พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี
ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า น นํ อุมฺหยเต ทิสฺวา ดังนี้.
ภิกษุรูปหนึ่งถือเอาเศษผ้าผืนหนึ่งด้วยความวิสาสะที่พระอุปัชฌายะวางไว้ด้วยคิดว่า
เมื่อเราถือเอาแล้ว พระอุปัชฌายะของเราจะไม่โกรธ แล้วทำเป็นถุงใส่รองเท้า
ภายหลังจึงบอกพระอุปัชฌายะ.
ครั้นพระอุปัชฌายะถามภิกษุนั้นว่า เพราะเหตุใด ท่านจึงถือเอา.
เมื่อภิกษุนั้นตอบว่า ถือเอาโดยวิสาสะของพระคุณท่าน
ด้วยคิดว่า เมื่อเราถือเอาแล้ว พระอุปัชฌายะจักไม่โกรธขอรับ.
พระอุปัชฌายะจึงกล่าวว่า ชื่อว่าวิสาสะของคุณกับของผมเป็นอย่างไร แล้วโกรธลุกขึ้นตบ.
การกระทำของพระอุปัชฌายะนั้นได้ปรากฏในพวกภิกษุ.
อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า
อาวุโสทั้งหลาย ได้ยินมาว่า ภิกษุหนุ่มรูปโน้นได้ถือเอาเศษผ้าของพระอุปัชฌายะโดยวิสาสะ
แล้วทำเป็นถุงใส่รองเท้า ครั้นพระอุปัชฌายะถามว่า ชื่อว่าวิสาสะของคุณกับของผมเป็นอย่างไร แล้วโกรธลุกขึ้นตบ.
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร
เมื่อกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว
จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นไม่มีวิสาสะกับสัทธิวิหาริกของตน มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น
แม้เมื่อก่อนก็ไม่มีวิสาสะเหมือนกัน
แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ แคว้นกาสี
ครั้นเจริญวัยออกบวชเป็นฤๅษี ยังอภิญญาและสมาบัติไห้เกิด เป็นครูประจำคณะอาศัยอยู่ ณ หิมวันตประเทศ.
ในหมู่ฤๅษีนั้น มีดาบสรูปหนึ่งไม่เชื่อคำพระโพธิสัตว์ เลี้ยงลูกช้างกำพร้าไว้เชือกหนึ่ง.
ครั้นลูกช้างเติบใหญ่ขึ้นได้ฆ่าดาบสนั้นเสีย แล้วหนีเข้าป่าไป.
หมู่ฤๅษี ครั้นทำการฌาปนกิจศพดาบสนั้นเสร็จแล้ว จึงเข้าไปล้อมถามพระโพธิสัตว์ว่า
พระคุณเจ้าขอรับ ความเป็นมิตรหรือความเป็นศัตรู จะสามารถรู้ได้ด้วยเหตุอะไร.
พระโพธิสัตว์ เมื่อจะบอกว่าด้วยเหตุนี้ๆ จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
ศัตรูเห็นเข้าแล้ว ไม่ยิ้มแย้ม ไม่แสดงความยินดีตอบ
สบตากันแล้วเบือนหน้าหนีไม่แลดู ประพฤติตรงกันข้ามเสมอ.
อาการเหล่านี้มีปรากฏอยู่ในศัตรู เป็นเครื่องให้บัณฑิตเห็นและได้ฟังแล้ว พึงรู้ได้ว่าศัตรู.
ในบทเหล่านั้น บทว่า น นํ อุมฺหยเต ทิสฺวา ความว่า ก็ผู้ได้เป็นศัตรูของคนใด
ผู้นั้นเห็นคนนั้นแล้ว ย่อมไม่ยิ้มแย้ม คือไม่หัวเราะ ไม่แสดงอาการร่าเริง.
บทว่า น จ นํ ปฏินนฺทติ ได้แก่ แม้ได้ยินคำของเขา ย่อมไม่ชื่นชมบุคคลนั้น คือไม่พลอยยินดีว่า คำพูดของผู้นั้นดี เป็นสุภาษิต.
บทว่า จกฺขูนิ จสฺส น ททนฺติ ได้แก่ ตาต่อตา จ้องกันแล้วหลบหน้าเสียไม่มองดู คือเมินตาไปทางอื่นเสีย.
บทว่า ปฏิโลมญฺจ วตฺตติ ได้แก่ ไม่ชอบใจการกระทำทางกาย ทางวาจาของเขา คือถือตรงกันข้าม แสดงกิริยาเป็นข้าศึก.
บทว่า อาการา ได้แก่เหตุ. บทว่า เยหิ อมิตฺตํ ความว่า เหตุที่บุคคลผู้เป็นบัณฑิตเห็นและได้ยินแล้ว พึงรู้ได้ว่าผู้นี้เป็นศัตรูของเรา.
ส่วนความเป็นมิตรพึงรู้ได้จากอาการตรงกันข้ามกับศัตรูนั้น.
พระโพธิสัตว์ ครั้นบอกเหตุแห่งความเป็นมิตร และเป็นศัตรูกันอย่างนี้แล้ว จึงเจริญพรหมวิหาร เข้าถึงพรหมโลก.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก.
ดาบสผู้เลี้ยงช้างในครั้งนั้น ได้เป็น สัทธิวิหาริก ในครั้งนี้
ช้างได้เป็น พระอุปัชฌายะ
หมู่บริษัทได้เป็น พุทธบริษัท
ส่วนครูประจำคณะ คือ เราตถาคต.
จบ อรรถกถามิตตามิตตชาดกที่ ๗
.. อรรถกถา มิตตามิตตชาดก ว่าด้วย อาการของผู้เป็นมิตรและมิใช่มิตร จบ.
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=1455&Z=1461
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=37&A=3431
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=37&A=3431
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]