ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 315 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 317 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 319 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา อสิตาภุชาดก
ว่าด้วย โลภมากลาภหาย

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภกุมาริกาคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ตฺวเมวทานิมการี ดังนี้.
               ได้ยินว่า ในตระกูลอุปฐากของพระอัครสาวกทั้งสอง ตระกูลหนึ่งในกรุงสาวัตถี มีกุมาริกาผู้หนึ่งมีรูปสวย ถึงพร้อมด้วยความงามเป็นเลิศ. นางเจริญวัย ก็ได้ไปสู่ตระกูลซึ่งมีชาติเสมอกัน. สามีของนางไม่พอใจนางเป็นบางอย่าง จึงเที่ยวไปในที่อื่นตามใจชอบ. นางก็ไม่เอาใจใส่ในการที่สามีไม่ใยดีในตนนั้น นิมนต์พระอัครสาวกทั้งสองมาถวายทาน ฟังธรรม ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
               ตั้งแต่นั้น นางก็ปล่อยให้เวลาล่วงไปด้วยความสุขในมรรคและผล คิดว่า แม้สามีก็ไม่ยินดีเรา เราก็ไม่มีการงานทางฆราวาส เราจักบวชจึงบอกมารดาบิดา ออกบวชบรรลุอรหัต. การกระทำของนางนั้นได้ปรากฏในหมู่ภิกษุ.
               ครั้นวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ธิดาของตระกูลโน้นเป็นหญิงแสวงหาประโยชน์ รู้ว่าสามีไม่ใยดี ได้ฟังธรรมของพระอัครสาวก ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ยังบอกลามารดาบิดาออกบวชอีก บรรลุอรหัตแล้ว ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย กุมาริกานั้นเป็นผู้แสวงหาประโยชน์อย่างนี้.
               พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลธิดาผู้นั้นเป็นผู้แสวงหาประโยชน์ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็เป็นผู้แสวงหาประโยชน์เหมือนกัน ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤาษี ยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิดแล้วอาศัยอยู่ ณ หิมวันตประเทศ.
               ในกาลครั้งนั้น พระเจ้าพาราณสีเห็นความพรั่งพร้อมของบริวารของพรหมทัตกุมารผู้เป็นโอรสของพระองค์ เกิดความระแวงพระทัย จึงเนรเทศโอรสออกจากแว่นแคว้น.
               พรหมทัตกุมารทรงพาพระเทวีของพระองค์พระนามว่า อสิตาภู เข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ เสวยปลา เนื้อและผลไม้ พำนักอยู่ ณ บรรณศาลา. พรหมทัตกุมารนั้นเห็นนางกินรีนางหนึ่ง มีจิตปฏิพัทธ์ คิดว่าจะเอานางกินรีนี้เป็นชายา จึงติดตามรอยเท้านางกินรีนั้นไป มิได้คำนึงถึงพระนางอสิตาภู.
               พระนางอสิตาภูเห็นพรหมทัตกุมารตามนางกินรีไป ทรงดำริว่า พรหมทัตกุมารนี้ตามนางกินรีไป มิได้คำนึงถึงเรา เราจะต้องการอะไรจากพรหมทัตกุมารนี้ มีพระทัยคลายรัก เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ นมัสการแล้ว ให้บอกการบริกรรมกสิณแก่ตน เพ่งกสิณ ยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิด นมัสการพระโพธิสัตว์ กลับมายืนอยู่ที่ประตูบรรณศาลาของตน.
               แม้พรหมทัตก็ติดตามนางกินรีไป เที่ยวหาก็มิได้พบแม้ทางที่นางกินรีนั้นไป หมดหวังจึงกลับมุ่งหน้ามาสู่บรรณศาลา.
               พระนางอสิตาภูเห็นพรหมทัตกุมารเสด็จกลับมา ลอยขึ้นไปสู่เวหา ยืนบนพื้นอากาศ มีสีดังแก้วมณี ตรัสว่า ข้าแต่โอรสเจ้า ข้าพเจ้าได้ความสุขนี้ เพราะอาศัยท่าน
               แล้วกล่าวคาถาแรกว่า :-
               พระองค์นั่นแหละได้กระทำเหตุนี้ ในบัดนี้ หม่อมฉันปราศจากความรักในพระองค์แล้ว ความรักนั้นประสานกันอีกไม่ได้ ดุจงาช้างอันตัดขาดแล้วด้วยเลื่อยฉะนั้น.


               ในบทเหล่านั้น บทว่า ตฺวเมวทานิมกริ ความว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นอัยยบุตร พระองค์นั้นแหละ ละหม่อมฉันติดตามนางกินรี ได้ทำเหตุนี้ในบัดนี้.
               บทว่า ยํ กาโม พฺยคมา ตยิ ท่านแสดงความว่า ซึ่งเหตุที่ทำให้ความรักของเราในตัวท่านได้ไปแล้ว คือละได้ด้วยวิกขัมภนปหาน เราถึงความพิเศษอันนี้ ก็เพราะละความรักได้แล้ว.
               บทว่า โสยํ อปฺปฏิสนฺธิโก ความว่า ก็ความรักอันนั้นจะกลับมาติดต่ออีกไม่ได้ คือไม่สามารถจะต่อได้ในบัดนี้.
               บทว่า ขรา ฉินฺนํว เรนุกํ ความว่า เปรียบเหมือนงาช้างที่ถูกเลื่อยตัดขาดเสียแล้ว จะต่อติดอีกไม่ได้ คือจะเชื่อมให้สนิทเหมือนเดิมอีกไม่ได้ฉันใด อันการจะประสานจิตของเรากับท่านอีกย่อมมีไม่ได้ฉันนั้น.

               ครั้นนางกล่าวฉะนี้แล้ว ได้เหาะไปในที่อื่น ทั้งๆ ที่พรหมทัตกุมารนั้นแลดูอยู่นั่นเอง.
               พรหมทัตกุมาร ครั้นนางไปแล้ว ก็คร่ำครวญกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
               บุคคลผู้ปรารถนาเกินส่วนย่อมปราศจากประโยชน์ เพราะโลภเกินประมาณ และเพราะความเมาอันเกิดจากความโลภเกินประมาณ เหมือนเราเสื่อมจากนางอสิตาภู ฉะนั้น.


               ในบทเหล่านั้น บทว่า อตฺริจฺฉา ความว่า ทะยานอยากหาที่สุดมิได้ กล่าวคือความปรารถนาในสิ่งนั้นๆ เรียกว่าความแส่หา ความโลภที่เป็นไปเกิน เรียกว่าความโลภจัด.
               บทว่า อติโลภมเทน จ ได้แก่ ความมัวเมาด้วยความโลภจัดเพราะเป็นเหตุให้เกิดความมัวเมาในบุรุษ.
               บทนี้ท่านอธิบายว่า บุคคลผู้ปรารถนาในสิ่งนั้นๆ ด้วยการแส่หา ย่อมเสื่อมจากประโยชน์ เพราะความโลภจัดและเพราะความมัวเมาด้วยความละโมบจัด ดุจเราเสื่อมแล้วจากราชธิดา อสิตาภู ฉะนั้น.

               พรหมทัตกุมารทรงคร่ำครวญด้วยคาถานี้แล้ว ประทับพระองค์เดียวอยู่ในป่า เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว จึงเสด็จไปครองราชสมบัติ.

               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก.
               ราชบุตรและราชธิดาในครั้งนั้น ได้เป็นชนทั้งสองในครั้งนี้
               ส่วนดาบส คือ เราตถาคต นี้แล.


               จบอรรถกถาอสิตาภุชาดกที่ ๔               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา อสิตาภุชาดก ว่าด้วย โลภมากลาภหาย จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 315 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 317 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 319 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=1812&Z=1820
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=37&A=6041
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=37&A=6041
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๐  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :