พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภปลายิปริพาชก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า คชคฺคเมเฆภิ ดังนี้.
ได้ยินว่า ปริพาชกนั้นท่องเที่ยวไปทั่วชมพูทวีป เพื่อการโต้วาทะ ไม่ได้รับการโต้ตอบวาทะอะไร แล้วจนลุถึงเมืองสาวัตถีโดยลำดับ ถามมนุษย์ทั้งหลายว่า ใครๆ สามารถจะโต้ตอบวาทะกับเรามีบ้างไหม.
พวกมนุษย์ต่างพากันสรรเสริญพระพุทธองค์ว่า พระมหาโคดมผู้สัพพัญญู เลิศกว่าสัตว์สองเท้าทั้งหลาย ผู้เป็นใหญ่โดยธรรม ย่ำยีวาทะของผู้อื่น เป็นผู้สามารถจะโต้ตอบวาทะกับคนเช่นท่านแม้ตั้งพัน
ปราชญ์ผู้มีวาทะขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชมพูทวีปแม้ทั้งสิ้น ที่จะสามารถล่วงเลยพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นมิได้มี บรรดาวาทะทั้งปวงมาถึงบาทมูลของพระองค์เป็นผุยผงไป ดุจคลื่นสมุทรกระทบฝั่งฉะนั้น.
ปริพาชกถามว่า ก็เดี๋ยวนี้พระองค์ประทับอยู่ที่ไหน ได้ฟังว่าที่พระเชตวันมหาวิหาร กล่าวว่า เราจักไปประวาทะกับพระองค์ในบัดนี้ แวดล้อมด้วยมหาชนไปสู่เชตวันมหาวิหาร พอเห็นซุ้มประตูเชตวันมหาวิหาร
ซึ่งพระราชกุมารพระนามว่า เชตะ ทรงสละทรัพย์เก้าโกฏิสร้าง ถามว่า นี้คือปราสาทที่ประทับของพระสมณโคดมหรือ ได้ฟังว่า นี้คือซุ้มประตู กล่าวว่า ซุ้มประตูยังเป็นถึงเพียงนี้ คฤหาสน์ที่ประทับจะเป็นเช่นไร
เมื่อมหาชนกล่าวว่า ชื่อว่าพระคันธกุฎีประมาณไม่ถูก กล่าวว่า ใครจะโต้ตอบวาทะกับพระสมณโคดมเป็นถึงปานนี้ได้ จึงหนีไปจากที่นั้นเอง.
มนุษย์ทั้งหลายต่างอึงคะนึงกันจะเข้าไปยังพระเชตวันมหาวิหาร พระศาสดาตรัสถามว่า ทำไมจึงมากันผิดเวลา กราบทูลความเป็นไปให้ทรงทราบ.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ปริพาชกผู้นี้เห็นซุ้มประตูของเราก็หนีในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็หนีไปแล้วเหมือนกัน
พวกมนุษย์เหล่านั้นจึงทูลอาราธนา ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยราชสมบัติในเมืองตักกสิลาในแคว้นคันธาระ พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระเจ้าพรหมทัตนั้นทรงดำริว่า จักตีเมืองตักกสิลา จึงยกพลนิกายใหญ่ไปตั้งมั่นอยู่ไม่ไกลจากเมืองตักกสิลา
ทรงซักซ้อมเสนาว่า จงส่งกองช้างเข้าไปด้านนี้ ส่งกองม้าเข้าไปด้านนี้ ส่งกองรถเข้าไปด้านนี้ ส่งพลราบเข้าไปด้านนี้ เมื่อบุกเข้าไปอย่างนี้แล้ว จงใช้อาวุธทั้งหลาย จงให้ห่าฝนลูกศรให้ตก ดังหมู่วลาหกโปรยฝนลูกเห็บฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้ ได้ตรัสสองคาถานี้ว่า :-
เมืองตักกสิลาถูกเขาล้อมไว้ทุกด้านแล้ว ด้วยกองพลช้างตัวประเสริฐ ซึ่งร้องคำรนอยู่ด้านหนึ่ง ด้วยกองพลม้าตัวประเสริฐ ซึ่งคลุมมาลาเครื่องครบอยู่ด้านเหนือ ด้วยกองพลรถดุจคลื่นในมหาสมุทรอันยังฝน คือลูกศรให้ตกลงด้านหนึ่ง ด้วยกองพลเดินเท้าถือธนูมั่น มีฝีมือยิงแม่นอยู่ด้านหนึ่ง
ท่านทั้งหลายจงรีบรุกเข้าไป และจงรีบบุกเข้าไป จงไสช้างให้หนุนเนื่องกันเข้าไปเลย จงโห่ร้องให้สนั่นหวั่นไหวในวันนี้ ดุจสายฟ้าอันซ่านออกจากกลีบเมฆ คำรนอยู่ ฉะนั้น.
พระเจ้าพรหมทัตนั้นทรงตรวจพลปลุกใจเสนาให้คึกคักฉะนี้แล้ว เคลื่อนทัพไปถึงที่ใกล้ประตูนคร เห็นซุ้มประตูแล้ว ตรัสถามว่า นี้คือพระราชมณเฑียรหรือ
เมื่อเหล่าเสนากราบทูลว่า นี้คือซุ้มประตูนคร ยังเป็นถึงปานนี้ พระราชมณเฑียรจะเป็นเช่นไร ได้สดับว่าเช่นกับเวชยันตปราสาท ตรัสว่า เราไม่อาจสู้รบกับพระราชาผู้ถึงพร้อมด้วยยศอย่างนี้ ได้ทอดพระเนตรซุ้มประตูแล้ว เสด็จหนีกลับสู่เมืองพาราณสี.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา แล้วทรงประชุมชาดก.
พระเจ้าพาราณสีในครั้งนั้น ได้เป็น ปลายิปริพาชกในครั้งนี้
ส่วนพระราชาเมืองตักกสิลา คือ เราตถาคต นี้แล.
จบ อรรถกถาปลายิชาดกที่ ๙
-----------------------------------------------------
.. อรรถกถา ปลายิชาดก ว่าด้วย ขับไล่ศัตรูแบบสายฟ้าแลบ จบ.
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=1753&Z=1763
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=37&A=5708
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=37&A=5708
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]