ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 388 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 391 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 394 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา มหาปนาทชาดก
ว่าด้วย ปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท

               พระศาสดาประทับนั่งอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา ทรงปรารภอานุภาพของพระภัททชิเถระ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปนาโท นาม โส ราชา ดังนี้
               สมัยหนึ่ง พระศาสดาทรงจำพรรษาอยู่ในเมืองสาวัตถี ทรงพระดำริว่า จักสงเคราะห์ภัททชิกุมาร แวดล้อมแล้วด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์ เสด็จจาริกถึงภัททิยนคร ประทับอยู่ในชาติยาวัน ตลอด ๓ เดือน ทรงรอคอยความแก่กล้าแห่งญาณของภัททชิกุมาร.
               ภัททชิกุมารนั้นมียศมาก เป็นบุตรคนเดียวของภัททิยเศรษฐี ผู้มีทรัพย์สมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ ภัททชิกุมารนั้นมีปราสาท ๓ หลังสมควรแก่ฤดูทั้ง ๓ ภัททชิกุมารอยู่ในปราสาทหลังละ ๔ เดือน. ครั้นอยู่ในปราสาทหลังหนึ่งแล้ว ก็แวดล้อมด้วยนางฟ้อนไปยังปราสาทอีกหลังหนึ่งด้วยยศใหญ่. ขณะนั้น พระนครทั้งสิ้นก็ตื่นเต้นกันว่า พวกเราจักดูสมบัติของภัททชิกุมาร ต่างผูกจักรและจักรซ้อน ผูกเตียงและเตียงซ้อนในระหว่างปราสาท.
               พระศาสดาประทับอยู่ตลอด ๓ เดือน ตรัสบอกชาวพระนครว่า เราจะไปก่อนละ. ชาวพระนครกราบทูลนิมนต์พระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรุ่งนี้ พระองค์จึงค่อยเสด็จไปเถิด แล้ววันที่สอง ตระเตรียมมหาทานเพื่อภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน สร้างมณฑปที่ถวายทานท่ามกลางพระนคร ตกแต่งปูลาดอาสนะแล้ว กราบทูลให้ทรงทราบถึงกาลเวลา.
               พระศาสดาแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จไปประทับนั่งในมณฑปนั้น มนุษย์ทั้งหลายต่างได้ถวายมหาทาน. พระศาสดาทรงกระทำภัตตกิจเสร็จแล้ว ทรงเริ่มอนุโมทนาด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ.
               ขณะนั้น ภัททชิกุมารจากปราสาทหลังหนึ่งไปยังปราสาทหลังหนึ่ง วันนั้นไม่มีใครๆ ไปเพื่อต้องการดูสมบัติของภัททชิกุมารนั้น มีแต่คนของตนเท่านั้นห้อมล้อมไป ภัททชิกุมารจึงถามคนทั้งหลายว่า ในเวลาอื่น เมื่อเราจากปราสาทหนึ่งไปยังปราสาทหนึ่ง ชาวพระนครทั้งสิ้นตื่นเต้นต่างผูกจักรและจักรซ้อนเป็นต้น แต่วันนี้ นอกจากคนทั้งหลายของเรา ไม่มีใครๆ อื่นเลย เป็นเพราะเหตุอะไรกัน.
               พวกบริวารกล่าวว่า ข้าแต่นาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปอาศัยนครนี้ ประทับอยู่ตลอด ๓ เดือน วันนี้จักเสด็จไป พระองค์ทรงทำภัตตกิจเสร็จแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่มหาชน ชาวพระนครทั้งสิ้นพากันสดับพระธรรมกถาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
               ภัททชิกุมารนั้นกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงมา แม้เราก็จักฟังธรรม แล้วประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวงเข้าไปพร้อมด้วยบริวารใหญ่ ยืนฟังพระธรรมกถาอยู่ท้ายบริษัท ยังสรรพกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไป บรรลุพระอรหัตอันเป็นผลชั้นเลิศ.
               พระศาสดาตรัสเรียกภัททิยเศรษฐีมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนมหาเศรษฐี บุตรของท่านประดับประดาตกแต่งแล้ว ฟังธรรมกถาได้ดำรงอยู่ในพระอรหัต เพราะฉะนั้น วันนี้ บุตรของท่านควรจะบรรพชา หรือควรจะปรินิพพาน.
               ภัททิยเศรษฐีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กิจด้วยการปรินิพพานแห่งบุตรของข้าพระองค์ ย่อมไม่มี ขอพระองค์จงให้บุตรของข้าพระองค์นั้นบรรพชาเถิด พระเจ้าข้า. ก็แหละครั้นให้บรรพชา ขอพระองค์จงพาบุตรของข้าพระองค์นั้น เข้าไปยังเรือนข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้เถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว พากุลบุตรเสด็จไปยังพระวิหารให้บรรพชาอุปสมบท. บิดามารดาของพระภัททชินั้นกระทำมหาสักการะ ๗ วัน พระศาสดาประทับอยู่ ๗ วัน ทรงพากุลบุตรเที่ยวจาริกไปถึงโกฏิคาม. มนุษย์ชาวโกฏิคามได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน.
               ในเวลาเสร็จภัตตกิจ พระศาสดาทรงเริ่มอนุโมทนา ในเวลาที่ทรงทำอนุโมทนา กุลบุตรไปนอกบ้านคิดว่า ในเวลาพระศาสดาเสด็จมาเท่านั้น เราจึงจักลุกขึ้น แล้วนั่งเข้าฌานที่โคนไม้แห่งหนึ่งใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา ครั้นพระเถระที่แก่ๆ แม้จะมา ก็ไม่ออกจากฌาน ในเวลาพระศาสดาเสด็จมาเท่านั้นจึงได้ลุกขึ้น. พวกภิกษุปุถุชนพากันโกรธว่า พระภัททชินี้ท่าทีเหมือนบวชก่อน เมื่อพระมหาเถระมา แม้เห็นก็ไม่ลุกขึ้น.
               ชาวโกฏิคามพากันผูกเรือขนาน พระศาสดาประทับยืนท่ามกลางสงฆ์ในเรือขนาน ตรัสถามว่า ภัททชิอยู่ที่ไหน? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า พระภัททชินี้ อยู่ที่นี้แหละ พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า มาเถิดภัททชิ จงขึ้นเรือลำเดียวกันกับเรา. พระเถระได้เหาะไปยืนอยู่ในเรือลำเดียวกัน. ครั้นในเวลาที่เรือแล่นไปกลางแม่น้ำคงคา พระศาสดาตรัสว่า ภัททชิ ปราสาทที่เธอเคยอยู่ครอบครองในคราวเป็นพระเจ้ามหาปนาท อยู่ที่ไหน. พระภัททชิกราบทูลว่า จมอยู่ในที่นี้ พระเจ้าข้า. พวกภิกษุปุถุชนพากันกล่าวว่า พระภัททชิเถระพยากรณ์พระอรหัต. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภัททชิ ถ้าอย่างนั้น เธอจงตัดความสงสัยของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย.
               ขณะนั้น พระเถระถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ไปด้วยกำลังฤทธิ์เอานิ้วเท้าคีบจอมปราสาท ยกปราสาทอันสูง ๒๕ โยชน์ขึ้นแล้วเหาะขึ้นในอากาศ. ก็พระเถระเหาะขึ้นแล้วปรากฎแก่ชนทั้งหลายที่ยืนอยู่ภายใต้ปราสาท ประหนึ่งปราสาทจะพังทลายลงทับ. พระเถระนั้นยกปราสาทขึ้นจากน้ำ ๑ โยชน์ ๒ โยชน์ ๓ โยชน์จนกระทั่ง ๒๕ โยชน์. ลำดับนั้น ญาติทั้งหลายในภพก่อนของพระเถระ บังเกิดเป็นปลา เต่า นาคและกบอยู่ในปราสาทนั่นแหละ เพราะความโลภในปราสาท เมื่อปราสาทลอยขึ้น ก็พลัดตกลงไปในน้ำตามเดิม พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นสัตว์เหล่านั้นตกลงไป จึงตรัสว่า ภัททชิ พวกญาติของเธอพากันลำบาก. พระเถระได้ฟังพระดำรัสของพระศาสดา จึงปล่อยปราสาท ปราสาทก็กลับตั้งอยู่ในที่เดิมนั่นเอง. ส่วนพระศาสดาเสด็จขึ้นจากแม่น้ำคงคา.
               ลำดับนั้น ชนทั้งหลายพากันปูลาดอาสนะถวายพระศาสดา ณ ที่ฝั่งแม่น้ำคงคานั่นเอง. พระศาสดาประทับนั่งเปล่งพระรัศมี ณ บวรพุทธอาศน์ที่เขาปูลาดถวาย ประดุจพระอาทิตย์อ่อนๆ ฉะนั้น ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายทูลถามพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปราสาทนี้พระภัททชิเถระครอบครองอยู่ในกาลไร? พระศาสดาตรัสว่า ในกาลเป็นพระเจ้ามหาปนาทราช.
               แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล ในกรุงมิถิลา แคว้นวิเทหรัฐ ได้มีพระราชาพระนามว่าสุรุจิ. แม้พระโอรสของพระองค์ก็มีนามว่าสุรุจิ เหมือนกัน. แต่พระโอรสของพระเจ้าสุรุจินั้น ได้มีพระนามว่ามหาปนาท. พระราชาทั้ง ๓ พระองค์นั้น ได้ครอบครองปราสาทนี้.
               ก็บุรพกรรมที่จะได้ครอบครองปราสาทนั้นมีว่า บิดาและบุตรทั้งสองได้สร้างบรรณศาลาเป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ด้วยไม้อ้อและไม้มะเดื่อ.
               เรื่องอดีตทั้งหมดในชาดกนี้ จักมีแล้วในสุรุจิชาดก ในปกิณณกนิบาต.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว เป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งแล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
               พระเจ้ามหาปนาทนั้นมีปราสาทล้วนแล้วด้วยทอง กว้าง ๑๖ ชั่วธนูตก สูง ๑ พันชั่วธนูตก.
               และปราสาทนั้นมีพื้น ๗ ชั้น ประดับด้วยธงอันล้วนแล้วด้วยสีเขียว มีนางฟ้อนรำ ๖ พันคน แบ่งออกเป็น ๗ พวก ฟ้อนรำอยู่ในปราสาทนั้น
               ดูก่อนภัททชิ เธอกล่าวถึงปราสาทนั้นซึ่งมีแล้วในกาลนั้น ในครั้งนั้น เราเป็นท้าวสักกะ ผู้รับใช้การงานของเธอ.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยูโป แปลว่าปราสาท.
               บทว่า ติริยํ โสฬสุพฺเพโธ ความว่า โดยความกว้าง ได้มีความกว้าง ๑๖ ชั่วลูกศรตก.
               บทว่า อุจฺจมาหุ สหสฺสธา ความว่า โดยส่วนสูง ท่านกล่าวถึงความสูงประมาณระยะวิ่งไปของลูกศรชั่วพันลูก คือสูงประมาณ ๒๕ โยชน์ โดยการนับระยะวิ่งไปของลูกศรชั่วพันลูก ส่วนความกว้างของปราสาทนั้น ประมาณกึ่งโยชน์.
               บทว่า สหสฺสกณฺโฑ สตฺตเคณฺฑุ ความว่า ก็ปราสาทสูง ๑ พันชั่วลูกศรนี้นั้น มีชั้น ๗ ชั้น.
               บทว่า ธชาลุ แปลว่า พร้อมด้วยธง.
               บทว่า หริตามโย ได้แก่ ขลิบด้วยแก้วมณีเขียว. ส่วนในอรรถกถามีปาฐะว่า สหาลู หริตามโย ดังนี้ก็มี. อธิบายความปาฐะนั้นว่า ประกอบด้วยบานประตูและหน้าต่าง อันล้วนแล้วด้วยแก้วมณีเขียว.
               ได้ยินว่า บทว่า สห เป็นชื่อของบานประตูและหน้าต่าง.
               บทว่า คนฺธพฺพา ได้แก่ นางฟ้อนรำ.
               บทว่า ฉ สหสฺสานิ สตฺตธา ความว่า นางฟ้อนรำ ๖ พันคน แบ่งเป็น ๗ พวก ฟ้อนรำอยู่ในที่ทั้ง ๗ แห่งของปราสาทนั้น เพื่อต้องการเพิ่มพูนความยินดีแก่พระราชา. นักฟ้อนรำเหล่านั้นแม้จะฟ้อนรำและขับร้องอยู่อย่างนี้ ก็ไม่อาจให้พระราชาร่าเริงพระทัย. ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงส่งการฟ้อนรำของเทพให้ไปแสดงการเล่นมหรสพ คราวนั้น พระเจ้ามหาปนาททรงร่าเริง.
               บทว่า ยถา ภาสสิ ภทฺทชิ ความว่า ก็เมื่อพระศาสดาตรัสว่า
               ดูก่อนภัททชิ ปราสาทที่เธออยู่ครอบครองในคราวเป็นพระเจ้ามหาปนาทอยู่ที่ไหน
               พระภัททชิเถระกราบทูลว่า จมอยู่ตรงที่นี้ พระเจ้าข้า
               ได้เป็นอันกล่าวความที่ปราสาทนั้นบังเกิดแล้วเพื่อประโยชน์แก่ตน และความที่ตนเป็นพระเจ้ามหาปนาทในครั้งนั้น.
               พระศาสดาทรงถือเอาคำกล่าวนั้นจึงตรัสว่า ดูก่อนภัททชิ เธอกล่าวโดยประการใด ดังนี้ ด้วยบทว่า เอวเมตํ ตทา อาสิ นี้ พระศาสดาตรัสว่า ข้อที่กล่าวอย่างนั้นได้มีแล้วโดยประการนั้นนั่นแหละ ในครั้งนั้น เราได้เป็นท้าวสักกะจอมเทวดาผู้รับใช้การงานของเธอในกาลนั้น.
               ขณะนั้น ภิกษุปุถุชนทั้งหลายได้เป็นผู้หมดความเคลือบแคลงสงสัย.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
               พระเจ้ามหาปนาท ในครั้งนั้น ได้เป็น พระภัททชิ ในบัดนี้
               ส่วนท้าวสักกะ คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.


               จบ อรรถกถามหาปนาทชาดกที่ ๔               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มหาปนาทชาดก ว่าด้วย ปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 388 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 391 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 394 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=2148&Z=2157
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=38&A=1501
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=38&A=1501
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๒  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :