้ชีวิตแก่ท่าน.
               เมื่อเขาพูดว่า ก็อีกอย่างหนึ่งเล่า พ่อคุณช่วยคุ้มครองฉันเถิด
               ก็บอกว่า ยังไม่ได้ฤกษ์ก่อนครับ รั้งรอจนตลอดวันนั้นในระหว่างใกล้มัชฌิมยาม จึงให้คนเอาแพะตายมาแล้วพูดว่า ท่านพราหมณ์เชิญไปทำมาหากินเสียที่ไหนๆ เถิด
               ไม่ให้ใครๆ รู้เลย ปล่อยพราหมณ์ไปเอาเนื้อแพะทำพลีกรรมตั้งพระทวาร.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่โกกาลิกะถูกวาจากำจัดตนเสีย แม้ในครั้งก่อนก็ถูกกำจัดแล้วเหมือนกัน
               ทรงประชุมชาดกว่า
                         พราหมณ์เขี้ยวงอกตาเหลืองในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระโกกาลิกะ
                         ส่วนตักการิยบัณฑิต คือ เราตถาคต แล.

               จบอรรถกถาตักการิยชาดกที่ ๘               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ตักการิยชาดก ว่าด้วย การพูดดีเป็นศรีแก่ตัว จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1806 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1826 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1839 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=7063&Z=7107
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=40&A=4158
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=40&A=4158
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๐  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :