ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 394 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 397 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 400 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา วาตัคคสินธวชาดก
ว่าด้วย มิตรสันถวะเกิดแต่แรกพบ

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภกฎุมพีคนหนึ่งในพระนครสาวัตถี จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า เยนาสิ กีสิยา ปณฺฑุ ดังนี้
               ได้ยินว่า หญิงคนหนึ่งในเมืองสาวัตถี เห็นกฎุมพีรูปงามคนหนึ่ง ได้มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ ไฟคือกิเลสเกิดขึ้นภายในของนางประดุจเผาร่างกายทั้งสิ้น. นางไม่ได้รับความยินดีเพลิดเพลินทางกายและทางใจเลย แม้อาหารนางก็ไม่ชอบใจ นอนเกาะแม่แคร่เตียงอย่างเดียว.
               ลำดับนั้น หญิงผู้รับใช้และหญิงสหายได้ถามนางว่า เพราะเหตุไรหนอ เธอจึงมีจิตซัดส่ายนอนเกาะแม่แคร่เตียง เธอไม่มีความผาสุกอะไรหรือ? นางอันพวกเพื่อนหญิงไม่ได้กล่าวครั้งเดียว สองครั้ง กล่าวบ่อยๆ จึงได้บอกเนื้อความนั้นแก่เพื่อนหญิงเหล่านั้น.
               ลำดับนั้น เพื่อนหญิงเหล่านั้นจึงปลอบโยนนางให้เบาใจแล้วกล่าวว่า นางผู้เจริญ เธออย่าเสียใจเลย พวกเราจักนำกฎุมพีมาให้ แล้วไปปรึกษากับกฎุมพี. กฎุมพีนั้นปฏิเสธ เมื่อพวกหญิงเหล่านั้นพูดจาบ่อยเข้าจึงรับคำ. หญิงเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านจงมาในวันโน้นเวลาโน้น ดังนี้ ให้กฎุมพีรับคำปฏิญญาแล้ว จึงไปบอกให้หญิงนั้นทราบ.
               หญิงนั้นเมื่อได้ฟังข่าวจึงจัดแจงห้องนอนของตน แต่งตัวแล้วนั่งบนที่นอน เมื่อกฎุมพีนั้นมานั่ง ณ ส่วนหนึ่งของที่นอน จึงคิดว่า ถ้าเราไม่ทำให้หนักแน่นต่อเขาไว้ ให้โอกาสเสีย แต่เดี๋ยวนี้ ความเป็นใหญ่ของเราก็จักเสื่อมไป ชื่อว่าการให้โอกาส ในวันที่เขามาถึงทีเดียว มิใช่เหตุอันควร วันนี้เราทำให้เขาเก้อ ในวันอื่นจึงจักให้โอกาส. ลำดับนั้น นางจูงมือเขาผู้ปรารภจะหยอกล้อเล่นด้วยการจับมือเป็นต้น แล้วฉุดออกมาพร้อมกับพูดว่า หลีกไป หลีกไป เราไม่ต้องการท่าน.
               กฎุมพีนั้นจึงหยุดชะงัก ละอายใจลุกขึ้น ไปบ้านของตนเลยทีเดียว. หญิงนอกนี้รู้ว่า หญิงนั้นกระทำอย่างนั้น เมื่อกฎุมพีออกไปแล้ว จึงเข้าไปหาหญิงนั้นพากันพูดอย่างนี้ว่า เธอมีจิตปฏิพัทธ์กฎุมพีนั้น ถึงกับห้ามอาหารนอนอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราอ้อนวอนเธอบ่อยๆ แล้วนำเขามาให้ เพราะเหตุไร จึงไม่ให้โอกาสแก่เขา. นางจึงบอกความมุ่งหมายอันนั้นให้ทราบ. หญิงเหล่านั้นกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าจักปรากฏผลในวันหน้า แล้วพากันหลีกไปเสีย.
               กฎุมพีก็ไม่หันกลับมามองดูอีก หญิงนั้นเมื่อไม่ได้กฎุมพีนั้นก็ซูบซีดอดอาหาร ถึงความสิ้นชีวิตไปในที่นั้นเอง. กฎุมพีได้ฟังว่า หญิงนั้นตายแล้ว จึงถือดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้เป็นอันมากไปยังพระวิหารเชตวัน บูชาพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง และถูกพระศาสดาตรัสถามว่า อุบาสก เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึงหายหน้าไป ไม่ปรากฏ? จึงกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ละอายใจตลอดกาลประมาณเท่านี้ จึงไม่ได้มาสู่ที่พุทธอุปัฏฐาก.
               พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก หญิงนั้นให้เรียกท่านมาด้วยอำนาจของกิเลส ครั้นในเวลาท่านมาแล้ว ไม่ให้โอกาส ทำให้ท่านได้อาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น ก็แม้ในกาลก่อน นางมีจิตปฏิพัทธ์แม้ในบัณฑิตทั้งหลาย ให้เรียกมาแล้ว ครั้นในเวลามาถึงไม่ให้โอกาส ทำให้ลำบากถ่ายเดียวแล้วส่งไป อันกฎุมพีนั้นทูลอ้อนวอนแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลม้าสินธพ ได้ชื่อว่าวาตัคคสินธพ ได้เป็นม้ามงคลของพระเจ้าพรหมทัตนั้น. คนผู้ดูแลม้าพาม้าสินธพนั้นไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคา. ครั้งนั้น นางม้าชื่อว่าภัททลี ได้เห็นม้าสินธพนั้นมีจิตปฏิพัทธ์ สั่นด้วยอำนาจกิเลส ไม่กินหญ้า ไม่ดื่มน้ำ ซูบซีด ผอมได้มีสักแต่ว่าหนังหุ้มกระดูก.
               ลำดับนั้น ลูกม้าเห็นแม่ม้านั้นซูบผอมจึงถามว่า แม่ เพราะเหตุไรหนอ แม่จึงไม่กินหญ้า ไม่ดื่มน้ำ ซูบซีด นอนสั่นอยู่ในที่นั้นๆ แม่ไม่มีผาสุกอะไรหรือ? นางม้านั้นไม่บอก เมื่อถูกถามบ่อยๆ เข้า จึงได้บอกเนื้อความนั้น.
               ลำดับนั้น ลูกม้าจึงปลอบโยนแม่ม้าให้เบาใจแล้วกล่าวว่า แม่อย่าเสียใจ ฉันจักนำม้าสินธพนั้นมาแสดง ครั้นในเวลาที่ม้าวาตัคคสินธพมาอาบน้ำ จึงเข้าไปหาแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พ่อ มารดาของข้าพเจ้ามีจิตปฏิพัทธ์ในตัวท่าน อดอาหารซูบซีดจักตาย ขอท่านจงให้ทานชีวิตแก่มารดาของข้าพเจ้าด้วยเถิด.
               วาตัคคสินธพกล่าวว่า ดีละพ่อ เราจักให้พวกคนเลี้ยงม้าให้เราอาบน้ำแล้ว จะปล่อยเพื่อให้เที่ยวหาอาหารกินที่ฝั่งแม่น้ำคงคาสักพักหนึ่ง เจ้าจงพามารดามายังประเทศนั้นเถิด. ลูกม้านั้นไปพามารดามาแล้วปล่อยไว้ในประเทศที่นั้น แล้วได้ยืนอยู่ในที่มิดชิด ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ฝ่ายคนเลี้ยงม้าทั้งหลายได้ปล่อยวาตัคคสินธพไว้ในที่นั้น วาตัคคสินธพนั้นแลเห็นนางม้าจึงเข้าไปหา.
               ลำดับนั้น นางม้านั้น เมื่อม้าวาตัคคสินธพเข้าไปเสียดสีกายตนอยู่ จึงคิดว่า ถ้าเราไม่หนักแน่นให้โอกาสแก่เขาในขณะที่มาถึงทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้น ยศและความเป็นใหญ่ของเราจักเสื่อมเสียไป เราควรจะทำเป็นเหมือนไม่ปรารถนาเถิด แล้วจึงเอาเท้าดีดลูกคางม้าสินธพแล้วหนีไป. ทันใดนั้น ได้เป็นเหมือนเวลาที่รากฟันทำลายล่วงไป วาตัคคสินธพคิดว่า เราจะประโยชน์อะไรกับอีม้าตัวนี้ เป็นผู้มีความละอายใจ หนีไปจากที่นั้นทันที. นางม้านั้นมีความวิปฏิสาร ล้มลงในที่นั้นเอง นอนเศร้าโศกอยู่.
               ลำดับนั้น ลูกม้าได้เข้าไปหานางม้าผู้มารดา เมื่อจะถาม จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
               คุณแม่เป็นโรคผอมเหลือง ไม่ชอบใจอาหาร เพราะม้าตัวใดเป็นเหตุให้มีจิตปฏิพัทธ์ ม้าตัวนั้นก็มาคบหาสมาคมแล้ว เพราะเหตุไร คุณแม่จึงให้ม้าตัวนั้นหนีไปเสียในบัดนี้เล่า


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยนาสิ ความว่า เพราะม้าตัวใดเป็นเหตุให้มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่.

               นางม้าได้ฟังคำลูก จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
               ลูกเอ๋ย ขึ้นชื่อว่ามิตรสันถวะ จะเกิดแต่แรกทีเดียว ยศของสตรีทั้งหลายก็จะเสื่อมเสีย เพราะฉะนั้น แม่จึงแสร้งทำให้พระยาม้าหนีไป.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาทิเกเนว แปลว่า แต่ต้นทีเดียว คือแต่แรกทีเดียว.
               บทว่า สนฺถโว ได้แก่ มิตรสันถวะด้วยอำนาจการประกอบเมถุนธรรม.
               บทว่า ยโส หายติ อิตฺถีนํ ความว่า ดูก่อนพ่อ เพราะว่า เมื่อสตรีทั้งหลายผู้ไม่เล่นตัว ย่อมทำความเชยชิดเสีย แต่เริ่มแรก ยศย่อมเสื่อมเสียไป คือความเป็นใหญ่ที่จะพึงได้ย่อมเสื่อมไป.

               นางม้านั้นบอกสภาพของสตรีทั้งหลายแก่ลูก ด้วยประการฉะนี้.

               พระศาสดาเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่ง แล้วตรัสคาถาที่ ๓ ว่า :-
               สตรีใด ไม่ปรารถนาบุรุษผู้เกิดในตระกูลมียศศักดิ์ ที่มีคนชักพามา สตรีนั้นจะต้องเศร้าโศกอยู่สิ้นกาลนาน เหมือนนางม้าเศร้าโศกถึงพระยาม้าวาตัคคะ ฉะนั้น.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสสฺสินํ แปลว่า ผู้สมบูรณ์ด้วยยศ.
               บทว่า ยา น อิจฺฉติ ความว่า สตรีใดไม่ปรารถนาบุรุษเห็นปานนั้น.
               บทว่า จิรรตฺตาย แปลว่า ตลอดกาลนาน. อธิบายว่า ตลอดกาลยาวนาน.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงประกาศสัจจะทั้งหลาย แล้วทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะ กฎุมพีดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
               นางม้าในกาลนั้น ได้เป็น หญิงคนนั้น ในบัดนี้.
               ส่วนวาตัคคสินธพ ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.


               จบ อรรถกถาวาตัคคสินธพชาดกที่ ๖               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา วาตัคคสินธวชาดก ว่าด้วย มิตรสันถวะเกิดแต่แรกพบ จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 394 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 397 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 400 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=2170&Z=2180
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=38&A=1665
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=38&A=1665
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๒  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :